8/10
สรุปสั้นๆ: มินิซีรีส์ที่เติมเต็มเกร็ดความรู้ของ Golden Age Hollywood ได้ครบรส...ถ้าทนความเพ้อเจ้อเหมือนให้แม่สิตางค์มาเล่าเรื่องไปจนจบได้นะ
เวิ่นยาวๆ โนสปอยเนื้อหาหลัก:
หาก Once Upon a Time in Hollywood เป็นการมอบเรื่องราวใหม่ที่แสนหวานดั่งฝันกลางวันให้กับฮอลลีวูดในยุค 60s แล้ว Hollywood ของ Netflix ก็เป็นฝัน ที่ไม่กล้าฝัน ที่คนธรรมดาคนนึงไม่กล้าฝัน แต่ซ้อไรอันก็ให้มาโดยที่ฉันก็แอบฝัน ในการทำให้ฮอลลีวูดยอมรับความหลากหลายหรือ diversity ตั้งแต่ยุค 40s มากกว่าจะต้องรอไปอีกกว่า 60 ปีอย่างในโลกของความจริง
สิ่งที่ชอบคือเรื่องนี้ทำให้เติมเต็มเกร็ดความรู้หลายๆอย่างของฮอลลีวู้ดในยุค Golden Age อย่างเช่นสำเนียง Mid-Atlantic ซึ่งอันนี้เคยสงสัยจนศึกษาที่มาเองมาแล้ว, ดิสนีย์เคยสร้างหนังมิวสิคัลที่นำแสดงโดยคนผิวสี Song of the South แต่โทนเรื่องมัน stereotype ชนชั้นคนผิวสีมากจนภายหลังทำการฝังกลบตัวเองเหมือนไม่เคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้นเรียบร้อย, และหนัง The Good Earth ที่ตัวละครเดินเรื่องเป็นคนจีน แต่ใช้แคสนักแสดงนำเป็นฝรั่งผิวขาวมาแต่งหน้าแบบสเตริโอไทป์คนเอเชีย แถมคว้าออสการ์นำหญิงด้วย ทั้งที่ยุคนั้นก็มีนักแสดงเอเชียที่มีชื่ออยู่แล้วนั่นคือ Anna May Wong แต่สตูดิโอไม่แคสเพราะกลัวไม่ทำเงิน....แต่ถามว่าในยุคยังนี้มีให้เห็นมั้ย ก็มีอะแหละแต่ผลตรงกันข้าม //มอง Ghost in the Shell
จากการเป็นแฟนซีรี่ส์พันธ์ทางของซ้อ Ryan Murphy (คือดีก็ชม บ้งก็สาป) ก่อนดูก็พอจะคาดเดาได้ว่าซิกเนเจอร์ของซ้อนั่นคือความ tacky ความเอาเอเลเมนต์ของคนจริงหรือเรื่องจริงมาเพ้อเจ้อให้หนักข้อขึ้น ความจ้อจี้เก่งยิ่งกว่าแม่สิตางค์ส้มหยุดต้องมาเต็ม ก็เคยจ้อจี้เบอร์แรงกับ American Crime Story: The Assassination of Gianni Versace จนเวอร์ซาเช่ไม่ขอนับญาติด้วยอ่ะคิดดู ซึ่งก็เต็มจริงๆ เพ้อหนักขั้นสุดโต่งแบบที่ไม่มีทางเกิดขึ้นจริง เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ แต่เป็นความเพ้อที่ชวนจอยให้ล่องลอยไปด้วย หวานเยิ้มจนเลี่ยนมากกกกกแต่ถ้าชอบก็อร่อยว่างั้น
หลังจากที่ ACS พาส้มหล่นกวาดรางวัลรัวๆ Hollywood ก็เป็นมินิซีรีส์ Emmy-bait อย่างชัดเจนไม่อ้อมค้อม โดยเฉพาะสาขานักแสดงสมทบชายและหญิง Patti LuPone และ Jim Parsons ที่นอนรอมาแต่ไกล ส่วน Darren Criss ที่เคยกวาดรางวัลนำชายจาก ACS พอมารับบทโลกสวยไม่ร้ายแล้วกลับดูจืดไปเลย แต่ David Corenswet เด็กดันคนใหม่ของซ้อ ที่เคย meh มากๆใน The Politician ในเรื่องนี้ดูไชน์ขึ้นและประกบตัวแม่ไม่ตายจนเซอร์ไพรซ์เบาๆ
โดยรวมๆก็เป็นซีรีย์ที่เหมาะ binge watch ดูเพลินๆ เพ้อๆ ฆ่าเวลาช่วงวันหยุดยาว เพราะมีแค่ 7 ตอนเอง ควรทำการบ้านก่อนเพื่อความอิน โดยเฉพาะบุคคลที่มีอยู่จริงนั่นคือ Rock Hudson, Henry Wilson, Anna May Wong, Hattie McDaniel และ Scotty Bowers
ในส่วนเนื้อเรื่องภาคต่อ บอกเลยถ้ามีซีซั่นต่อไปโอกาสบ้งเกิน 70% ยกเว้นจะเปิดการ์ดเรื่องราวใหม่ในจักรวาลเดียวกันแบบ AHS (แอบมี Easter egg ของ AHS โผล่มาแว้บๆด้วย)
ถ้าดูจบแล้วยังอินอยู่ แนะนำให้ลองศึกษาประวัติ Scotty Bowers หรือที่ดัดแปลงมาเป็นตัวละครในเรื่องนี้คือ Ernie เจ้าของปั้มน้ำมันดรีมแลนด์ ในซีรีส์ว่าพีคแล้ว ตัวจริงคือแซ่บนัวพริกสิบเม็ด ฟาดมาหมดทั้งวงการไม่มียั้งอ่ะคุณ
Netflix's Hollywood: ฝัน ที่ไม่กล้าฝัน ที่คนธรรมดาคนนึงไม่กล้าฝัน ของวงการฮอลลีวูดยุค 40s