ทั้งๆ ที่เพิ่งบอกไปว่า เราไม่ค่อยอินกับ Season 4 (ที่ดันไปกดดูก่อน) แต่พอมาดู Season 2 นี้ โอ้โห น้ำตาทะลักทะลาย ฟูมฟาย ร้องไห้ซาบซึ้งจนหูตาแดงไปหมด คือเห็นเลยว่าทีมโปรดิวเซอร์พยายามทำลายขีดจำกัดหลายๆ อย่างจาก Season 1 และแม้จะมีอะไรบางอย่างที่ต้องเดินตามสูตรอยู่ แต่มันก็มีอะไรแปลกใหม่ให้เราตื่นเต้นได้เกือบทุก EP เหมือนกัน
.
Queer Eye เป็นรายการเรียลิตี้สไตล์เมคโอเวอร์ ที่มีทีม The Fab Five เป็นกูรูเกย์ผู้รอบรู้ในหลากหลายด้านมาคอยดูแลปรับเปลี่ยนปรุงโฉมให้แขกรับเชิญได้พัฒนาตัวเองขึ้นในหลายๆ ด้าน ซึ่ง 5 เกย์หนุ่มที่ว่าก็ได้แก่ Antoni ดูแลเรื่องอาหารการกิน, Tan ดูแลเรื่องแฟชั่นการแต่งตัว, Jonathan ดูแลเรื่องทรงผมและกรูมมิ่ง, Bobby ดูแลเรื่องดีไซน์การตกแต่งบ้าน และ Karamo ดูแลเรื่องการปรับวิธีคิด วิธีการใช้ชีวิต
.
จนถึงตอนนี้เราไม่ได้คิดว่า Queer Eye เป็นรายการขาย The Fab Five อีกต่อไปแล้ว เพราะสิ่งที่จะทำให้แต่ละ EP สนุกหรือไม่ มันอยู่ที่ตัวแขกรับเชิญที่ต้องมาปรับเปลี่ยนตัวเองในรายการต่างหาก ยิ่งแขกรับเชิญคนไหนดราม่าจัดๆ มีเรื่องราวในชีวิตโหดๆ มีปมขัดแย้งในใจชัดๆ หรือมีซีนเปิดใจพรั่งพรูระบายอารมณ์เยอะๆ EP นั้นจะสนุกเป็นพิเศษ และใน Season 2 นี้เราก็ปลื้มมากกับ Tammye คุณแม่ผิวสีร่างใหญ่ที่อุทิศตนให้กับการสร้างโบสถ์ของครอบครัว แต่ปมใหญ่ที่ The Fab Five ต้องช่วยก็คือความสัมพันธ์ระหว่าง Tammye กับลูกชายเกย์ของเธอที่เคยแตกหักมาก่อน ชอบทีได้เห็นความขัดแย้งในใจของ Bobby ผู้ต่อต้านศาสนาเพราะเคยมีประสบการณ์แย่ๆ และเห็นด้านอ่อนไหวของ Antoni มาก, William หนุ่มเนิร์ดร่างอวบที่ตั้งใจจะคุกเข่าขอแฟนสาวแต่งงาน โอ้โห ซีนสุดท้ายนี่ซึ้งมากจริงๆ และ Skyler หนุ่มทรานส์เมน (ผู้ชายข้ามเพศ) ที่ตอกย้ำกับเราอีกครั้งว่า พวกเรา LGBT ควรที่จะทำความเข้าใจและโอบกอดกันและกันให้มากขึ้น
.
แล้วจากที่เคยสงสัยว่า ทำไมแขกรับเชิญเกือบทุกคนถึงได้ดูโอนอ่อนผ่อนตาม ยอม The Fab Five แต่โดยดีหมดเลย มันจะมีใครไหมนะที่ดื้อหรือจัดการได้ยาก ก็ปรากฏว่า Season 2 นี้มีโจทย์ยากๆ มาอยู่หลายคนเลยทีเดียว ที่ชัดเจนมากเลยก็คือ Arian หนุ่มเชื้อสายอินเดียที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย เอาแต่เล่นเกมทั้งวัน สกปรกซกมก และติดนิสัยโกหกจนเป็นนิสัย คือมันสนุกดีนะทีได้เห็นเลยว่า เออ มันโกหกและแก้ตัวได้ทุกอย่างเลยจริงๆ ต่อหน้ากล้องเลยนี่ล่ะ!
.
Queer Eye ยังทำให้เราเห็นคุณค่าของมิตรภาพ การเชื่อมต่อเชื่อมโยงกันระหว่างความเป็นเพื่อนมนุษย์ การเห็นอกเห็นใจตัวเองและคนอื่น ความรักในตัวเอง และความอยากพัฒนาให้ตัวเองเป็นคนในเวอร์ชั่นที่ดีขึ้นกว่าเดิม และเราก็เห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า มันต้องใช้ความกล้ามากเลยนะที่จะเปิดใจเปิดตัวเองให้คนอื่นมองเห็นจุดด้อยจุดอ่อนและบาดแผลในใจของตัวเองแบบแขกรับเชิญเหล่านี้ ปรบมือ!
อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่
เพจ ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
[CR] [Review] Queer Eye: Season 2 (2018)
ทั้งๆ ที่เพิ่งบอกไปว่า เราไม่ค่อยอินกับ Season 4 (ที่ดันไปกดดูก่อน) แต่พอมาดู Season 2 นี้ โอ้โห น้ำตาทะลักทะลาย ฟูมฟาย ร้องไห้ซาบซึ้งจนหูตาแดงไปหมด คือเห็นเลยว่าทีมโปรดิวเซอร์พยายามทำลายขีดจำกัดหลายๆ อย่างจาก Season 1 และแม้จะมีอะไรบางอย่างที่ต้องเดินตามสูตรอยู่ แต่มันก็มีอะไรแปลกใหม่ให้เราตื่นเต้นได้เกือบทุก EP เหมือนกัน
.
Queer Eye เป็นรายการเรียลิตี้สไตล์เมคโอเวอร์ ที่มีทีม The Fab Five เป็นกูรูเกย์ผู้รอบรู้ในหลากหลายด้านมาคอยดูแลปรับเปลี่ยนปรุงโฉมให้แขกรับเชิญได้พัฒนาตัวเองขึ้นในหลายๆ ด้าน ซึ่ง 5 เกย์หนุ่มที่ว่าก็ได้แก่ Antoni ดูแลเรื่องอาหารการกิน, Tan ดูแลเรื่องแฟชั่นการแต่งตัว, Jonathan ดูแลเรื่องทรงผมและกรูมมิ่ง, Bobby ดูแลเรื่องดีไซน์การตกแต่งบ้าน และ Karamo ดูแลเรื่องการปรับวิธีคิด วิธีการใช้ชีวิต
.
จนถึงตอนนี้เราไม่ได้คิดว่า Queer Eye เป็นรายการขาย The Fab Five อีกต่อไปแล้ว เพราะสิ่งที่จะทำให้แต่ละ EP สนุกหรือไม่ มันอยู่ที่ตัวแขกรับเชิญที่ต้องมาปรับเปลี่ยนตัวเองในรายการต่างหาก ยิ่งแขกรับเชิญคนไหนดราม่าจัดๆ มีเรื่องราวในชีวิตโหดๆ มีปมขัดแย้งในใจชัดๆ หรือมีซีนเปิดใจพรั่งพรูระบายอารมณ์เยอะๆ EP นั้นจะสนุกเป็นพิเศษ และใน Season 2 นี้เราก็ปลื้มมากกับ Tammye คุณแม่ผิวสีร่างใหญ่ที่อุทิศตนให้กับการสร้างโบสถ์ของครอบครัว แต่ปมใหญ่ที่ The Fab Five ต้องช่วยก็คือความสัมพันธ์ระหว่าง Tammye กับลูกชายเกย์ของเธอที่เคยแตกหักมาก่อน ชอบทีได้เห็นความขัดแย้งในใจของ Bobby ผู้ต่อต้านศาสนาเพราะเคยมีประสบการณ์แย่ๆ และเห็นด้านอ่อนไหวของ Antoni มาก, William หนุ่มเนิร์ดร่างอวบที่ตั้งใจจะคุกเข่าขอแฟนสาวแต่งงาน โอ้โห ซีนสุดท้ายนี่ซึ้งมากจริงๆ และ Skyler หนุ่มทรานส์เมน (ผู้ชายข้ามเพศ) ที่ตอกย้ำกับเราอีกครั้งว่า พวกเรา LGBT ควรที่จะทำความเข้าใจและโอบกอดกันและกันให้มากขึ้น
.
แล้วจากที่เคยสงสัยว่า ทำไมแขกรับเชิญเกือบทุกคนถึงได้ดูโอนอ่อนผ่อนตาม ยอม The Fab Five แต่โดยดีหมดเลย มันจะมีใครไหมนะที่ดื้อหรือจัดการได้ยาก ก็ปรากฏว่า Season 2 นี้มีโจทย์ยากๆ มาอยู่หลายคนเลยทีเดียว ที่ชัดเจนมากเลยก็คือ Arian หนุ่มเชื้อสายอินเดียที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย เอาแต่เล่นเกมทั้งวัน สกปรกซกมก และติดนิสัยโกหกจนเป็นนิสัย คือมันสนุกดีนะทีได้เห็นเลยว่า เออ มันโกหกและแก้ตัวได้ทุกอย่างเลยจริงๆ ต่อหน้ากล้องเลยนี่ล่ะ!
.
Queer Eye ยังทำให้เราเห็นคุณค่าของมิตรภาพ การเชื่อมต่อเชื่อมโยงกันระหว่างความเป็นเพื่อนมนุษย์ การเห็นอกเห็นใจตัวเองและคนอื่น ความรักในตัวเอง และความอยากพัฒนาให้ตัวเองเป็นคนในเวอร์ชั่นที่ดีขึ้นกว่าเดิม และเราก็เห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า มันต้องใช้ความกล้ามากเลยนะที่จะเปิดใจเปิดตัวเองให้คนอื่นมองเห็นจุดด้อยจุดอ่อนและบาดแผลในใจของตัวเองแบบแขกรับเชิญเหล่านี้ ปรบมือ!
อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่ เพจ ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้