JJNY : อ.ปริญญาถามป.ป.ช./หมู่อาร์มสวนแดงร้อง4ครั้ง เรื่องย้อนกลับ/สิระเสี้ยมอุตตม-สนธิรัตน์/เสรีจวกนักการเมืองทำพปชร.แตก

อ.ปริญญา ถามป.ป.ช. จากนี้ จะป้องกันการให้สินบนเป็นสิ่งของได้อย่างไร?#ยืมใช้คงรูป
https://www.matichon.co.th/politics/news_2211545
 

 
เมื่อวันที่1 มิ.ย. ผศ.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Prinya Thaewanarumitkul   โดยให้ความเห็นเกี่ยวกับการพิจารณาของปปช. ในเรื่องชี้มูลความผิดของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ได้แจ้งนาฬิกาจำนวนหลายสิบเรือนซึ่งราคารวมนับสิบล้านบาทลงในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน โดย ปปช.ว่า
 
#ยืมใช้คงรูป กับคำถามต่อ ปปช.
  
จากนี้ไปเราจะ #ป้องกันการให้สินบนเป็นสิ่งของได้อย่างไร?
 
วันเสาร์ที่ผ่านมามีข่าวเรื่องผลการพิจารณาของ ปปช. (หนังสือ ปปช. ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2563) ที่มีการขอให้ชี้มูลความผิดของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ได้แจ้งนาฬิกาจำนวนหลายสิบเรือนซึ่งราคารวมนับสิบล้านบาทลงในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน โดย ปปช. สรุปว่า การยืมนาฬิกาของพลเอกประวิตรเป็นการ “ยืมใช้คงรูป” แม้ว่าจะเป็นหนี้ เพราะผู้ยืมมีหน้าที่ต้องคืน แต่มิใช่หนี้สินที่ ปปช. กำหนดให้ต้องแจ้งในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะรายการหนี้สินที่ต้องแจ้งในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน “หมายถึงหนี้สินที่ต้องเป็นเงินตราเท่านั้น” ดังนั้น พลเอกประวิตร “จึงไม่มีหน้าที่ที่ต้องแจ้งรายการยืมนาฬิกาดังกล่าวเป็นหนี้สินในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน” ซึ่งทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากพอสมควร
  
ผมเห็นว่า #ประเด็นหลักของเรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นข้อกฎหมาย ว่าการยืม หรือที่ ปปช.ใช้ถ้อยคำทางกฎหมายว่า “ยืมใช้คงรูป” จะต้องแจ้งในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินหรือไม่ แต่ #ประเด็นหลักเป็นปัญหาข้อเท็จจริงครับ คือนาฬิการาคาแพงจำนวนหลายสิบเรือนที่พลเอกประวิตรเคยใส่ แล้วปรากฏเป็นภาพข่าวต่างกรรมต่างวาระกันนั้น #เป็นนาฬิกาเพื่อนจริงหรือไม่ ซึ่ง ปปช.ไม่ได้พูดถึงประเด็นข้อเท็จจริงตรงนี้เลย คือเหมือนกับเชื่อไปเลยว่า พลเอกประวิตรยืมเพื่อนมาจริง แล้วก็ข้ามประเด็นข้อเท็จจริงนี้ ไปประเด็นข้อกฎหมายเลย ว่าของที่ยืมมาไม่ต้องลงในบัญชีทรัพย์สินและหนึ้สิน
  
เรื่องการทุจริตเป็นเรื่องข้อเท็จจริงครับ ซึ่งควรต้องทำให้ยุติก่อนให้ได้ว่านาฬิกาเป็นของใคร ซึ่งถ้า ปปช. มีข้อเท็จจริงที่ทำให้ ปปช. เชื่อว่า พลเอกประวิตร ยืมนาฬิกาเพื่อนมาจริง ปปช.ก็ควรแสดงหลักฐานให้ปรากฏต่อสาธารณะให้คนสิ้นสงสัย เพราะนาฬิการาคาแพงล้วนแต่มีหลักฐานการซื้อขายและมีใบรับรองทั้งนั้น ทำไมถึงไม่ให้เจ้าของนาฬิกา หรือทายาทเอาหลักฐานการเป็นเจ้าของออกมาแสดงเลย เพียงแค่นั้นก็จบแล้วครับ
  
แต่เมื่อ ปปช.ไม่ดำเนินการในเรื่องข้อเท็จจริงตรงนี้ แล้วใช้แต่ข้อกฎหมายเช่นนึ้ ก็ไม่มีทางแก้ข้อสงสัยได้ และคนก็จะสงสัยตลอดไปอยู่อย่างนั้น ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อพลเอกประวิตรเลยหากเป็นนาฬิกาที่เพื่อนให้ยืมมาใส่จริงๆ โดยเฉพาะอย่างย่ิงเมื่อพลเอกประวิตรจะเล่นการเมืองเต็มตัวแล้วตามข่าวที่ปรากฏออกมาครับ
  
แล้วประเด็นที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ จากนี้ไป ปปช. จะป้องกันผู้ทุจริตที่เอาเงินที่ได้มาโดยมิชอบไปซื้อของแพงๆ เช่น นาฬิกา หรือแหวนเพชรราคาหลายล้านบาท แล้วก็ไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สินโดยอ้างว่ายืมเพื่อนมาได้อย่างไร? เมื่อ ปปช. ไม่หาข้อยุติในเรื่องข้อเท็จจริงก่อนว่าสิ่งของนั้นเป็นของคนอื่นจริงหรือไม่เช่นนี้
  
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปปช. #จะป้องกันการให้สินบนในรูปแบบของสิ่งของได้อย่างไร เช่น การให้สินบน ค่าอำนวยความสะดวก หรือ ส่วย ด้วยการให้นาฬิการาคาแพง หรือการให้ของมีค่าอย่างอื่น เพราะเป็นวิธีการหนึ่งที่นิยมทำกันมากอยู่แล้ว และจากนี้ไปก็อาจจะยิ่งทำกันได้มากขึ้น เพราะทุกคนจะอ้างได้หมดแล้วว่ายืมเพื่อนมา
 
ด้วยความเคารพ นี่เป็นคำถามที่คนอยากได้ยินคำตอบจาก ปปช. ครับ
 
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=3193161260727790&set=a.271670256210253&type=3
 

 
'หมู่อาร์ม' สวน 'บิ๊กแดง' ร้องเรียนสายตรงไป 4 ครั้ง เรื่องย้อนกลับมาหน่วย สุดท้ายถูกขู่
https://www.matichon.co.th/politics/news_2211894

‘หมู่อาร์ม’ สวน ‘บิ๊กแดง’ ร้องเรียนสายตรงไป 4 ครั้ง เรื่องเงียบ กลับถูกผู้บังคับบัญชาข่มขู่ 
 
เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน จากกรณี ส.อ.ณรงค์ชัย อินทรกวี หรือ ‘หมู่อาร์ม’ เสมียนงบประมาณแผนกโครงการและงบประมาณกองแผน โครงการศูนย์ซ่อมสร้างสิ่งอุปกรณ์ กรมสรรพวุธทหารบก ร้องเรียนถูกผู้บังคับบัญชา ข่มขู่ คุกคาม อันเนื่องมาจากออกมาเปิดเผยปัญหาทุจริตเบี้ยเลี้ยงภายในกรมสรรพวุธทหารบก และมีการร้องเรียนไปในหลายครั้ง สุดท้ายต้องตัดสินใจหนีจากราชการทหาร มาร้องเรียนต่อ กมธ.ปปช.สภาผู้แทนฯ ทั้งยังมีข่าวเบื้องต้น กองทัพเตรียมเอาผิดฐานหนีราชการทหาร
 
ต่อมา พล.อ.อภิรัชต์ คมสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก  กล่าวถึงกรณีดังกล่าว ว่า หมู่อาร์มไม่เคยร้องเรียนผ่านช่องทางสายตรง  ทั้งนี้ ทหารบกมีสายบังคับบัญชา จึงต้องทำเรื่องสอบสวนผ่านหน่วยนั้น ขั้นตอนถัดมาผ่านเรทหารบกแล้วจึงค่อยมายังตน เพื่อหาข้อเท็จจริง ผบ.ทบ. รับผิดชอบทุกเรื่องอยู่แล้ว แต่ผู้บัญชาการโดยตรงต้องรับผิดชอบด้วย ถ้าไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือไม่ยอมรับผลสอบสวนก็ร้องเรียนได้ ซึ่งก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ ถ้าพบว่ามีหลักฐานประพฤติมิชอบก็ต้องดำเนินการ
 
ผู้สื่อข่าวสอบถามไปยัง ส.อ.ณรงค์ชัย เปิดเผยว่า ขอชี้แจงว่าตนเองร้องเรียนไปถึง 4 ครั้ง มีการบันทึกเป็นหลักฐานไว้ ทั้งการแคปหน้าจอช่วงเวลาการร้องเรียน หรือบันทึกหลักฐานการสนทนาที่พร้อมเปิดเผย โดย
การร้องเรียนครั้งแรก วันที่ 13 มีนาคม 2563  
ครั้งที่ 2 วันที่ 17 มีนาคม 2563 
ครั้งที่ 3 วันที่ 19 มีนาคม 2563  
และครั้งที่ 4 วันที่ 14 เมษายน 2563
 
ส.อ.ณรงค์ชัย เล่าว่าได้โทรไปหาคอลเซ็นเตอร์ที่ ผบ.ทบ.เปิดช่องทางไว้ และทางคอลเซ็นเตอร์ จะพิมพ์ตามที่ตนพูดร้องเรียน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ แทนที่เรื่องราวจะถูกส่งต่อให้ ผบ.ทบ.พิจารณา หรือมีทีมสอบสวนจากส่วนกลาง มาตรวจสอบ สุดท้ายเรื่องการร้องเรียน กลับถูกส่งมายังผู้บังคับบัญชาของหน่วย จนมีการข่มขู่ มีความพยายามปิดปาก ตนเองรู้สึกไม่ปลอดภัย
 
ส.อ.ณรงค์ชัย ระบุอีกว่า ทั้งนี้ คลิปเหตุการณ์ที่ผู้บังคับบัญชาเปิด มีการแชร์ในโลกโซเชียล ที่จริงเป็นการขอขมา และคาดว่า จะมีการถ่ายทำจากทางผู้บังคับบัญชา และมีการตัดต่อเอาแต่ส่วนสั่งสอนมาออก เรื่องที่ตนร้องเรียน ชี้แจง ถูกตัดออกไป ยืนยันว่า ตนเองร้องเรียนผ่านขั้นตอนของกองทัพ และกลไกทางกฎหมายตลอดมา เคยไปร้องเรียน ผู้ตรวจการแผ่นดินตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2562 พอทางหน่วยทราบ ตนก็ถูกผู้บังคับบัญชากลั่นแกล้ง ผู้บังคับบัญชาพูดจาข่มขู่ กล่าวหาจะเอาผิดตนเองว่าท้าต่อยผู้บังคับบัญชา เมื่อรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย ไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงตัดสินใจหนีในปลายเดือนมีนาคม โดยการโทรศัพท์ร้องเรียนคอลเซ็นเตอร์ ผบ.ทบ. วันที่ 14 เมษายน 2563 ก็เป็นการร้องเรียนหลักจากหนีออกจากค่าย
 
“เท่าที่รู้มาจากเพื่อน ปัจจุบันก็ยังมีความพยายามในการคุกคามติดตามอยู่ ตอนนี้ผมไม่มีเงิน หลังจากนี้ก็จะมีปัญหาการถูกฟ้องร้องอีกมาก จึงรู้สึกประหลาดใจว่า ไปร้องเรียน ป.ป.ช. ตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม ในเรื่องการคุ้มครองพยาน ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่เปิดเผยข้อมูลการทุจริต ซึ่งล่าสุดคณะสอบสวนของกองทัพ ยืนยันแล้วว่า มีมูล แต่ร้องขอขั้นตอนการคุ้มครองพยานก็ยังไม่คืบหน้า เราจะยอมให้ประเทศนี้ใช้มาตรฐานแบบนี้ไปตลอดหรือ?” ส.อ.ณรงค์ชัย  กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่