สวัสดีครับ เมื่อวันที่ 2 May 2020 ผมได้ไปสอบ Computer-Delivered IELTS, Academic module มาที่ศูนย์สอบของ IDP ตรงตึก CP Tower ครับ
ออกตัวก่อนว่าผมตั้งใจว่าจะสอบเพื่อใช้ไปยื่นเรียนต่อต่างประเทศ โดยเล็งๆไว้ที่ทาง UK ครับ เนื่องจากสมัย ป.ตรี ผมเคยไปเรียนแลกเปลี่ยนที่แถบๆยุโรปเลยชื่นชอบศิลปะวัฒนธรรมแถบๆนั้น ก่อนสอบผมตั้งเป้าไว้ว่าอยากได้ overall band อย่างต่ำ 7.5 โดยที่ไม่มี part ไหนได้ต่ำกว่า 7 จะได้นำไปยื่นได้โดยไม่ติดปัญหาครับ
การเตรียมตัว
ผมติวเองครับโดยเตรียมตัวประมาณ 1 เดือน อาศัยช่วงเย็นๆหลังเลิกงาน โดยใช้เวลาไม่มากครับแต่ทำทุกวัน อาศัยความที่เป็นคนชอบอ่านบทความ ฟังเพลง ดูรายการโทรทัศน์ช่องข่าวเป็นภาษาอังกฤษอยู่แล้วครับ ผมว่าภาษาอังกฤษเป็น skills ที่ต้องใช้บ่อยๆครับถึงจะชำนาญถ้าเราคลุกคลีอยู่กับมันทุกวัน วันละนานๆเดี๋ยวมันได้เองครับ สมัยนี้ภาษาอังกฤษอยู่รอบตัวเราไปหมดแค่คลิกก็เจอแล้ว ความรู้มีรอบตัว หลายแหล่งเรียนฟรีครับ อยู่ที่เราจะขวนขวายหามันหรือเปล่าเท่านั้นเอง อีกอย่างผมพยายามทำตัวให้รู้สึกสนุกไปกับการเรียนรู้ครับ อะไรที่ทำแล้วเราสนุกเราจะไม่รู้สึกเบื่อแล้วเราจะอยู่กับมันได้นาน
ผมใช้หนังสือ The Official Cambridge Guide to IELTS เล่มนี้ดีมากครับเพราะเป็นของสถาบันที่ออกข้อสอบโดยตรง โดยเนื้อหาจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆคือส่วนเนื้อหาให้ฝึก skills ทั้ง 4 ด้าน พร้อมทั้งเทคนิคการทำข้อสอบให้ได้คะแนนดีๆครับ ส่วนที่สองจะเป็น Practice Tests ทั้งหมด 8 ชุด ซึ่งเป็นข้อสอบจำลองที่เหมือนกับข้อสอบจริงๆ โดยผมแนะนำให้ฝึกทำทุก part ครับ และให้จับเวลา Part Reading กับ Writing part ละไม่เกิน 60 นาทีเหมือนในข้อสอบจริงๆจะได้รู้ว่าพอถึงวันจริงเราจะทำทันไหม พยายามฝึกเยอะๆครับทางที่ดีควรทำให้ได้ครบทั้ง 8 ชุดไปเลย นอกจากสำหรับผมติดตามช่อง E2 IELTS ของคุณ Jay & Alex ครับ มีเทคนิคดีๆเยอะมากสอนสนุกไม่น่าเบื่อเลย
พอถึงวันสอบจริงได้สอบ Speaking ก่อนช่วงเช้าครับ Examiner เป็นคนออสเตรเลียสำเนียงฟังยากนิดนึง สำหรับ part Speaking นี่ผมก็ยังทำได้ไม่ดีนักครับ แต่อยากจะมาแนะนำเทคนิคที่ได้เรียนรู้มาจากหนังสือและการศึกษาจากคลิปต่างๆ
มาถึง Part 1 ก็จะถามเกี่ยวกับเรื่องทั่วๆไปที่เกี่ยวกับตัวเราครับก็ถามไปเรื่อย
What's your hometown like?
Do you like where you live now?
ระวัง tense ดีๆครับถามปัจจุบันตอบ present tense ถามอดีต (what did, what was) ใช้ past tense ถ้าถามแนวอะไรเปลี่ยนไปไหม.. (Do you think .. has changed....) ใช้ 3 tenses ครับ past ตอนพูดถึงอดีต present tense ปัจจุบัน และถ้าจะใช้ refer ถึงสิ่งที่มันเปลี่ยนแปลงไปให้ใช้ present perfect ไรทำนองนั้นครับ
Part 2 จะได้ cue card มาครับและให้เวลาเราคิดประมาณ 1 นาที และพูด 1-2 นาทีครับ คำถามจะ guide มาให้ว่าให้พูดเรื่องอะไรมั่ง พยายามพูดให้ตอบทุกประเด็นคำถามครับ อันนี้ผมยังทำได้ไม่ดีเท่าไหร่จำได้ว่าตอนพูดคิดเรื่องไม่ออกเลยพูดได้ไม่ถึง 2 นาที คำถามส่วนใหญ่จะเป็นแนวให้อธิบายประสบการ์ณที่เกิดขึ้นในอดีต เช่น Describe a time when you helped someone ไรประมาณนั้นครับ ซึ่งส่วนใหญ่เวลาตอบถ้าพูดถึงอดีตต้องใช้ past tense เนาะ กับอีกแบบคือให้บอกว่าอยากได้อะไร (อารมณ์แนวๆเพ้อๆหน่อยๆ) เช่น Describe an ideal home บรรยายบ้านในฝันของคุณ ไรทำนองนั้น คือเป็นเรื่องไม่จริง เรื่องมโน พวกนี้ต้องใช้ modal verbs ในการตอบครับเช่น 'would' 'may' 'could' ถ้าใช้ไม่เป็นแนะนำให้ลองศึกษาครับ เพราะส่วนใหญ่ Part 2 เกือบทั้งหมดคำถามเป็นหนึ่งในสองอย่างนี้เท่านั้นครับ ถ้าถามอดีตไปตอบ present tense ก็จะได้คะแนนในส่วน grammar น้อยครับ
Part 3 อันนี้เป็นคำถามที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองละครับ จะยากที่สุดอาจเป็นเชิงปรัชญาเล็กๆ Examiner เค้าจะดูความสามารถในการแสดงความเห็นและความสามารถในการอธิบายข้อโต้แย้งของเราครับ ตัวอย่างคำถามเช่น Why do some people care more about the environment than others? อะไรประมาณนี้ครับ อันนี้เค้าไม่ได้ดูความคิดเราครับ ไอเดียไม่จำเป็นต้องดี ขอเพียงให้สื่อสารภาษาอังกฤษให้ดีๆก็พอ Part 3 ก็ใช้พวก modal verbs เยอะเช่นกันดังนั้นศึกษาเถอะครับ
สำหรับ Part Speaking เค้าจะแบ่งการให้คะแนนเราเป็น 4 ส่วนครับ ถ้าอยากได้คะแนนสูงๆต้องทำให้ได้ดีทั้ง 4 ส่วน
ส่วนแรกคือ Grammatical Range and Accuracy
Range หมายถึงความหลากหลายของแกรมม่าที่เราใช้พูด ความหลากหลายของรูปประโยค ถ้าอยากได้คะแนนในส่วนนี้เยอะๆอย่าพูดแต่ simple sentences ต้องใช้ประโยคที่มีโครงสร้างที่แตกต่างกันครับ (ทั้งนี้ต้องใช้ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติและถูกจังหวะ) เช่น compound sentences เชื่อมประโยคด้วย and , but , so หรือ complex sentences, etc...
Accuracy คือความถูกต้องครับ พูดง่ายๆก็คือพูดถูกแกรมม่าหรือไม่ครับ
ดังนั้นหากอยากได้คะแนนในส่วนนี้เยอะๆต้องมีทั้ง Range และ Accuracy ครับ
ส่วนที่สองคือ Lexical Resources คือคำศัพท์ที่ใช้รวมถึงพวกสำนวนต่างๆครับ สิ่งที่อยากแนะนำคือพยายามอย่าพูดใช้คำเดิมซ้ำๆมันจะทำให้ Examiner คิดว่าเรารู้ศัพท์น้อยครับ ตอนผมพูดอันนี้ยอมรับว่าบางทีคิดไม่ทันก็จะใช้แต่คำเดิมๆเช่น very good ก็ very good อยู่นั่นแหละ beautiful แล้ว beautiful เล่า ต้องเปลี่ยนเป็น It's gorgeous, breathtaking, dazzling, charming, mesmerizing นึกไรออกก็พูดเข้าไปครับ
ส่วนที่สามคือ Pronunciation อันนี้ต้องฝึกฟัง native speakers และหัดพูดตามอย่างเดียวเลยครับ
ส่วนที่สี่ Fluency and Cohesion: Fluency คือความคล่องในการพูดครับยิ่งฝึกพูดเยอะๆจะยิ่งคล่อง Cohesion คือความลื่นไหลปะติดปะต่อของเรื่องที่พูด ซึ่งจะสามารถเพิ่มคะแนนในส่วนนี้ได้โดยการศึกษาพวกการใช้ connectors, linking words ต่างๆ นอกจากนี้พยายามใช้ pronouns จะทำให้การพูดลื่นไหลมากขึ้นเช่น My favourite teacher was...
He was my homeroom teacher when I was in secondary school. ง่ายๆแค่นี้แหละได้คะแนนในส่วนนี้เพิ่มละ
โดยคะแนน Speaking ที่ได้จะเป็นคะแนนเฉลี่ยของแต่ละ 4 ส่วนนี้ครับ
หลังจากสอบ Speaking เสร็จตอนบ่ายเริ่มกันที่ Listening ครับ format เหมือนเดิมทุกรอบ 40 ข้อ แบ่งเป็น 4 part part ละ 10 ข้อ เริ่มจาก part ง่ายสุดไล่ไปยากสุด อันนี้สำคัญคือ
1) อ่านคำถามก่อนล่วงหน้าช่วงที่เค้ามีเวลาให้อ่าน เพื่อที่จะได้พอจับทางได้ว่าเราต้องการคำตอบแบบไหน คำที่เติมเป็น noun หรือ adjective พอเราอ่านคำถามแล้วจะพอเดาได้ครับว่าคนพูดจะพูดเกี่ยวกับเรื่องอะไร
2) มีสติครับถ้าหลุดแล้วอย่า panic เพราะคำตอบจะถูกพูดเรียงลำดับกันเสมอ ถ้าหลุดไปข้อหนึ่งให้ข้ามไปข้อต่อไปละอ่านคำถามต่อไปรอไว้ เดี๋ยวคนพูดจะต้องพูด key words ในคำถามต่อไปขึ้นมาให้เรารู้เองแหละว่าเค้าพูดถึงไหนแล้ว
3) Spelling สำคัญครับถ้าสะกดผิดต่อให้ฟังถูกแต่เขียนผิดจะไม่ได้คะแนนเลย กินไข่ในข้อนั้นทันที พยายามฝึก spelling ไว้ บางคำแอบยากนิดนึงเหมือนกัน เช่น bookshop ต้องเขียนติดกันไม่ใช่ book shop เขียน book shop ไปก็ 0 ทันทีเนาะ
4) Capitalisation คำที่ต้องขึ้นต้นด้วยตัวพิมพ์ใหญ่พิมพ์เล็กต้องถูกครับ แต่ผมตอนสอบผมตัดปัญหาโดยการกด Caps Lock ค้างไว้ตลอดตอนสอบ Listening กับ Reading ช่วยตัดปัญหาเรื่องนี้ไปได้เลย ไม่ต้องกลัวสะกดผิด
ปล. Listening เค้าบอก Part 4 ยากสุดจะเป็นฟังเกี่ยวกับเลคเชอร์เป็นอาจาร์ยมาสอนเรื่องทางเทคนิค แต่จริงๆผมว่าอาจาร์ยพูดดีทุกคนครับ 555 เพราะระดับอาจาร์ยแล้วจะเรียบเรียงเนื้อหาเลคเชอร์ทำให้ฟังเข้าใจง่ายอยู่แล้วแหละ Part ที่ยากผมว่าจริงๆคือ Part 3 จะเป็นนักศึกษา 2 คน (ชายคนหญิงคน) เป็นอย่างงี้ทุกรอบครับ IELTS format เค้า default มางี้ 2 คนนี้จะมาพูดคุยเกี่ยวกับการบ้าน โปรเจคที่ได้รับมาครับ ซึ่งแนะนำให้ตั้งใจฟังดีๆเลยครับ part นี้ อ่านคำถามล่วงหน้านานๆ เพราะ 2 คนนี้ด้วยความที่เป็นเด็กน้อยอะเนาะจะพูดวกไปวนมา เหมือนคนยังสับสนกับชีวิตนิดนึงครับ 5555 ผมทำ practice tests ละปวดหัวกับสองคนนี้ทุกรอบ ตอนไปสอบจริงก็เหมือนกัน
ต่อกันด้วย Reading ครับ 3 passages เรียงจากง่ายไปยากตามเคย 40 ข้อ จำกัดเวลา 60 นาที จะตก passage ละประมาณ 20 นาที แต่ควรเผื่อเวลาให้ passage หลังๆนานกว่าอันแรกๆหน่อยนึงครับตามความยากง่าย มาถึงผมอ่านคำถามก่อนเลยครับให้ได้ไอเดียคร่าวๆว่าตอนอ่านบทความเราต้องโฟกัสที่อะไร แต่ให้แสกนดูคำถามคร่าวๆพอครับไม่ต้องนาน ไม่ควรเกิน 1 นาที หลังจากนั้นอ่านบทความยิ่งอ่านเยอะยิ่งอ่านได้เร็วครับไม่ควรอ่านเกิน 6 นาที จะเหลือเวลาตอบคำถามประมาณ 13 นาที ไม่ควรเสียเวลาอ่านบทความมากครับ เพราะหลายๆคำถามไม่ต้องอ่านทั้งบทความก็ตอบได้ บางทีเราอาจลองไล่ดูคำถามก่อนบางบทความอาจมีแต่คำถามประเภทที่ไม่ได้ถาม main idea โดยรวมๆของบทความเลย ถามแต่ detail ในแต่ละ paragraph ถ้าเจอบทความแบบนี้ไม่จำเป็นต้องอ่านบทความเต็มๆเลยยังได้ครับ วันนี้ผมอยากแชร์เทคนิคการตอบคำถามสำหรับคำถาม 2 ประเภทครับ ซึ่งเป็นคำถามยอดฮิตเจอทุกรอบรอบละหลายข้อมาก
1) พวก Matching จับคู่ต่างๆเช่นจับคู่สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์คนนี้พูดกับตัวนักวิทยาศาสตร์
เช่น Steve .... พูดว่าอะไร อันนี้อันดับแรกเราก็ทอดสายตาไปยังบทความ เห็นคำว่า Steve ตรงไหนสิ่งที่เค้าพูดมันก็จะอยู่แถวๆนั้นแหละครับ เราก็อ่านในสิ่งที่เค้าพูดในบทความและเอามาเลือกจับคู่ครับ ไม่จำเป็นต้องอ่านส่วนอื่นเลยก็ตอบคำถามประเภทนี้ได้
2) True False Not Given/ Yes, No, Not Given คล้ายๆกับข้อข้างบนเลย ขอยืมประโยคมาจาก channel ของ Jay & Alex นะครับ สมมติคำถามมา
The Tasmanian Devils are dangerous to all humans. อันดับแรกเราวง key words ไว้ก่อนครับ เช่น Tasmanian Devils , dangerous , humans
เราก็ไปหาในบทความว่าเค้าพูดถึง Tasmanian Devils, dangerous, humans มีคำพวกนี้ๆอยู่ในพารากราฟไหนคำตอบของข้อนี้มันจะอยู่ในพารากราฟนั้นครับ เช่นอะเราเจอละพารากราฟ 2 มีคำว่า dangerous (แต่ในบทความจริงๆมักใช้คนละคำกับในคำถามเช่นอาจใช้คำว่า harmful จึงต้องศึกษาเรื่อง synnonyms ครับ) เราก็ไปดูซิว่าเค้าพูดว่าไงสมมมติ
- The Tasmanian Devils are dangerous to all humans คำตอบก็จะเป็น True ทันทีเพราะมันถูกต้องตามบทความ
- The Tasmanian Devils are dangerous to some humans คำตอบก็จะเป็น False ทันทีเพราะมันขัดแย้งกับบทความ เพราะบทความบอกแค่บางคนไม่ได้บอกทุกคน
- The Tasmanian Devils are dangerous to some species คำตอบก็จะเป็น Not Given เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยจากบทความว่าตกลงไอเจ้า Tasmanian Devils เนี่ยมันเป็นอันตรายกับมนุษย์ไหม
หลักการก็ประมาณนี้ครับอ่านคำถามหา key words ในบทความแล้วเอามาตอบ ผมใช้เทคนิคนี้ในการตอบคำถาม Passage สุดท้ายเนื่องจากอ่านไม่ทันแล้วและก็ใช้ได้ผลดีเสียด้วยครับเลยอยากจะมาลองแนะนำกัน แต่กับคำถามบางประเภท เช่นให้จับคู่ Headings ของแต่ละ paragarph ถ้าในบทความบีคำถามพวกนี้อยู่รู้ได้ทันทีครับว่าจำเป็นต้องอ่านทุก paragraph หรืออย่างน้อยๆต้อง skim ดูทุก paragarph ให้รู้ main idea ของแต่ละ paragraph ถึงจะตอบได้ครับ
แชร์ประสบการ์ณสอบ Computer-Delivered IELTS กับ IDP ให้ได้ overall 8
ออกตัวก่อนว่าผมตั้งใจว่าจะสอบเพื่อใช้ไปยื่นเรียนต่อต่างประเทศ โดยเล็งๆไว้ที่ทาง UK ครับ เนื่องจากสมัย ป.ตรี ผมเคยไปเรียนแลกเปลี่ยนที่แถบๆยุโรปเลยชื่นชอบศิลปะวัฒนธรรมแถบๆนั้น ก่อนสอบผมตั้งเป้าไว้ว่าอยากได้ overall band อย่างต่ำ 7.5 โดยที่ไม่มี part ไหนได้ต่ำกว่า 7 จะได้นำไปยื่นได้โดยไม่ติดปัญหาครับ
การเตรียมตัว
ผมติวเองครับโดยเตรียมตัวประมาณ 1 เดือน อาศัยช่วงเย็นๆหลังเลิกงาน โดยใช้เวลาไม่มากครับแต่ทำทุกวัน อาศัยความที่เป็นคนชอบอ่านบทความ ฟังเพลง ดูรายการโทรทัศน์ช่องข่าวเป็นภาษาอังกฤษอยู่แล้วครับ ผมว่าภาษาอังกฤษเป็น skills ที่ต้องใช้บ่อยๆครับถึงจะชำนาญถ้าเราคลุกคลีอยู่กับมันทุกวัน วันละนานๆเดี๋ยวมันได้เองครับ สมัยนี้ภาษาอังกฤษอยู่รอบตัวเราไปหมดแค่คลิกก็เจอแล้ว ความรู้มีรอบตัว หลายแหล่งเรียนฟรีครับ อยู่ที่เราจะขวนขวายหามันหรือเปล่าเท่านั้นเอง อีกอย่างผมพยายามทำตัวให้รู้สึกสนุกไปกับการเรียนรู้ครับ อะไรที่ทำแล้วเราสนุกเราจะไม่รู้สึกเบื่อแล้วเราจะอยู่กับมันได้นาน
ผมใช้หนังสือ The Official Cambridge Guide to IELTS เล่มนี้ดีมากครับเพราะเป็นของสถาบันที่ออกข้อสอบโดยตรง โดยเนื้อหาจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆคือส่วนเนื้อหาให้ฝึก skills ทั้ง 4 ด้าน พร้อมทั้งเทคนิคการทำข้อสอบให้ได้คะแนนดีๆครับ ส่วนที่สองจะเป็น Practice Tests ทั้งหมด 8 ชุด ซึ่งเป็นข้อสอบจำลองที่เหมือนกับข้อสอบจริงๆ โดยผมแนะนำให้ฝึกทำทุก part ครับ และให้จับเวลา Part Reading กับ Writing part ละไม่เกิน 60 นาทีเหมือนในข้อสอบจริงๆจะได้รู้ว่าพอถึงวันจริงเราจะทำทันไหม พยายามฝึกเยอะๆครับทางที่ดีควรทำให้ได้ครบทั้ง 8 ชุดไปเลย นอกจากสำหรับผมติดตามช่อง E2 IELTS ของคุณ Jay & Alex ครับ มีเทคนิคดีๆเยอะมากสอนสนุกไม่น่าเบื่อเลย
พอถึงวันสอบจริงได้สอบ Speaking ก่อนช่วงเช้าครับ Examiner เป็นคนออสเตรเลียสำเนียงฟังยากนิดนึง สำหรับ part Speaking นี่ผมก็ยังทำได้ไม่ดีนักครับ แต่อยากจะมาแนะนำเทคนิคที่ได้เรียนรู้มาจากหนังสือและการศึกษาจากคลิปต่างๆ
มาถึง Part 1 ก็จะถามเกี่ยวกับเรื่องทั่วๆไปที่เกี่ยวกับตัวเราครับก็ถามไปเรื่อย
What's your hometown like?
Do you like where you live now?
ระวัง tense ดีๆครับถามปัจจุบันตอบ present tense ถามอดีต (what did, what was) ใช้ past tense ถ้าถามแนวอะไรเปลี่ยนไปไหม.. (Do you think .. has changed....) ใช้ 3 tenses ครับ past ตอนพูดถึงอดีต present tense ปัจจุบัน และถ้าจะใช้ refer ถึงสิ่งที่มันเปลี่ยนแปลงไปให้ใช้ present perfect ไรทำนองนั้นครับ
Part 2 จะได้ cue card มาครับและให้เวลาเราคิดประมาณ 1 นาที และพูด 1-2 นาทีครับ คำถามจะ guide มาให้ว่าให้พูดเรื่องอะไรมั่ง พยายามพูดให้ตอบทุกประเด็นคำถามครับ อันนี้ผมยังทำได้ไม่ดีเท่าไหร่จำได้ว่าตอนพูดคิดเรื่องไม่ออกเลยพูดได้ไม่ถึง 2 นาที คำถามส่วนใหญ่จะเป็นแนวให้อธิบายประสบการ์ณที่เกิดขึ้นในอดีต เช่น Describe a time when you helped someone ไรประมาณนั้นครับ ซึ่งส่วนใหญ่เวลาตอบถ้าพูดถึงอดีตต้องใช้ past tense เนาะ กับอีกแบบคือให้บอกว่าอยากได้อะไร (อารมณ์แนวๆเพ้อๆหน่อยๆ) เช่น Describe an ideal home บรรยายบ้านในฝันของคุณ ไรทำนองนั้น คือเป็นเรื่องไม่จริง เรื่องมโน พวกนี้ต้องใช้ modal verbs ในการตอบครับเช่น 'would' 'may' 'could' ถ้าใช้ไม่เป็นแนะนำให้ลองศึกษาครับ เพราะส่วนใหญ่ Part 2 เกือบทั้งหมดคำถามเป็นหนึ่งในสองอย่างนี้เท่านั้นครับ ถ้าถามอดีตไปตอบ present tense ก็จะได้คะแนนในส่วน grammar น้อยครับ
Part 3 อันนี้เป็นคำถามที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองละครับ จะยากที่สุดอาจเป็นเชิงปรัชญาเล็กๆ Examiner เค้าจะดูความสามารถในการแสดงความเห็นและความสามารถในการอธิบายข้อโต้แย้งของเราครับ ตัวอย่างคำถามเช่น Why do some people care more about the environment than others? อะไรประมาณนี้ครับ อันนี้เค้าไม่ได้ดูความคิดเราครับ ไอเดียไม่จำเป็นต้องดี ขอเพียงให้สื่อสารภาษาอังกฤษให้ดีๆก็พอ Part 3 ก็ใช้พวก modal verbs เยอะเช่นกันดังนั้นศึกษาเถอะครับ
สำหรับ Part Speaking เค้าจะแบ่งการให้คะแนนเราเป็น 4 ส่วนครับ ถ้าอยากได้คะแนนสูงๆต้องทำให้ได้ดีทั้ง 4 ส่วน
ส่วนแรกคือ Grammatical Range and Accuracy
Range หมายถึงความหลากหลายของแกรมม่าที่เราใช้พูด ความหลากหลายของรูปประโยค ถ้าอยากได้คะแนนในส่วนนี้เยอะๆอย่าพูดแต่ simple sentences ต้องใช้ประโยคที่มีโครงสร้างที่แตกต่างกันครับ (ทั้งนี้ต้องใช้ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติและถูกจังหวะ) เช่น compound sentences เชื่อมประโยคด้วย and , but , so หรือ complex sentences, etc...
Accuracy คือความถูกต้องครับ พูดง่ายๆก็คือพูดถูกแกรมม่าหรือไม่ครับ
ดังนั้นหากอยากได้คะแนนในส่วนนี้เยอะๆต้องมีทั้ง Range และ Accuracy ครับ
ส่วนที่สองคือ Lexical Resources คือคำศัพท์ที่ใช้รวมถึงพวกสำนวนต่างๆครับ สิ่งที่อยากแนะนำคือพยายามอย่าพูดใช้คำเดิมซ้ำๆมันจะทำให้ Examiner คิดว่าเรารู้ศัพท์น้อยครับ ตอนผมพูดอันนี้ยอมรับว่าบางทีคิดไม่ทันก็จะใช้แต่คำเดิมๆเช่น very good ก็ very good อยู่นั่นแหละ beautiful แล้ว beautiful เล่า ต้องเปลี่ยนเป็น It's gorgeous, breathtaking, dazzling, charming, mesmerizing นึกไรออกก็พูดเข้าไปครับ
ส่วนที่สามคือ Pronunciation อันนี้ต้องฝึกฟัง native speakers และหัดพูดตามอย่างเดียวเลยครับ
ส่วนที่สี่ Fluency and Cohesion: Fluency คือความคล่องในการพูดครับยิ่งฝึกพูดเยอะๆจะยิ่งคล่อง Cohesion คือความลื่นไหลปะติดปะต่อของเรื่องที่พูด ซึ่งจะสามารถเพิ่มคะแนนในส่วนนี้ได้โดยการศึกษาพวกการใช้ connectors, linking words ต่างๆ นอกจากนี้พยายามใช้ pronouns จะทำให้การพูดลื่นไหลมากขึ้นเช่น My favourite teacher was... He was my homeroom teacher when I was in secondary school. ง่ายๆแค่นี้แหละได้คะแนนในส่วนนี้เพิ่มละ
โดยคะแนน Speaking ที่ได้จะเป็นคะแนนเฉลี่ยของแต่ละ 4 ส่วนนี้ครับ
หลังจากสอบ Speaking เสร็จตอนบ่ายเริ่มกันที่ Listening ครับ format เหมือนเดิมทุกรอบ 40 ข้อ แบ่งเป็น 4 part part ละ 10 ข้อ เริ่มจาก part ง่ายสุดไล่ไปยากสุด อันนี้สำคัญคือ
1) อ่านคำถามก่อนล่วงหน้าช่วงที่เค้ามีเวลาให้อ่าน เพื่อที่จะได้พอจับทางได้ว่าเราต้องการคำตอบแบบไหน คำที่เติมเป็น noun หรือ adjective พอเราอ่านคำถามแล้วจะพอเดาได้ครับว่าคนพูดจะพูดเกี่ยวกับเรื่องอะไร
2) มีสติครับถ้าหลุดแล้วอย่า panic เพราะคำตอบจะถูกพูดเรียงลำดับกันเสมอ ถ้าหลุดไปข้อหนึ่งให้ข้ามไปข้อต่อไปละอ่านคำถามต่อไปรอไว้ เดี๋ยวคนพูดจะต้องพูด key words ในคำถามต่อไปขึ้นมาให้เรารู้เองแหละว่าเค้าพูดถึงไหนแล้ว
3) Spelling สำคัญครับถ้าสะกดผิดต่อให้ฟังถูกแต่เขียนผิดจะไม่ได้คะแนนเลย กินไข่ในข้อนั้นทันที พยายามฝึก spelling ไว้ บางคำแอบยากนิดนึงเหมือนกัน เช่น bookshop ต้องเขียนติดกันไม่ใช่ book shop เขียน book shop ไปก็ 0 ทันทีเนาะ
4) Capitalisation คำที่ต้องขึ้นต้นด้วยตัวพิมพ์ใหญ่พิมพ์เล็กต้องถูกครับ แต่ผมตอนสอบผมตัดปัญหาโดยการกด Caps Lock ค้างไว้ตลอดตอนสอบ Listening กับ Reading ช่วยตัดปัญหาเรื่องนี้ไปได้เลย ไม่ต้องกลัวสะกดผิด
ปล. Listening เค้าบอก Part 4 ยากสุดจะเป็นฟังเกี่ยวกับเลคเชอร์เป็นอาจาร์ยมาสอนเรื่องทางเทคนิค แต่จริงๆผมว่าอาจาร์ยพูดดีทุกคนครับ 555 เพราะระดับอาจาร์ยแล้วจะเรียบเรียงเนื้อหาเลคเชอร์ทำให้ฟังเข้าใจง่ายอยู่แล้วแหละ Part ที่ยากผมว่าจริงๆคือ Part 3 จะเป็นนักศึกษา 2 คน (ชายคนหญิงคน) เป็นอย่างงี้ทุกรอบครับ IELTS format เค้า default มางี้ 2 คนนี้จะมาพูดคุยเกี่ยวกับการบ้าน โปรเจคที่ได้รับมาครับ ซึ่งแนะนำให้ตั้งใจฟังดีๆเลยครับ part นี้ อ่านคำถามล่วงหน้านานๆ เพราะ 2 คนนี้ด้วยความที่เป็นเด็กน้อยอะเนาะจะพูดวกไปวนมา เหมือนคนยังสับสนกับชีวิตนิดนึงครับ 5555 ผมทำ practice tests ละปวดหัวกับสองคนนี้ทุกรอบ ตอนไปสอบจริงก็เหมือนกัน
ต่อกันด้วย Reading ครับ 3 passages เรียงจากง่ายไปยากตามเคย 40 ข้อ จำกัดเวลา 60 นาที จะตก passage ละประมาณ 20 นาที แต่ควรเผื่อเวลาให้ passage หลังๆนานกว่าอันแรกๆหน่อยนึงครับตามความยากง่าย มาถึงผมอ่านคำถามก่อนเลยครับให้ได้ไอเดียคร่าวๆว่าตอนอ่านบทความเราต้องโฟกัสที่อะไร แต่ให้แสกนดูคำถามคร่าวๆพอครับไม่ต้องนาน ไม่ควรเกิน 1 นาที หลังจากนั้นอ่านบทความยิ่งอ่านเยอะยิ่งอ่านได้เร็วครับไม่ควรอ่านเกิน 6 นาที จะเหลือเวลาตอบคำถามประมาณ 13 นาที ไม่ควรเสียเวลาอ่านบทความมากครับ เพราะหลายๆคำถามไม่ต้องอ่านทั้งบทความก็ตอบได้ บางทีเราอาจลองไล่ดูคำถามก่อนบางบทความอาจมีแต่คำถามประเภทที่ไม่ได้ถาม main idea โดยรวมๆของบทความเลย ถามแต่ detail ในแต่ละ paragraph ถ้าเจอบทความแบบนี้ไม่จำเป็นต้องอ่านบทความเต็มๆเลยยังได้ครับ วันนี้ผมอยากแชร์เทคนิคการตอบคำถามสำหรับคำถาม 2 ประเภทครับ ซึ่งเป็นคำถามยอดฮิตเจอทุกรอบรอบละหลายข้อมาก
1) พวก Matching จับคู่ต่างๆเช่นจับคู่สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์คนนี้พูดกับตัวนักวิทยาศาสตร์
เช่น Steve .... พูดว่าอะไร อันนี้อันดับแรกเราก็ทอดสายตาไปยังบทความ เห็นคำว่า Steve ตรงไหนสิ่งที่เค้าพูดมันก็จะอยู่แถวๆนั้นแหละครับ เราก็อ่านในสิ่งที่เค้าพูดในบทความและเอามาเลือกจับคู่ครับ ไม่จำเป็นต้องอ่านส่วนอื่นเลยก็ตอบคำถามประเภทนี้ได้
2) True False Not Given/ Yes, No, Not Given คล้ายๆกับข้อข้างบนเลย ขอยืมประโยคมาจาก channel ของ Jay & Alex นะครับ สมมติคำถามมา
The Tasmanian Devils are dangerous to all humans. อันดับแรกเราวง key words ไว้ก่อนครับ เช่น Tasmanian Devils , dangerous , humans
เราก็ไปหาในบทความว่าเค้าพูดถึง Tasmanian Devils, dangerous, humans มีคำพวกนี้ๆอยู่ในพารากราฟไหนคำตอบของข้อนี้มันจะอยู่ในพารากราฟนั้นครับ เช่นอะเราเจอละพารากราฟ 2 มีคำว่า dangerous (แต่ในบทความจริงๆมักใช้คนละคำกับในคำถามเช่นอาจใช้คำว่า harmful จึงต้องศึกษาเรื่อง synnonyms ครับ) เราก็ไปดูซิว่าเค้าพูดว่าไงสมมมติ
- The Tasmanian Devils are dangerous to all humans คำตอบก็จะเป็น True ทันทีเพราะมันถูกต้องตามบทความ
- The Tasmanian Devils are dangerous to some humans คำตอบก็จะเป็น False ทันทีเพราะมันขัดแย้งกับบทความ เพราะบทความบอกแค่บางคนไม่ได้บอกทุกคน
- The Tasmanian Devils are dangerous to some species คำตอบก็จะเป็น Not Given เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยจากบทความว่าตกลงไอเจ้า Tasmanian Devils เนี่ยมันเป็นอันตรายกับมนุษย์ไหม
หลักการก็ประมาณนี้ครับอ่านคำถามหา key words ในบทความแล้วเอามาตอบ ผมใช้เทคนิคนี้ในการตอบคำถาม Passage สุดท้ายเนื่องจากอ่านไม่ทันแล้วและก็ใช้ได้ผลดีเสียด้วยครับเลยอยากจะมาลองแนะนำกัน แต่กับคำถามบางประเภท เช่นให้จับคู่ Headings ของแต่ละ paragarph ถ้าในบทความบีคำถามพวกนี้อยู่รู้ได้ทันทีครับว่าจำเป็นต้องอ่านทุก paragraph หรืออย่างน้อยๆต้อง skim ดูทุก paragarph ให้รู้ main idea ของแต่ละ paragraph ถึงจะตอบได้ครับ