เรื่องจริงอย่างกับนิยาย (My Roommate)

เกริ่นนำ
___เมื่อต้นเดือนเมษาที่ผ่านมาผมได้ดูซีรีย์วายเรื่องหนึ่ง เนื้อหาเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่งเกลียดเกย์มากเพราะมีปัญหาปมในใจผู้ชายอีกคนเป็นเกย์ แต่ต้องอยู่ห้องเดียวกันเพราะปี 1 ต้องอยู่หอใน พูดมาขนาดนี้หลายๆคนคงจะพูดคำว่า "อ๋อ!" ออกมาดังๆเลยทีเดียว ซึ่งเรื่องนี้ก็ออนแอร์และจบตั้งแต่ปีที่แล้วแล้วแต่ผมพึ่งจะได้มาดู
พอดูซีรีย์เรื่องนี้จบภายในแค่ 2 วัน ซึ่งดูยาวแบบไม่ได้หลับไม่นอนเลย ผมรู้สึกชอบตัวละครทั้งสองมากรวมถึงนักแสดงที่แสดงออกมาด้วยมันทำให้ผมคิดถึงเรื่องราวของตัวเองและนั่น ก็จะเป็นที่มาของเรื่องราวทั้งหมดที่ผมจะเล่าต่อไปนี้

บทที่ 1 จบแล้วชีวิตมัธยม

___ผมก็เป็นเด็กม 6 คนหนึ่งที่กำลังจะจบการศึกษาอีกไม่นาน เรื่องราวชีวิตมัธยมของผมก็คงจะเหมือนเรื่องราวชีวิตของเด็กมัธยมทั่วไปที่จะต้อง มีเรื่องราวของความรักเข้ามาอยู่ในทุกโมเม้นของช่วงชีวิต แต่ถ้าจะให้เล่าทั้งหมดคงจะยาวมากเลยทีเดียวครับ ผมก็ขอจะเล่าเพียงช่วงที่ผมกำลังจะเตรียมตัวเข้ามหาลัย

ผมเรียนอยู่โรงเรียนชายล้วนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ทุกท่านคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าผู้หญิงน่ารักสักคนในโรงเรียนชายล้วนคงจะเป็นสิ่งที่หาได้ยากและก็ไม่ได้พบเจอบ่อยๆ แน่นอนเลยว่าพวกนางฟ้าสาวสองเกย์ตุ๊ดกระเทย คนที่ฮอตที่สุดก็จะเป็นคนที่ผู้ชายในโรงเรียนต้องการที่สุด ในชนิดที่ว่าวิ่งแย่งกันหัวล้มฟาดกันเลยทีเดียว แน่นอนครับว่าผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่เข้ามาในโรงเรียนนี้ไม่ถึงปีก็มีสิทธิ์ลงเลือกตั้งเข้ามาเป็นประธานนักเรียน ซึ่งหน้าตาของผมก็ไม่ได้ดีอะไรหรอก แต่ก็ใช้ความสามารถเป็นจุดเด่นที่สู้กับคนอื่นๆได้ ทั้งเรื่องของกิจกรรมแข่งทักษะนู่นนี่นั่นผมก็ลงแข่งหมดแล้วครับก็ได้รางวัลบ้างไม่ได้บ้าง แต่มันก็ทำให้ผมเป็นที่รู้จักของคนในโรงเรียนเรื่องราวคงจะสวยหรูแหละครับแต่พอมาวันหนึ่งต้องมาได้ยินประโยคนี้

"นี่มันจะจบม.6 อยู่แล้วนะใครยังหาที่เรียนยังไม่ได้อีกไหนลองยกมืออาจารย์ซิ" ผมได้ยินก็รู้สึกเงิบล่ะสิครับ กูยังไม่รู้เลยว่ากูจะเรียนอะไรดี

แน่นอนครับว่าเด็กที่เรียนเก่งก็คงจะมีที่เรียนกันหมดแล้วคงจะเหลือแต่เด็กปลายแถวหลังห้องบางคน ที่ชีวิตวันๆก็ไม่ได้สนใจการเรียนมากนัก หลายๆคนคงจะบอกว่าก็ไหนบอกว่ามีความสามารถลงแข่งทักษะเยอะแยะมากมาย คือผมจะบอกว่าผมก็พอจับพลัดจับผลูพอเรียนไปได้อะครับ อีกอย่างผมเป็นคนที่รักอิสระด้วยอะไรที่ผมอยากทำผมก็จะทำอะไรที่ผมไม่อยากทำผมก็จะไม่ทำ ซึ่งการสอบเข้ามหาลัยก็เช่นกันครับเป็นอะไรที่ผมรู้สึกเกลียดมากๆเลย

แต่สำหรับผมถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้เรียนเก่งอะไรมากมายแต่ผมก็พอจะเอาตัวรอดไปได้ ผมก็พยายามติดต่ออาจารย์แนะแนวให้หาโควต้าที่ไม่ต้องสอบเข้าให้ปวดหัว อยากได้แบบจ่ายเงินแล้วก็เข้าเรียนได้เลย จนผมได้โควต้า MOU ที่ทางโรงเรียนทำร่วมกับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ ตอนนั้นเองผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากขอแค่ผมมีที่เรียนก็พอ

และไอ้เจ้ามหาลัยเจ้าปัญหาที่ว่านี้แหละมันเป็นจุดเริ่มต้นของความรักของผม มหาลัยนี้มีชื่อเสียง เอ้ย!! ชื่อเสียมากกว่ากันมั้ง โดดเด่นในเรื่องที่คนอื่นเขาไม่อยากจะโดดเด่นกันนั่นก็คือการรับน้อง มันก็คงเป็นความรู้สึกเดียวกันกับเด็กม 6 ทุกคนที่กำลังจะเข้ามหาลัยและต้องมาเจอกับการรับน้องสุดโหด

"รับน้องบ้าบออะไรกันตั้ง 7 วัน 7 คืน" ผมก็บ่นพึมพำแบบนี้อยู่ทุกวัน

ทั้งเพื่อนทั้งครูและคนรู้จักใกล้ตัวผมก็พูดถึงข่าวหนาหูถึงการรับน้องของมหาลัยที่ว่านี้ ถึงขั้นที่ว่าแม่ของผมต้องให้ไปเปลี่ยนชื่อเล่นกันเลยทีเดียว รู้สึกขำใช่ไหมล่ะ ? แต่ความรู้สึกของคนเป็นแม่ก็อยากให้ลูกของตัวเองปลอดภัย เนื่องจากชื่อของผมเป็นชื่อของสัตว์ชนิดหนึ่งที่ดุร้ายมาก เจ้าชื่อตัวปัญหานี้แหละที่ทำให้แม่ผมรู้สึกเป็นกังวลกลัวว่าลูกตัวเองจะโดนทำร้ายตอนไปรับน้องใหม่ จึงพากันมานั่งคิดและตั้งชื่อใหม่จนได้ชื่อหนึ่งแต่ผมขอไม่บอกนะครับ

(ขึ้นต้นด้วยT ซึ่งชื่อใหม่ของผมนี้ก็ดันไปบังเอิญออกเสียคล้ายกับตัวละครในซีรี่ย์ซึ่งเป็นนายเอก มันก็เลยยิ่งทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวของตัวเองมากขึ้นไปอีก)

แต่ตัวของผมเองนั้นก็ไม่ค่อยได้สนใจว่าใครจะรับน้องโหดแค่ไหนเพราะผมเป็นคนที่ไม่สนโลกอยู่แล้ว "จะให้กูทำอะไรก็ทำไปเถอะ ก็สนุกขำๆน่ะ!" ในขณะที่เพื่อนห้องเดียวกันที่จะเข้ามหาลัยเดียวกับผม ถึงขั้นต้องไป search หาข้อมูลอ่าน blog รวมถึงใน pantip ที่เกี่ยวกับการรับน้อง และรายละเอียดของการเตรียมตัวรับมือทั้ง 7 วันอันตรายด้วย ซึ่งนางก็มาเล่าให้ผมฟังแหละแต่ผมก็ไม่ได้สนใจ

1 เดือนก่อนหน้าก่อนที่จะเตรียมตัวรายงานตัวเข้าหอใน มหาลัยก็ส่งจดหมายมาฉบับนึงพร้อมกับคู่มือกฎระเบียบต่างๆของการใช้ชีวิตในมหาลัยนี้ ทั้งเรื่องการเรียน หอใน และกฎของน้องใหม่ ในหนังสือคู่มือนั้นมีประโยคประโยคหนึ่งที่มันทำให้ผม เริ่มจะรู้สึกกลัวกับการรับน้องแล้วสิ ในข้อความนั้นเขียนว่า "ขอให้นักศึกษาใหม่ทุกคนเตรียมความพร้อมของร่างกาย เพื่อให้พร้อมทำกิจกรรมพัฒนาศักยภาพความเป็นนักศึกษาใหม่"

"เชี่ย!! อะไรวะเนี้ย นี่กูมาเรียนหรือมาฝึกค่ายทหารกันแน่วะ" ผมอุทานออกมาด้วยความที่ว่าในชีวิตนี้ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน

แต่ผมก็บอกตัวเองว่า "เอาวะ!! ถ้าเราเตรียมร่างกายให้พร้อมอะไรมันก็ไม่หนักเกินไปหรอก" ผมเตรียมความพร้อมของร่างกายด้วยการออกวิ่งทุกวันซิทอัพ และอื่นๆเพื่อให้ร่างกายนั้นพร้อมมากที่สุด

เหลืออีก 1 อาทิตย์ก่อนที่จะรายงานตัวเข้าหอใน แม่ก็พาผมไปซื้อเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายและสิ่งที่ต้องใช้ในการรับน้อง 7 วัน ผมก็รู้สึกแอบขำนิดๆนะในตอนที่ไปซื้อ เพราะเขาจำกัดสิ่งของซื้อแค่ของที่จําเป็นและต้องใช้เพียง 7 วันเท่านั้น ส่วนที่เหลือให้เอามาในวันก่อนที่เข้าหอจริง

และแล้ววันนี้ที่รอคอยมานานก็มาถึง  นั่นก็คือ การย้ายของทั้งหมดเพื่อเตรียมตัวเข้ามาอยู่หอใน ความรู้สึกในใจของผมในตอนนี้มันตัดกันไปหมด ไม่รู้ว่าจะดีใจที่ได้ออกมาใช้ชีวิตในมหาลัยแล้ว? หรือจะกังวลที่ได้มาเจอเพื่อนใหม่? หรือจะเสียใจที่เลือกมหาลัยผิด? หรือจะกลัวดีกับอีกไม่กี่วันก็ต้องเตรียมตัวรับน้อง? ความรู้สึกแบบนี้ผมเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันครับ


ปิดท้ายบท
___เนื่องด้วยว่ากระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผมคือตั้งใจเขียนออกมา และไม่รู้ว่าจะเขียนออกมาดีไหม ความจริงก็อยากจะแบ่งปันความรู้สึกแล้วเรื่องราวของตัวเองออกไปให้คนอื่นรู้บ้าง แต่คงจะได้แค่เพียงอยู่เบื้องหลังรหัสเลขนิรนามใน pantip นี่แหละครับ

___เรื่องราวของผมยังไม่จบนะครับนี่เป็นแค่เริ่มต้น ถ้าใครถูกอกถูกใจหรือชอบก็มาแชร์คอมเม้นแสดงความคิดเห็นกันได้นะครับ ฝากติดตามจากน้องใหม่ด้วยครับ

ปล. ตัวอย่างตอนต่อไปที่จะถึงนี้ เป็นเรื่องของความรักที่เกิดขึ้นระหว่างการรับน้อง ซึ่งมันเป็นเรื่องราวแอบแซ่บเพื่อนรูมเมท 7 วันเอง ก็ยังไม่รู้เรื่องราวของพวกเราเลย รอติดตามตอนต่อไปนะครับ

เพี้ยนสวัสดีเพี้ยนเผือกเพี้ยนขอบคุณ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่