ผมได้ก๊อปมาจากกลุ่มเฟส"คุยปรัชญาให้ถึงแก่น"
เครดิตคนเขียน Longinus Thanatos Sriyotha
อยากให้เพื่อนๆมาคอมเม้นกันครับว่ามันจริงเท็จมากน้อยแค่ไหน
พระเป็นอาชีพสุจริตจริงๆเหรอ ?
ในเมื่อศรัทธาในศาสนาพุทธของประชาชนมาจากการสร้างของรัฐ
ผมเห็นหลายคนชอบอ้างว่า ไม่มีใครบังคับให้ใส่บาตรพระ ต้องใส่ด้วยใจ
แต่เด็กเกิดมาไม่ได้อยู่ๆศรัทธาในศาสนาพุทธเองนะครับ เด็กทุกคนโดนบังคับโดยไม่รู้ตัวตั้งแต่ยังเด็ก เข้าโรงเรียนไปก็โดนจับสวดมนต์ สังคังนะมามิ ทุกเช้าทุกวัน
โรงเรียนรัฐปฏิบัติราวกับเด็กเป็นคนเลือกศาสนาพุทธด้วยตัวเอง ครูไม่เคยถามเด็กสักคำว่า "หนูได้เลือกมาเป็นพุทธเองมั้ย" หรือ "หนูโดนพ่อแม่บังคับหรือเปล่า" "ถ้าหนูไม่อยากสวดมนต์ก็ทำได้นะ" "จริงๆแล้วมันไม่ได้ผิด" "ไม่ต้องเป็นพุทธก็ได้"
แต่บุคลากรภาคการศึกษาจัดการกับเด็กเหมือนสินค้าในสต๊อค เด็กไม่เคยรับรู้ว่าตัวเองมีหลายทางเลือก เสรีภาพในการนับถือศาสนาของเด็กถูกมองเป็นเรื่องตลก แต่กลับโฆษณาว่าศาสนาพุทธไม่มีการบังคับให้นับถือ แถมออกมาเป็นกฎหมายด้วยว่าทุกโรงเรียนต้องมีการสวดมนต์ตอนเช้า นี่ยังไม่นับว่าโรงเรียนรัฐมีอำนาจบังคับให้เด็กต้องเรียนพุทธศาสนาได้ มีโรงเรียนจำนวนมากที่บังคับเด็กเข้าค่ายธรรมะด้วย
ในเมื่อสถานศึกษาของรัฐมันเป็นแบบนี้แล้ว จะไม่ให้คนนับถือพุทธมันมีเยอะได้ไง คำถามคือ ที่คนนับถือพุทธเยอะเพราะเค้าเห็นว่าศาสนาพุทธนั้นดีจริง หรือว่าโดนยัดเยียดมาให้โดยไม่มีทางเลือก ? หากศรัทธามันเป็นสิ่งที่ถูกยัดเยียด/สร้างขึ้นมาโดยเราเลือกไม่ได้ คนพุทธยังจะด้านบอกว่า พระเป็นอาชีพสุจริตอยู่ได้อีกเหรอ ?
ข้อเท็จจริงคือ การที่คนๆนึงจะเลือกนับถือศาสนาอะไร มันไม่ใช่แค่ชอบแล้วจะเปลี่ยนศาสนาได้ แต่มันต้องใช้เวลา ใช้ความพยายาม ใช้ความอดทนมีศรัทธา บางทีต้องอาศัยสภาพแวดล้อม การที่คนๆนึงที่เชื่อศาสนานึงไปแล้วจะเปลี่ยนเป็นอีกศาสนานึงมันไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ เราอาจพูดได้ว่า การนับถือศาสนามันมีต้นทุน เป็นต้นทุนที่จำกัดซะด้วย และรัฐก็แย่งต้นทุนแบบนั้นจากเยาวชนคนไทยไปจนหมดแล้ว ก่อนจะมาอ้างโง่ๆว่า "โตแล้วให้มันไปเปลี่ยนเอาเองทีหลังได้" คนส่วนใหญ่เค้าถึงเลือกจะเป็นพุทธต่อไป ไม่ใช่เพราะศาสนาพุทธมันดี เพราะตอนแรกมันมีให้เลือกอยู่แค่นั้น
ในขณะที่ประเทศที่แยกศาสนาออกจากรัฐ เขาจะไม่ให้มีกิจกรรมทางศาสนาในโรงเรียนรัฐ เพราะมันเป็นการล้างสมองเด็ก องค์กรศาสนาต้องตั้งโรงเรียนเอกชนของตัวเอง พ่อแม่อยากเลือกศาสนาให้ลูกต้องส่งเข้าโรงเรียนเอกชนแพงๆ รัฐจะไม่มียุ่ง เพราะเด็กมีเสรีภาพในการนับถือศาสนาคุ้มครองอยู่
พระจึงไม่ใช่อาชีพที่สุจริต แต่เป็นอาชีพที่หากินกับความเชื่อ เงินบริจาคเข้าวัดหรือพุทธศาสนาต้องเก็บเงินที่เก็บภาษีได้ เพราะรัฐตะหากที่ทำให้คนนับถือศาสนาพุทธเยอะขนาดนี้ ไม่ใช่อยู่ๆประชาชนจะศรัทธาพุทธขึ้นมาเอง หรือถ้าอยากให้พระเป็นอาชีพสุจริตก็ต้องแยกรัฐออกจากศาสนาให้ได้จริงๆเสียก่อน แต่ลองคิดดูนะ ถ้าโรงเรียนรัฐไม่บังคับสวดมนต์ ไม่มีสอนพุทธศาสนา ไม่มีค่ายธรรมะในโรงเรียน วัดต้องตั้งโรงเรียนเอกชนเอง คนนับถือพุทธมันจะมีเยอะขนาดนี้มั้ย
อาจจะหลุดประเด็นเรื่องพระไปบ้างอยากให้มาคอมเม้นประเด็นpropagandaมากกว่า
ใช้ศาสนาPropagandaนักเรียน
เครดิตคนเขียน Longinus Thanatos Sriyotha
อยากให้เพื่อนๆมาคอมเม้นกันครับว่ามันจริงเท็จมากน้อยแค่ไหน
พระเป็นอาชีพสุจริตจริงๆเหรอ ?
ในเมื่อศรัทธาในศาสนาพุทธของประชาชนมาจากการสร้างของรัฐ
ผมเห็นหลายคนชอบอ้างว่า ไม่มีใครบังคับให้ใส่บาตรพระ ต้องใส่ด้วยใจ
แต่เด็กเกิดมาไม่ได้อยู่ๆศรัทธาในศาสนาพุทธเองนะครับ เด็กทุกคนโดนบังคับโดยไม่รู้ตัวตั้งแต่ยังเด็ก เข้าโรงเรียนไปก็โดนจับสวดมนต์ สังคังนะมามิ ทุกเช้าทุกวัน
โรงเรียนรัฐปฏิบัติราวกับเด็กเป็นคนเลือกศาสนาพุทธด้วยตัวเอง ครูไม่เคยถามเด็กสักคำว่า "หนูได้เลือกมาเป็นพุทธเองมั้ย" หรือ "หนูโดนพ่อแม่บังคับหรือเปล่า" "ถ้าหนูไม่อยากสวดมนต์ก็ทำได้นะ" "จริงๆแล้วมันไม่ได้ผิด" "ไม่ต้องเป็นพุทธก็ได้"
แต่บุคลากรภาคการศึกษาจัดการกับเด็กเหมือนสินค้าในสต๊อค เด็กไม่เคยรับรู้ว่าตัวเองมีหลายทางเลือก เสรีภาพในการนับถือศาสนาของเด็กถูกมองเป็นเรื่องตลก แต่กลับโฆษณาว่าศาสนาพุทธไม่มีการบังคับให้นับถือ แถมออกมาเป็นกฎหมายด้วยว่าทุกโรงเรียนต้องมีการสวดมนต์ตอนเช้า นี่ยังไม่นับว่าโรงเรียนรัฐมีอำนาจบังคับให้เด็กต้องเรียนพุทธศาสนาได้ มีโรงเรียนจำนวนมากที่บังคับเด็กเข้าค่ายธรรมะด้วย
ในเมื่อสถานศึกษาของรัฐมันเป็นแบบนี้แล้ว จะไม่ให้คนนับถือพุทธมันมีเยอะได้ไง คำถามคือ ที่คนนับถือพุทธเยอะเพราะเค้าเห็นว่าศาสนาพุทธนั้นดีจริง หรือว่าโดนยัดเยียดมาให้โดยไม่มีทางเลือก ? หากศรัทธามันเป็นสิ่งที่ถูกยัดเยียด/สร้างขึ้นมาโดยเราเลือกไม่ได้ คนพุทธยังจะด้านบอกว่า พระเป็นอาชีพสุจริตอยู่ได้อีกเหรอ ?
ข้อเท็จจริงคือ การที่คนๆนึงจะเลือกนับถือศาสนาอะไร มันไม่ใช่แค่ชอบแล้วจะเปลี่ยนศาสนาได้ แต่มันต้องใช้เวลา ใช้ความพยายาม ใช้ความอดทนมีศรัทธา บางทีต้องอาศัยสภาพแวดล้อม การที่คนๆนึงที่เชื่อศาสนานึงไปแล้วจะเปลี่ยนเป็นอีกศาสนานึงมันไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ เราอาจพูดได้ว่า การนับถือศาสนามันมีต้นทุน เป็นต้นทุนที่จำกัดซะด้วย และรัฐก็แย่งต้นทุนแบบนั้นจากเยาวชนคนไทยไปจนหมดแล้ว ก่อนจะมาอ้างโง่ๆว่า "โตแล้วให้มันไปเปลี่ยนเอาเองทีหลังได้" คนส่วนใหญ่เค้าถึงเลือกจะเป็นพุทธต่อไป ไม่ใช่เพราะศาสนาพุทธมันดี เพราะตอนแรกมันมีให้เลือกอยู่แค่นั้น
ในขณะที่ประเทศที่แยกศาสนาออกจากรัฐ เขาจะไม่ให้มีกิจกรรมทางศาสนาในโรงเรียนรัฐ เพราะมันเป็นการล้างสมองเด็ก องค์กรศาสนาต้องตั้งโรงเรียนเอกชนของตัวเอง พ่อแม่อยากเลือกศาสนาให้ลูกต้องส่งเข้าโรงเรียนเอกชนแพงๆ รัฐจะไม่มียุ่ง เพราะเด็กมีเสรีภาพในการนับถือศาสนาคุ้มครองอยู่
พระจึงไม่ใช่อาชีพที่สุจริต แต่เป็นอาชีพที่หากินกับความเชื่อ เงินบริจาคเข้าวัดหรือพุทธศาสนาต้องเก็บเงินที่เก็บภาษีได้ เพราะรัฐตะหากที่ทำให้คนนับถือศาสนาพุทธเยอะขนาดนี้ ไม่ใช่อยู่ๆประชาชนจะศรัทธาพุทธขึ้นมาเอง หรือถ้าอยากให้พระเป็นอาชีพสุจริตก็ต้องแยกรัฐออกจากศาสนาให้ได้จริงๆเสียก่อน แต่ลองคิดดูนะ ถ้าโรงเรียนรัฐไม่บังคับสวดมนต์ ไม่มีสอนพุทธศาสนา ไม่มีค่ายธรรมะในโรงเรียน วัดต้องตั้งโรงเรียนเอกชนเอง คนนับถือพุทธมันจะมีเยอะขนาดนี้มั้ย
อาจจะหลุดประเด็นเรื่องพระไปบ้างอยากให้มาคอมเม้นประเด็นpropagandaมากกว่า