ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าไม่ได้เหมารวมว่าคนสมัยก่อนไม่ได้รักจริงและคนที่อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าจนตายจากจะต้องเกิดจากปัจจัยเหล่านี้
คนสมัยก่อนที่อยู่ด้วยกันจนตายจากจนทำให้คนปัจจุบ้นคิดว่าพวกเขาเหล่านั้น
รักกันจริง เป็นความรักแบบโรแมนติกที่คนในยุคปัจจุบันซาบซี้ง, โหยหา, บูชาและฝันใฝ่ว่าอยากจะมี
ที่จริงแล้วหลาย ๆ คู่ไม่ได้อยากจะอยู่ด้วยกันจนตายจากหรอกแต่มันมีปัจจัยมาจากสิ่งเหล่านี้ก็ได้
1.การศึกษาและความไม่อิสระในด้านการเงิน
ผู้หญิงสมัยก่อนไม่ได้รับการศึกษาทำให้ไม่สามารถไปทำงานได้ ทำให้เมื่อแต่งงานแล้วก็ต้องพึ่งพาสามี
ถ้าชีวิตคู่ไม่ดีก็ไม่สามารถหย่าร้างได้เพราะจะไม่มีรายได้
ไม่เหมือนปัจจุบันที่ผู้หญิงได้รับการศึกษาสามารถทำงานได้จึงทำให้มีอิสระในด้านการเงินไม่ต้องพึ่งพาสามี.
2.ค่านิยมในเรื่องการประกอบอาชีพ
ข้อนี้จะเกี่ยวพันกับข้อ 1 คือ
ถึงแม้จะมีจะมีการศึกษาแต่สมัยก่อนมีอาชีพให้ประกอบไม่มากเท่าปัจจุบันหลาย ๆ
อาชีพก็สงวนไว้สำหรับผู้ชาย เช่นรับราชการ เป็นขุนน้ำขุนนาง
และหลาย ๆ อาชีพก็ต้องใช้แรงงานอย่างมากในทำซึ่งผู้หญิงไม่สามารถทำได้เช่น กรรมกร
รวมถึงค่านิยมที่ผู้หญิงต้องเป็นแม่บ้านแม่เรือน ให้สามีเป็นคนเลี้ยง
จึงทำให้ผู้หญิงไม่สามารถประกอบอาชีพได้ เมื่อประกอบอาชีพไม่ได้ก็ต้องแต่งงานและพึ่งพาสามี
ถ้าชีวิตคู่ไม่ดีก็ไม่สามารถหย่าร้างได้เพราะจะไม่มีรายได้
ไม่เหมือนปัจจุบันที่ผู้หญิงสามารถประกอบอาชีพได้และ
ยังมีอาชีพหลากหลายให้ผู้หญิงทำเช่นอาชีพที่ไม่ต้องใช้แรงงานเช่นคอลเซนเเตอร์ ช่างแต่งหน้า นักเขียน
จึงทำให้ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสามีและสามารถหย่าร้างได้ถ้าสามีไม่ดี
3.ค่านิยมเรื่องการเป็นหม้ายและการหย่าร้าง
อันนี้รวมถึงหน้าตาทางสังคมด้วย
สังคมสมัยก่อนเห็นว่าการเป็นการหย่าร้างและแม่หม้ายโดยเฉพาะหม้ายสามีทิ้ง
เป็นสิ่งที่น่าละอายจึงทำให้ถ้าได้สามีไม่ดีก็ต้องจำทนจนตายจากกันไปข้างนึง
ไม่เหมือนสมัยปัจจุบันที่การเป็นหม้ายหรือแม่เลี้ยงเดี่ยวเป็นเรื่องปกติของสังคม
ในทางกลับกันถ้าสามีทิ้งไปเพราะมีคนอื่นผู้หญิงจะได้รับความเห็นใจและสามีจะถูกประณาม
4.สังคมที่อยู่อาศัยแคบ
คือคนสมัยก่อนการไม่ได้เดินทางไปไหนนอกพื้นที่ บางคนก็อาศัยอยู่ในหมู่บ้านหรือชุมชนตนเองตั้งแต่เกิดจนตาย
เมื่อเกิดเรื่องอะไรก็จะลือกันไปทั้งชุมชน เรื่องการหย่าร้างถือเป็นขี้ปากของคนในชุมชนได้ดีเรื่องหนึ่ง
เมื่อตกเป็นขี้ปากของคนในชุมชนก็เกิดความอับอายแต่ไม่สามารถหนีเรื่องราวที่อื้อฉาวไปไหนได้
จึงทำให้ถ้าได้สามีไม่ดีก็ต้องจำทนจนตายจากกันไปข้างนึง
ไม่เหมือนปัจจุบันที่การเดินทางสะดวก ถ้าเกิดปัญหาหย่าร้างก็สามารถออกจากชุมชนที่ตนเองอาศัย
ไปตั้งหลัก ทำมาหากินที่อื่นได้
5.การได้พบปะกับผู้คนน้อย ตัวเลือกน้อย
เมื่อก่อนการเดินทางไม่สะดวกเหมือนสมัยนี้ทำให้คนเราได้พบปะกับคนต่างชุมชนน้อย
ถึงจะเจอก็เฉพาะในโอกาสสำคัญ ๆ เช่น ปีใหม่ ลอยกระทง
การที่รู้จักคนน้อยจึงไม่มีการเปรียบเทียบและคิดว่าคนที่เลือกคือคนที่ดีที่สุดไม่คิดจะไปหาคนใหม่
ไม่เหมือนปัจจุบันที่การรู้จักกับคนแปลกหน้าอยู่แค่ปลายนี้วจึงก่อให้เกิด "การนอกใจอยู่แค่ปลายนิ้ว" ตามมา
6.ความอิสระในการใช้ชีวิต การเลือกคู่
สมัยก่อนการแต่งงานขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย ไม่สามารถมานั่งคบหาเลือกแล้วเลือกอีกได้อย่างอิสระเหมือนปัจจุบัน
เมื่อแต่งงานแล้วถึงเจอสามีไม่ดีก็ต้องอยู่กันไปจนตายจากกันไปข้างนึงเพราะเลิกไม่ได้ ไม่อยากเป็นขี้ปาก
ไม่มีอิสระด้านการเงิน
7.สายเกินไป
คือบางคนไม่ได้อยากอยู่ด้วยกันแต่จำเป็นต้องทนอยู่จากปัจจัยข้างต้น
และเมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนไปปัจจุบันสามารถยอมรับเรื่องการหย่าร้างได้
ตนเองมีอิสระทางการเงินไม่ต้องแคร์ขี้ปากชาวบ้าน
แต่ด้วย "อายุของตนเอง" ซึ่งแก่มากแล้วเป็นคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย
อายุ 70-80 แล้วไม่มีคนอยากได้ก็คิดว่าอยู่กันไปจนกว่าจะตายจากกันไปก็ละกัน
สาเหตุข้างต้นจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนสมัยก่อนต้องอยู่ด้วยกันจนตายจากกัน
ทั้ง ๆ ที่หลาย ๆ คู่ไม่ได้รักกันเลยแต่เพราะเกิดจากการบีบบังคับ
เพียงแต่คนปัจจุบันมองแค่ผิวเผินคิดว่าคนสมัยก่อนรักกัน จริงใจกันกว่าสมัยนี้
ทั้ง ๆ ที่ปัจจัยมันไม่ใช่เกิดจากตัวบุคคลแต่เป็นเพราะสภาพสังคมที่บีบบังคับ
ถ้าลองเอาคนสมัยก่อนมาอยู่ในสมัยนี้ผลก็อาจจะไม่แตกต่างกันก็ได้.
พวกคุณคิดว่ายังไง แลกเปลี่ยนความคิดแบบสุภาพชนกันได้
ขอบคุณครับ
การที่คนสมัยก่อนรักกันอยู่ด้วยกันจนตายจากเป็นความรักโรแมนติกแบบที่คนปัจจุบันนี้ซาบซึ้งอาจไม่เป็นแบบนั้นทั้งหมดก็ได้
คนสมัยก่อนที่อยู่ด้วยกันจนตายจากจนทำให้คนปัจจุบ้นคิดว่าพวกเขาเหล่านั้น
รักกันจริง เป็นความรักแบบโรแมนติกที่คนในยุคปัจจุบันซาบซี้ง, โหยหา, บูชาและฝันใฝ่ว่าอยากจะมี
ที่จริงแล้วหลาย ๆ คู่ไม่ได้อยากจะอยู่ด้วยกันจนตายจากหรอกแต่มันมีปัจจัยมาจากสิ่งเหล่านี้ก็ได้
1.การศึกษาและความไม่อิสระในด้านการเงิน
ผู้หญิงสมัยก่อนไม่ได้รับการศึกษาทำให้ไม่สามารถไปทำงานได้ ทำให้เมื่อแต่งงานแล้วก็ต้องพึ่งพาสามี
ถ้าชีวิตคู่ไม่ดีก็ไม่สามารถหย่าร้างได้เพราะจะไม่มีรายได้
ไม่เหมือนปัจจุบันที่ผู้หญิงได้รับการศึกษาสามารถทำงานได้จึงทำให้มีอิสระในด้านการเงินไม่ต้องพึ่งพาสามี.
2.ค่านิยมในเรื่องการประกอบอาชีพ
ข้อนี้จะเกี่ยวพันกับข้อ 1 คือ
ถึงแม้จะมีจะมีการศึกษาแต่สมัยก่อนมีอาชีพให้ประกอบไม่มากเท่าปัจจุบันหลาย ๆ
อาชีพก็สงวนไว้สำหรับผู้ชาย เช่นรับราชการ เป็นขุนน้ำขุนนาง
และหลาย ๆ อาชีพก็ต้องใช้แรงงานอย่างมากในทำซึ่งผู้หญิงไม่สามารถทำได้เช่น กรรมกร
รวมถึงค่านิยมที่ผู้หญิงต้องเป็นแม่บ้านแม่เรือน ให้สามีเป็นคนเลี้ยง
จึงทำให้ผู้หญิงไม่สามารถประกอบอาชีพได้ เมื่อประกอบอาชีพไม่ได้ก็ต้องแต่งงานและพึ่งพาสามี
ถ้าชีวิตคู่ไม่ดีก็ไม่สามารถหย่าร้างได้เพราะจะไม่มีรายได้
ไม่เหมือนปัจจุบันที่ผู้หญิงสามารถประกอบอาชีพได้และ
ยังมีอาชีพหลากหลายให้ผู้หญิงทำเช่นอาชีพที่ไม่ต้องใช้แรงงานเช่นคอลเซนเเตอร์ ช่างแต่งหน้า นักเขียน
จึงทำให้ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสามีและสามารถหย่าร้างได้ถ้าสามีไม่ดี
3.ค่านิยมเรื่องการเป็นหม้ายและการหย่าร้าง
อันนี้รวมถึงหน้าตาทางสังคมด้วย
สังคมสมัยก่อนเห็นว่าการเป็นการหย่าร้างและแม่หม้ายโดยเฉพาะหม้ายสามีทิ้ง
เป็นสิ่งที่น่าละอายจึงทำให้ถ้าได้สามีไม่ดีก็ต้องจำทนจนตายจากกันไปข้างนึง
ไม่เหมือนสมัยปัจจุบันที่การเป็นหม้ายหรือแม่เลี้ยงเดี่ยวเป็นเรื่องปกติของสังคม
ในทางกลับกันถ้าสามีทิ้งไปเพราะมีคนอื่นผู้หญิงจะได้รับความเห็นใจและสามีจะถูกประณาม
4.สังคมที่อยู่อาศัยแคบ
คือคนสมัยก่อนการไม่ได้เดินทางไปไหนนอกพื้นที่ บางคนก็อาศัยอยู่ในหมู่บ้านหรือชุมชนตนเองตั้งแต่เกิดจนตาย
เมื่อเกิดเรื่องอะไรก็จะลือกันไปทั้งชุมชน เรื่องการหย่าร้างถือเป็นขี้ปากของคนในชุมชนได้ดีเรื่องหนึ่ง
เมื่อตกเป็นขี้ปากของคนในชุมชนก็เกิดความอับอายแต่ไม่สามารถหนีเรื่องราวที่อื้อฉาวไปไหนได้
จึงทำให้ถ้าได้สามีไม่ดีก็ต้องจำทนจนตายจากกันไปข้างนึง
ไม่เหมือนปัจจุบันที่การเดินทางสะดวก ถ้าเกิดปัญหาหย่าร้างก็สามารถออกจากชุมชนที่ตนเองอาศัย
ไปตั้งหลัก ทำมาหากินที่อื่นได้
5.การได้พบปะกับผู้คนน้อย ตัวเลือกน้อย
เมื่อก่อนการเดินทางไม่สะดวกเหมือนสมัยนี้ทำให้คนเราได้พบปะกับคนต่างชุมชนน้อย
ถึงจะเจอก็เฉพาะในโอกาสสำคัญ ๆ เช่น ปีใหม่ ลอยกระทง
การที่รู้จักคนน้อยจึงไม่มีการเปรียบเทียบและคิดว่าคนที่เลือกคือคนที่ดีที่สุดไม่คิดจะไปหาคนใหม่
ไม่เหมือนปัจจุบันที่การรู้จักกับคนแปลกหน้าอยู่แค่ปลายนี้วจึงก่อให้เกิด "การนอกใจอยู่แค่ปลายนิ้ว" ตามมา
6.ความอิสระในการใช้ชีวิต การเลือกคู่
สมัยก่อนการแต่งงานขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย ไม่สามารถมานั่งคบหาเลือกแล้วเลือกอีกได้อย่างอิสระเหมือนปัจจุบัน
เมื่อแต่งงานแล้วถึงเจอสามีไม่ดีก็ต้องอยู่กันไปจนตายจากกันไปข้างนึงเพราะเลิกไม่ได้ ไม่อยากเป็นขี้ปาก
ไม่มีอิสระด้านการเงิน
7.สายเกินไป
คือบางคนไม่ได้อยากอยู่ด้วยกันแต่จำเป็นต้องทนอยู่จากปัจจัยข้างต้น
และเมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนไปปัจจุบันสามารถยอมรับเรื่องการหย่าร้างได้
ตนเองมีอิสระทางการเงินไม่ต้องแคร์ขี้ปากชาวบ้าน
แต่ด้วย "อายุของตนเอง" ซึ่งแก่มากแล้วเป็นคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย
อายุ 70-80 แล้วไม่มีคนอยากได้ก็คิดว่าอยู่กันไปจนกว่าจะตายจากกันไปก็ละกัน
สาเหตุข้างต้นจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนสมัยก่อนต้องอยู่ด้วยกันจนตายจากกัน
ทั้ง ๆ ที่หลาย ๆ คู่ไม่ได้รักกันเลยแต่เพราะเกิดจากการบีบบังคับ
เพียงแต่คนปัจจุบันมองแค่ผิวเผินคิดว่าคนสมัยก่อนรักกัน จริงใจกันกว่าสมัยนี้
ทั้ง ๆ ที่ปัจจัยมันไม่ใช่เกิดจากตัวบุคคลแต่เป็นเพราะสภาพสังคมที่บีบบังคับ
ถ้าลองเอาคนสมัยก่อนมาอยู่ในสมัยนี้ผลก็อาจจะไม่แตกต่างกันก็ได้.
พวกคุณคิดว่ายังไง แลกเปลี่ยนความคิดแบบสุภาพชนกันได้
ขอบคุณครับ