จริงๆ ก็เซอร์ไพรส์ตัวเองเหมือนกันแหละที่กลายเป็นแฟนของ “เพราะเราคู่กัน 2gether The Series” แบบติดหนึบหนับ ตามดูตามเชียร์ทุกสิ่งอย่าง เพราะเราไม่ใช่สายวาย (ซีรี่ส์วายที่ดูจนจบที่ผ่านมา ก็มีแค่เรื่องเดียว คือ Love Sick The Series เช่นเดียวกับนิยายวายที่อ่านก็มีแค่เรื่องนี้) ผู้ชายอย่างไบร์ท (วชิรวิชญ์ ชีวอารี) และวิน (เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร) ก็ไม่ใช่สเปคเลย แล้ว EP แรกๆ ตัวละครอย่างสารวัตรกับไทน์ก็ไม่เข้าทางเรา...ค่อนไปทางเกลียดด้วยซ้ำ ผู้ชายขี้เก๊ก กับผู้ชายที่เรียกตัวเองว่า “ไทน์คนชิคๆ” เนี่ยนะ!! แต่พอเคมีและเสน่ห์ของนักแสดงมันได้! ฉากจิ้นๆ ทำได้โดน! และมวลรวมของเรื่องราวที่ทำให้เรานั่งยิ้ม อารมณ์ดี และส่งพลังบวกๆ ออกมาตลอดเวลา รู้ตัวอีกทีก็โดนตกไปแล้วจ้า
.
สำหรับเราแล้ว การเดินทางเข้าสู่โลกของซีรี่ส์วาย เราต้องตั้งธงไว้ก่อนว่า นี่คือมันโลกอีกใบที่อะไรๆ ก็เป็นไปได้ และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือเรื่องราวความสัมพันธ์ของตัวละคร เคมีของตัวละครและนักแสดง ดังนั้น อะไรอื่นๆ ที่เหลือเราพร้อมจะมองข้ามได้เสมอ จริงอยู่ว่าโปรดักชั่น บท นักแสดงรายรอบ หรือแม้แต่ความสมเหตุสมผลของซีรี่ส์เรื่องนี้นั้นเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ แต่ เฮ้ย ในโลกของความวาย สิ่งที่เราสนใจที่สุดไม่ใช่อะไรพวกนี้หรอก!
.
ความรักความสัมพันธ์ของสารวัตรกับไทน์มันทำให้เราย้อนคิดถึงความรักสมัยวัยรุ่นวัยเรียน ทำให้เราคิดถึงความหวังความฝันแบบเด็กๆ ที่เชื่อมั่นในรักแรก การแอบรักที่กลายมาเป็นรักแท้ หรือแม้แต่การเชื่อว่าความรักจะเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้ แล้วมันก็น่าประหลาดใจนะที่เราเชื่อกับความรักที่เห็นตรงหน้าด้วย แม้ว่าในโลกแห่งความเป็นจริง เราจะกลายเป็นคนเย็นชา ตายด้าน หรือหลงลืมไปแล้วว่าเราเคยเชื่อในพลังแห่งรักแบบนี้
.
แล้วก็ต้องให้เครดิตการแสดงของสองนักแสดงนำด้วย เริ่มจาก “ไบร์ท” ในบทสารวัตร จากความนิ่ง เท่ หยอดเก่ง จ้องเก่ง ที่ทำให้เราเคลิ้ม ตัวละครสารวัตรก็ค่อยๆ โชว์ให้เห็นความยากของบทมากขึ้นเรื่อยๆ จุดพีคที่ทำให้เราชอบมากก็คงเป็นซีนจูบแรก “กูจองแล้ว” ที่สีหน้าก่อนจูบนั้นบอกเล่าอะไรมากมายได้ดีเหลือเกิน แล้วที่น่ารักมากก็คืออาการไปไม่เป็นทั้งหลายที่มาแฟลชแบ็กให้เราดูใน EP11 มันทำให้เราต้องมองย้อนความรู้สึกและการแสดงออกทั้งหมดของสารวัตรที่ผ่านมาใหม่หมดเลย ส่วน “วิน” จากที่ถูกคาแร็คเตอร์สารวัตรฉายแสงกลบมาตลอด อยู่ๆ ตัวละครนี้ก็ค่อยๆ โปรยเสน่ห์ของตัวเองออกมามากขึ้นเรื่อยๆ จนเราก็ตกหลุมรักเค้าไปโดยไม่รู้ตัวอีกคน ทึ่งมากขึ้นไปอีกกับซีนดราม่าขับเน้นอารมณ์ที่เริ่มมาตั้งแต่ EP10 ฉากร้องไห้ที่ไทน์รู้สึกว่าตัวเองเล่นดนตรีร้องเพลงได้ไม่เต็มที่ เป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกว่า เฮ้ย วินเป็นนักแสดงที่น่าสนใจแฮะ (แล้วฉากร้องไห้ทั้งหมดของวินในเรื่องก็มีโทนอารมณ์ที่แตกต่างกันหมดเลย แล้วมันก็ดีมาก!) พีคที่สุดก็ฉากร้องไห้เสียใจหลังจากเห็นสารวัตรกับแพมนั่นแหละ ขนาดว่าเราบังเอิญไปเจอคลิปนี้แทรกอยู่ในรีแอคไหน หรือใครตัดมาสั้นๆ เราก็ยังน้ำตาไหลตามไทน์ได้ทุกครั้ง เป็นผู้ชายที่ร้องไห้ได้น่าสงสารมาก อยากกอดอยากปลอบ!
.
แล้วนอกจากการตัดจบแบบค้างคาอารมณ์ของคนดูให้ต้องตะโกนว่า “จะจบ EP แบบนี้ไม่ด๊าย” ที่เราชอบมากแล้ว เรายังชอบการเปิด/ปิดปมดราม่าต่างๆ ในเรื่องที่เกิดขึ้นแบบปุบปับฉับไวมาก (ยกเว้น 2 EP สุดท้ายที่ดราม่าระหว่างสารวัตร-ไทน์จะคาราคาซังกว่าปกติ) คือในขณะที่ละครหรือซีรี่ส์เรื่องอื่นๆ จะขยายความดราม่าของความเข้าใจผิด หรือปัญหาต่างๆ ให้ยืดยาว แทรกด้วยภาพตัวละครเหม่อมองเศร้าสร้อย เล่าด้วย MV เพลงประกอบอะไรก็ว่ากันไป ปมปัญหาดราม่าใน “เพราะเราคู่กัน 2gether The Series” จะมาไวไปไวมาก แบบเรายังไม่ทันจะเครียดหรือกดดันอะไร เรื่องก็คลี่คลายให้ยิ้มได้แล้ว ซึ่งแรกๆ ก็รู้สึกประหลาดหน่อยๆ ทำไมเล่าเรื่องแปลกจัง แต่พอเวลาผ่านไป เราก็ชินและชอบมาก ไม่เครียดดีนะเธอ!
.
แล้วจะไม่พูดถึงเพลงประกอบของ scrubb ก็คงไม่ได้ ชอบมากแหละที่ซีรี่ส์ได้ใช้เพลงประกอบของ scrubb ตามเวอร์ชั่นหนังสือนิยายได้จริงๆ แล้วการเลือกเพลงวางเพลงก็ทำได้ดีมาก ยอมรับตามตรงว่ามีหลายเพลงเลยที่เราได้กลับมานั่งตั้งใจฟังเนื้อเพลงจริงๆ จังๆ แล้วพบว่าเนื้อเพลงของ scrubb มันมีเสน่ห์มากนะ มันเหมือนจะเรียบง่าย แต่เล่าด้วยชั้นเชิงฉลาด แล้วภาษาที่ใช้ก็ดีมากด้วย
อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่
เพจ ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
[CR] [Review] เพราะเราคู่กัน 2gether The Series (2020)
จริงๆ ก็เซอร์ไพรส์ตัวเองเหมือนกันแหละที่กลายเป็นแฟนของ “เพราะเราคู่กัน 2gether The Series” แบบติดหนึบหนับ ตามดูตามเชียร์ทุกสิ่งอย่าง เพราะเราไม่ใช่สายวาย (ซีรี่ส์วายที่ดูจนจบที่ผ่านมา ก็มีแค่เรื่องเดียว คือ Love Sick The Series เช่นเดียวกับนิยายวายที่อ่านก็มีแค่เรื่องนี้) ผู้ชายอย่างไบร์ท (วชิรวิชญ์ ชีวอารี) และวิน (เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร) ก็ไม่ใช่สเปคเลย แล้ว EP แรกๆ ตัวละครอย่างสารวัตรกับไทน์ก็ไม่เข้าทางเรา...ค่อนไปทางเกลียดด้วยซ้ำ ผู้ชายขี้เก๊ก กับผู้ชายที่เรียกตัวเองว่า “ไทน์คนชิคๆ” เนี่ยนะ!! แต่พอเคมีและเสน่ห์ของนักแสดงมันได้! ฉากจิ้นๆ ทำได้โดน! และมวลรวมของเรื่องราวที่ทำให้เรานั่งยิ้ม อารมณ์ดี และส่งพลังบวกๆ ออกมาตลอดเวลา รู้ตัวอีกทีก็โดนตกไปแล้วจ้า
.
สำหรับเราแล้ว การเดินทางเข้าสู่โลกของซีรี่ส์วาย เราต้องตั้งธงไว้ก่อนว่า นี่คือมันโลกอีกใบที่อะไรๆ ก็เป็นไปได้ และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือเรื่องราวความสัมพันธ์ของตัวละคร เคมีของตัวละครและนักแสดง ดังนั้น อะไรอื่นๆ ที่เหลือเราพร้อมจะมองข้ามได้เสมอ จริงอยู่ว่าโปรดักชั่น บท นักแสดงรายรอบ หรือแม้แต่ความสมเหตุสมผลของซีรี่ส์เรื่องนี้นั้นเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ แต่ เฮ้ย ในโลกของความวาย สิ่งที่เราสนใจที่สุดไม่ใช่อะไรพวกนี้หรอก!
.
ความรักความสัมพันธ์ของสารวัตรกับไทน์มันทำให้เราย้อนคิดถึงความรักสมัยวัยรุ่นวัยเรียน ทำให้เราคิดถึงความหวังความฝันแบบเด็กๆ ที่เชื่อมั่นในรักแรก การแอบรักที่กลายมาเป็นรักแท้ หรือแม้แต่การเชื่อว่าความรักจะเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้ แล้วมันก็น่าประหลาดใจนะที่เราเชื่อกับความรักที่เห็นตรงหน้าด้วย แม้ว่าในโลกแห่งความเป็นจริง เราจะกลายเป็นคนเย็นชา ตายด้าน หรือหลงลืมไปแล้วว่าเราเคยเชื่อในพลังแห่งรักแบบนี้
.
แล้วก็ต้องให้เครดิตการแสดงของสองนักแสดงนำด้วย เริ่มจาก “ไบร์ท” ในบทสารวัตร จากความนิ่ง เท่ หยอดเก่ง จ้องเก่ง ที่ทำให้เราเคลิ้ม ตัวละครสารวัตรก็ค่อยๆ โชว์ให้เห็นความยากของบทมากขึ้นเรื่อยๆ จุดพีคที่ทำให้เราชอบมากก็คงเป็นซีนจูบแรก “กูจองแล้ว” ที่สีหน้าก่อนจูบนั้นบอกเล่าอะไรมากมายได้ดีเหลือเกิน แล้วที่น่ารักมากก็คืออาการไปไม่เป็นทั้งหลายที่มาแฟลชแบ็กให้เราดูใน EP11 มันทำให้เราต้องมองย้อนความรู้สึกและการแสดงออกทั้งหมดของสารวัตรที่ผ่านมาใหม่หมดเลย ส่วน “วิน” จากที่ถูกคาแร็คเตอร์สารวัตรฉายแสงกลบมาตลอด อยู่ๆ ตัวละครนี้ก็ค่อยๆ โปรยเสน่ห์ของตัวเองออกมามากขึ้นเรื่อยๆ จนเราก็ตกหลุมรักเค้าไปโดยไม่รู้ตัวอีกคน ทึ่งมากขึ้นไปอีกกับซีนดราม่าขับเน้นอารมณ์ที่เริ่มมาตั้งแต่ EP10 ฉากร้องไห้ที่ไทน์รู้สึกว่าตัวเองเล่นดนตรีร้องเพลงได้ไม่เต็มที่ เป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกว่า เฮ้ย วินเป็นนักแสดงที่น่าสนใจแฮะ (แล้วฉากร้องไห้ทั้งหมดของวินในเรื่องก็มีโทนอารมณ์ที่แตกต่างกันหมดเลย แล้วมันก็ดีมาก!) พีคที่สุดก็ฉากร้องไห้เสียใจหลังจากเห็นสารวัตรกับแพมนั่นแหละ ขนาดว่าเราบังเอิญไปเจอคลิปนี้แทรกอยู่ในรีแอคไหน หรือใครตัดมาสั้นๆ เราก็ยังน้ำตาไหลตามไทน์ได้ทุกครั้ง เป็นผู้ชายที่ร้องไห้ได้น่าสงสารมาก อยากกอดอยากปลอบ!
.
แล้วนอกจากการตัดจบแบบค้างคาอารมณ์ของคนดูให้ต้องตะโกนว่า “จะจบ EP แบบนี้ไม่ด๊าย” ที่เราชอบมากแล้ว เรายังชอบการเปิด/ปิดปมดราม่าต่างๆ ในเรื่องที่เกิดขึ้นแบบปุบปับฉับไวมาก (ยกเว้น 2 EP สุดท้ายที่ดราม่าระหว่างสารวัตร-ไทน์จะคาราคาซังกว่าปกติ) คือในขณะที่ละครหรือซีรี่ส์เรื่องอื่นๆ จะขยายความดราม่าของความเข้าใจผิด หรือปัญหาต่างๆ ให้ยืดยาว แทรกด้วยภาพตัวละครเหม่อมองเศร้าสร้อย เล่าด้วย MV เพลงประกอบอะไรก็ว่ากันไป ปมปัญหาดราม่าใน “เพราะเราคู่กัน 2gether The Series” จะมาไวไปไวมาก แบบเรายังไม่ทันจะเครียดหรือกดดันอะไร เรื่องก็คลี่คลายให้ยิ้มได้แล้ว ซึ่งแรกๆ ก็รู้สึกประหลาดหน่อยๆ ทำไมเล่าเรื่องแปลกจัง แต่พอเวลาผ่านไป เราก็ชินและชอบมาก ไม่เครียดดีนะเธอ!
.
แล้วจะไม่พูดถึงเพลงประกอบของ scrubb ก็คงไม่ได้ ชอบมากแหละที่ซีรี่ส์ได้ใช้เพลงประกอบของ scrubb ตามเวอร์ชั่นหนังสือนิยายได้จริงๆ แล้วการเลือกเพลงวางเพลงก็ทำได้ดีมาก ยอมรับตามตรงว่ามีหลายเพลงเลยที่เราได้กลับมานั่งตั้งใจฟังเนื้อเพลงจริงๆ จังๆ แล้วพบว่าเนื้อเพลงของ scrubb มันมีเสน่ห์มากนะ มันเหมือนจะเรียบง่าย แต่เล่าด้วยชั้นเชิงฉลาด แล้วภาษาที่ใช้ก็ดีมากด้วย
อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่ เพจ ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้