ช่วยด้วยย !!! เราถูก "ทนายวิชาชีพ" สวมบท "มิจฉาชีพ" หลอก ขายที่ ไม่ได้ที่ แถมเสียที่

                    สวัสดีค่ะ...ขออนุญาตแชร์ประสบการณ์และเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเราให้เพื่อนๆ ที่เข้ามาเยี่ยมชมและได้อ่านกระทู้นี้  เผื่อจะเป็น
อุทาหรณ์เตือนภัยไม่ให้เพื่อนๆ  ต้องตกเป็นเหยื่อจากความไว้เนื้อเชื่อใจของเราที่มีต่อ "ทนายความ" คนหนึ่ง  ซึ่งเรามาทราบในภายหลังว่าถูก
ศาลมีสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย แต่กลับเอาที่ดินมาหลอกขายให้เรา  จนเป็นเหตุให้เราต้องสูญเสียทั้งเงิน  
ทั้งที่ดิน  และเสียค่าโง่ให้กับ “ทนายมิจฉาชีพ”  กลุ่มนี้ไป  เรื่องราวอาจจะยาวไปหน่อย  ยังไงต้องขออภัยด้วยนะคะ เพราะเราถูกทนายคนนี้
หลอกลวงมา 1 ปี เต็มๆ เลยค่ะ
                     เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อช่วง ต้นเดือน ก.ย.61  เนื่องจากแม่ได้โทรศัพท์มาหาเรา  และบอกเราว่ามีทนายความคนหนึ่งได้ประกาศ
ขายที่ดิน อ.เมือง จ.ชัยภูมิ 1 แปลง ผ่านนายหน้าขายที่ดิน  ในราคา 550,000.-บาท  ซึ่งก่อนหน้านี้เรามีความตั้งใจจะหาซื้อที่ดิน เพื่อปลูกบ้าน
ให้แม่เราไว้อยู่ในบั้นปลายชีวิต  เนื่องจากพ่อกับแม่เของเราแยกทางกันตั้งแต่เรายังเด็ก  เราอยู่กับพ่อที่กรุงเทพฯ  จนโต  ส่วนแม่อาศัยอยู่บ้าน
น้าสาวที่  จ.ชัยภูมิ  เนื่องจากแม่ของเราไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง  เราจึงได้ติดต่อไปยังนายหน้าขายที่ดิน   เพื่อขอเบอร์ติดต่อทนายความ
คนดังกล่าว  ขอสมมุติว่าชื่อ ทนาย 1 นะคะ  โดยทนาย 1  ได้นัดหมายให้เรามาพบ  และทำสัญญาจะซื้อ-จะขาย  เมื่อวันที่ 13 ก.ย.61 แถวย่าน
รังสิต จ.ปทุมธานี  โดยในวันทำสัญญาฯ ทนาย 1 ได้ให้ข้อมูลว่าที่ดินดังกล่าวฯ เป็นมรดกที่ พ่อ-แม่ มอบให้ตนเอง ไม่ติดภาระผูกพันใดๆ  มิใช่
สินสมรส แต่ตนเองไม่คิดจะไปอยู่เลยอยากขายราคาถูกๆ ให้กับคนในพื้นที่  และมีข้อเสนอว่าถ้าเราสนใจจะซื้อที่ดินดังกล่าว ทนาย 1 จะให้เรา
ผ่อนชำระเป็นรายเดือน ภายในกำหนด 3 ปี  แต่มีข้อแม้ว่าห้ามให้ภรรยาของตนรู้ว่าตนได้นำที่ดินแปลงนี้มาขายอย่างเด็ดขาด เพราะหากภรรยา
ตนจะโดนยึดเงินและไม่ให้ขายที่ดินในราคานี้  แต่ตนเองมีความจำเป็นต้องใช้เงินในการหมุนเวียนธุรกิจ และที่ดินแปลงนี้อยู่ห่างถนนใหญ่เพียง
100 เมตร ราคานี้จึงถือว่าถูกและหายากมาก  ซึ่งมีคนในหมู่บ้านสนใจจะซื้อที่ดินแปลงนี้อีกหลายเจ้า  เราจึงตกลงทำสัญญาจะซื้อ-จะขาย  และ
วางเงินมัดจำไว้ส่วนหนึ่ง  ส่วนยอดที่เหลือทนาย 1 ให้เราผ่อนเข้าบัญชีธนาคารเพื่อนรุ่นน้องซึ่งเป็นเสมียนทนายความ โดยอ้างเหตุผลว่าตนให้
เพื่อนเปิดบัญชีนี้ไว้ใช้หลบภรรยาฯ  ซึ่งถ้าภรรยารู้ว่าตนมีรายได้ต่างๆ เข้ามาภรรยาก็จะเป็นคนถือเงินไว้ทั้งหมด เราจึงหลงเชื่อทำนิติกรรมฯ ซื้อ
ขายที่ดิน  และโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของเสมียนทนายฯ   ตามความต้องการของ ทนาย 1 เพราะเชื่อว่าคนที่มีอาชีพเป็นทนายความย่อมเป็น
บุคคลที่มีความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย  มีความซื่อสัตย์สุจริต  ยึดมั่นในความยุติธรรม  ไม่น่าจะมาหลอกลวงคดโกงประชาชน  และเราก็ได้ตรวจสอบ
โฉนดที่ดินกับ สนง.ที่ดิน จ.ชัยภูมิ แล้วโฉนดดังกล่าวเป็นชื่อของทนาย 1 เพียงคนเดียวและไม่ติดภาระผูกพันใดๆ ทั้งสิ้น เราได้โอนเงินเข้า บช.
ธนาคารของเสมียนทนายฯ  10  เดือน  รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 140,000.-บาท  โดยไม่เคยขาดส่ง และไม่เคยผิดสัญญาแต่อย่างใด  แต่ปัญหาก็เริ่ม
เกิดขึ้น  เนื่องจากทนาย 1  แจ้งว่าตนต้องการใช้เงินก้อนประมาณ 2 แสน   ถ้าเราหาเงินมาไม่ได้  ทนาย 1 จะยกเลิกสัญญาฯ และขายที่ดินนี้ให้
กับคนที่ให้ราคาสูงกว่า  เราเสียค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ทนาย 1 อนุญาตให้เราเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินตามที่ระบุไว้ในสัญญา โดยว่าจ้างรถแบคโฮ
เข้าไปแผ้วถางปรับพื้นที่รกร้างจนโล่งเตียนสวยงาม  จ้างช่างเขียนแบบบ้าน เพื่อใช้สิทธิ์สวัสดิการของหน่วยงานยื่นกู้ซื้อที่ดินพร้อมปลูกบ้านกับ
ธอส. หากทนาย 1 ยกเลิกสัญญาฯ  เราจะได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก  เราจึงขอเวลากับทนาย 1 เพื่อนำที่ดิน  จ.เชียงใหม่ ที่ถือกรรมสิทธิ์
ร่วมกันกับแฟน โดยลงประกาศขายในเว็บไซด์ต่างๆ ในราคา 390,000.-บาท  และฝากทนาย 1 ช่วยขายให้อีกทางหนึ่ง โดยตั้งใจว่าถ้าขายที่ดิน  
จ.เชียงใหม่  ได้แล้วเรากับแฟนจะนำเงินที่เหลือไปปิดยอดที่ดิน จ.ชัยภูมิ ให้เรียบร้อยทันที  ต่อมาทนาย 1 ได้แจ้งเราว่าเพื่อนของตนเองซึ่งเป็น
ทนายความรุ่นพี่สนใจจะซื้อที่ดินของเรา ขอสมมุติว่าชื่อ ทนาย 2 นะคะ โดยทนาย 1 ได้หักคอให้เราขายที่ดินให้กับเพื่อนตนเอง ในราคา 3 แสน
บาท ซึ่งทางครอบครัวของแฟนเราไม่ให้ขายเนื่องจากขาดทุนเยอะ  ทางครอบครัวแฟนจึงให้เรายืมเงินมาปิดที่ดิน จ.ชัยภูมิ  แต่ทนาย 1 กลับไม่
ยอม  และกล่าวว่าหากเราไม่ยอมขายที่ดิน จ.เชียงใหม่ ให้ทนาย 2  ทนาย 1 ก็จะยกเลิกสัญญาฯ ไม่ขายที่ดิน จ.ชัยภูมิ ให้เราเช่นกัน  ด้วยความ
ที่เราอยากสานฝันของแม่ที่อยากจะมีบ้านสักหลังในชีวิต  และไม่อยากให้เพื่อนบ้านมาดูถูกแม่   เรากับแฟนจึงยอมตัดใจขายที่ดิน   จ.เชียงใหม่
ให้แก่ทนาย 2 ในราคา 3 แสนบาท (ซึ่งขาดทุนไป 7 หมื่นบาท) โดยเรากับแฟนได้เซ็นมอบอำนาจให้ ทนาย 1 ไปดำเนินการโอนขายที่ดินให้กับ
ทนาย 2 โดยทนาย 1 ได้ให้ทนาย 2 โอนเงินค่าซื้อที่ดิน จำนวน 3 แสน เข้าบัญชีของเสมียนทนายความ  โดยเราไม่ได้รับเงินค่าที่ดินแต่อย่างใด
ทนาย 1 ให้ถือว่าเงินค่าที่ดินส่วนนี้ เป็นการชำระค่าที่ดิน จ.ชัยภูมิ  ซึ่งทนาย 1 ได้รับเงินจากเรารวมเป็นเงินทั้งสิ้น 440,000.-บาท และทำบันทึก
ข้อตกลงว่าจะไปโอนที่ดิน จ.ชัยภูมิ  ให้เราในวันที่ 3 ธ.ค.62  พร้อมรับเงินที่เหลือจากเราอีก 110,000.-บาท  ณ  กรมที่ดิน จ.ชัยภูมิ  แต่เมื่อใกล้
ถึงกำหนดนัดหมาย เราได้โทรไปคอนเฟิร์มกับทนาย 1 แต่ทนาย 1  กลับบอกว่าภรรยาไม่ให้ตรขายที่ดิน จ.ชัยภูมิ แล้ว  ถ้าเราอยากได้ภรรยาให้
ขายราคา 8 แสน และในวันที่ 3 ธ.ค.62 ทนาย 1 ก็ไม่มาโอนที่ดินให้เราตามที่ได้นัดหมายไว้  จากนั้นในวันที่ 9 ม.ค.63  เราจึงได้ยื่นฟ้องคดีแพ่ง 
ผิดสัญญาจะซื้อจะขาย เรียกค่าเสียหายกับทนาย 1 ต่อมาในวันที่ 3 มี.ค.63 เราได้ทราบข้อเท็จจริงจากประกาศกรมบังคับคดีว่า ทนาย 1 ถูกศาล
ล้มละลายกลาง มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด  เมื่อวันที่ 5 ก.ย.59 และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย ในวันที่ 17 ก.ค.60  แต่ทนาย 1 กลับนำ
ที่ดินที่ตนปิดบังเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และกรมที่ดิน มาหลอกทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินกับเราในวันที่ 13 ก.ย.61 โดยที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลย 
ทำให้สัญญาจะซื้อ- จะขาย ระหว่างเรากับทนาย 1 จึงตกเป็นโมฆะทันที   
                      สรุปแล้วทนาย 1 ได้กุเรื่องมาหลอกลวงเราทั้งสิ้น  เริ่มจากการนำที่ดินมาหลอกขายเรา , หลอกลวงให้เราโอนเงินเข้าบัญชีเพื่อน  
โดยอ้างว่าปิดบังภรรยาฯ, หลอกให้เรากับแฟนโอนมอบอำนาจที่ดิน จ.เชียงใหม่ ไปให้เพื่อนทนาย 2 โดยเรากับแฟนไม่ได้รับเงินค่าซื้อขายที่ดิน
แต่อย่างใด  และที่สำคัญคือภรรยาของทนาย 1  กลับเอาที่ดิน  จ.เชียงใหม่  ของเรากับแฟนไปลงประกาศขายในราคา 5 แสนบาท  ในทามไลน์
ของตน โดยระบุในประกาศว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินขายเอง เราได้พยายามติดต่อไปยังทนาย 1 และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อขอเงินคืน  แต่ทั้งหมด
กลับปฏิเสธฯ พูดจาบ่ายเบี่ยง  โดยอ้างว่าไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ ทั้งสิ้น  และทนาย 1 กับภรรยายังท้าทายให้เรากับแฟนไปฟ้องร้องฯ ได้เลยถ้าคิดจะ
มาสู้คดีกับพวกตนซึ่งเป็นทนายความ  แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19  แพร่ระบาดในปัจจุบัน เรากับครอบครัวก็เป็นส่วนหนึ่งที่ประสบปัญหาในด้าน
การเงินเช่นกัน  เนื่องจากเสียค่าใช้จ่ายต่างๆ  กับเรื่องนี้ไปเป็นจำนวนมาก  ทำให้ไม่สามารถว่าจ้างทนายความในคดีอาญาได้  จึงได้ไปลงบันทึก
แจ้งความร้องทุกข์ไว้ที่สถานีตำรวจ  และรอนัดเข้าให้ปากคำภายใน 15 วัน  และไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นใด  เพราะทนาย 1 บอกว่าตนมี
พรรคพวกที่เป็นทนายความ  และอัยการหลายในพื้นที่  ระวังจะโดนฟ้องกลับ  แต่เราไม่ได้ทำผิดอะไร ไม่ได้แจ้งความเท็จ เรามีเอกสารหลักฐาน
ทุกอย่าง แต่ถ้าจะต้องพ่ายแพ้ต่อ ทนายความ 18 มงกุฏผู้นี้  คงจะหาความยุติธรรมที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว และต้องทำใจยอมรับในความผิดพลาด
ของตัวเองที่ไปหลงเชื่อใจ ไว้ใจ วางใจ ทนายความคนนี้ ซึ่งแม่ของเราเคยรู้จักกับพ่อแม่ของทนาย 1 มาก่อน ซึ่งทั้ง 2 ท่านเป็นคนดี จึงไม่มีใคร
คาดคิดว่าทนาย 1 จะอาศัยความรู้ความสามารถทาง กม.ของตนเอง มาฉ้อโกงประชาชนอย่างพวกเราได้   หากเพื่อนๆ  มีคำแนะนำหรือแนวทาง
ในการเรียกคืนความยุติธรรมให้กับเจ้าของกระทู้ได้โปรดชี้แนะด้วยนะคะ   _/\_ ขอบพระคุณมากค่ะ _/\_
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่