สวัสดีครับ วันนี้จะมาแชร์ประสบการณ์ การหา “หมอดู” ให้เพื่อนๆ ชาวพันทิปได้ฟังกันครับ
ต้องบอกก่อนครับว่า เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องลบหลู่ครูบาอาจารย์แต่อย่างใด ไม่มีเจตนาจะประจานหรือให้ร้ายใคร แค่มาเล่าสู่กันฟังเฉยๆ ครับ ความศรัทธาต่อองค์พ่อปู่หรือครูบาอาจารย์ผมยังมีเหมือนเดิมครับ
เริ่มกันเลยครับ
ผมเป็นคนจังหวัดหนึ่งในประเทศไทยครับ จังหวัดนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “ล้านนา” พูดภาษาล้านนา (ไทยถิ่นเหนือ) เป็นประจำ มีตัวอักษรล้านนาที่เคยถูกใช้เป็นอักษรประจำถิ่นในอดีต แต่ก่อน ทำงานเป็นลูกจ้าง ไม่เคยเชื่อสิ่งลี้ลับ แล้วมีเหตุต้องออกจากงานมา ผมเชื่อสิ่งเดียว คือ ครูบาศรีวิชัย เพราะเคยได้รับปาฏิหาริย์มาตลอดระยะเวลาที่ทำงาน หรือแม้กระทั่งครั้งหนึ่ง ผมย้ายหอพักไปอยู่หอพักแห่งหนึ่ง (ในซอยวัด... หลังมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง) ขณะไปนอนคืนที่สองมี “สิ่งหนึ่ง” ไม่แน่ใจว่า “เจ้าที่” หรืออะไรมาเข้าฝัน ว่าเคยมีคนเสียชีวิตอยู่หน้าห้อง ผมก็ไม่เชื่อ และไม่เคยไปไหว้ศาลพระภูมิ – ศาลเจ้าที่ของหอพักด้วย เพราะกลัว ทั้งๆ ที่ หอพักกับห้องอยู่ติดกันเลย
เมื่อหมดบุญ ชีวิตตกอับ ต้องกลายมาเป็น “คนว่างงาน” หรือ “คนประกอบอาชีพอิสระ” ก็รู้สึกว่าชีวิตไม่มีคุณค่า เคว้งคว้างแบบสุด แต่โชคดีที่ยังมีโอกาสได้ดูแล “คุณยาย” ที่เป็นผู้ป่วยติดเตียงอยู่ ๑ ปีเต็มๆ โดยนั่งเฝ้า เตรียมหุงหาอาหารให้บางมื้อ และช่วยเหลือเกื้อกูลอย่างอื่นเท่าที่จะทำได้ เช่น ช่วยเปลี่ยนแพมเพิร์ส อาบน้ำให้ หยิบของนั่นนี่ให้ ฯลฯ
ดูแลคุณยายอย่างเต็มที่ เท่าที่กำลังจะไหว เนื่องจากขณะนั้นปัญหารุมเร้ามาก ทำให้หงุดหงิด และเหวี่ยงบ่อยๆ ทุกวันนี้ยังรู้สึกผิดกับคุณยายอยู่ ก็ได้แต่ปลง และอธิษฐานจิตขอขมากรรมและขออโหสิกรรมต่อดวงวิญญาณของคุณยาย (ทุกวันนี้ นอนหลับบนเตียงที่ยายเคยนอน ที่เดิม เตียงเดิม ไม่เคยย้ายไปไหน)
แม้ว่าการดูแลคุณยาย ทำให้เราเหน็ดเหนื่อย ท้อใจ ขนาดไหน คุณยายก็เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจที่ผมมีอยู่ โดยเชื่อมั่นเสมอว่า “การดูแลบุพการี” แม้ชีวิตเราจะล้มเหลวขนาดไหน แต่บุญกุศลนั้นแรง เปลี่ยนร้ายกลายเป็นดีได้ และทำให้ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ได้ ทั้งยังจะหนุนส่งให้เราได้พบกับสิ่งดีๆ
หลังจากนั้น คุณยายก็เสียชีวิต ก็อธิษฐานจิตขอสิ่งดีๆ จากคุณยาย ทุกวันนี้ยังรู้สึกผิดที่พูดไม่ดีกับยายบ้าง
เมื่อคุณยายเสียชีวิต เราก็เคว้งขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง แต่พอดีมีงานเสริมเข้ามาถึง 3 เดือน ทำให้เราพอคลายเหงาและทำใจได้บ้าง
เราเริ่มค้นหาหมอดู (จริงๆ ดูมาหลายสำนักมาก ในช่วงหลังตกงาน) แล้วผมก็ตามไปดูหมอดูหลายๆ ท่าน ซึ่งตรงบ้าง ไม่ตรงบ้าง ทั้งที่ กรุงเทพ เชียงใหม่ และที่อื่นๆ
จริงๆ การดูดวงของเราก็เหมือนกับคนอื่นๆ แหละครับ แค่อยากไปฟังคำพยากรณ์ชะตาชีวิตในแต่ละศาสตร์ตามที่หมอดูได้ร่ำเรียนมา ไม่ได้อยากจะต้องไปรับหรือบูชาอะไรต่อทั้งสิ้น เมื่อผมค้นหาหมอดูและดูไปเรื่อยๆ ผมก็ค้นพบที่หนึ่ง ที่รู้สึกว้าวๆ มากๆ ก็คือ หมอดูที่อยู่แถวบ้านผมนี่เอง หมอดูท่านนี้เป็นหมอดูที่เคยดูให้ผมแล้วเมื่อหลายปีก่อน แต่ผมจำไม่ได้ คือ ต้องบอกก่อนว่า หมอดูท่านนี้มี “ฤาษี” ตนหนึ่งเป็นครูบาอาจารย์
จากที่เราดูมาทั้งหมด เรารู้สึกว่าหมอดูท่านนี้ดูได้ “ตรง” และ “ชัดเจน” เอามากๆ โดยดู “ไพ่” และ “ลายมือ” ดูทั้งสองอย่างเพื่อยืนยันกันถึงความแม่น
เราว้าวในความแม่น ทำให้เราไปดูกับท่านถึง ๓ ครั้ง ห่างกันครั้งละ ๓ เดือน ค่าดูครั้งละ ๒๐๐ บาท และคิดว่า จะไปดูกับท่านตลอด เพราะเจอหมอดูที่แม่นสำหรับเราแล้ว
และแล้ว ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ผมไปดูกับท่านเป็นครั้งที่ ๓ เมื่อผมเริ่มดูก็ทำให้ผมคิดว่า ครั้งนี้ต้องเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับผมแน่ๆ ของการใช้บริการที่นี่
เพราะท่านจะอ่านลายมือก่อน และตามด้วยการเปิดไพ่ เมื่อเปิดไพ่ปุ๊บ เมื่อท่านหลับตาลง (เข้าสมาธิ) แล้ว ก็ทักเราประมาณว่า
ที่ผ่านมาเนี่ย เคยอธิษฐานขออะไร “พ่อปู่” (ฤาษีตนที่เป็นครูบาอาจารย์) ไหม เนี่ย พ่อปู่บอกมาว่า พ่อปู่ช่วยแล้ว
ผมก็แบบ เอ้อ ผมแค่ นึกถึงเฉยๆ แต่ไม่เคยศรัทธาหรือไปขออะไรเป็นจริงเป็นจัง คือจะบอกว่า ผมแค่มาหาหมอดูที่เป็นศิษย์พ่อปู่ท่านนี้แค่มาดูดวงเฉยๆ ตรวจเช็กดวงชะตาเฉยๆ อะ ไม่ได้มาครอบครูหรืออะไรทั้งสิ้น แล้วอีกอย่างเราก็สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ เป็นประจำ พูดง่ายๆ คือ พ่อปู่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลำดับท้ายๆ ที่เราจะขอจากท่าน เรามักจะขอจากครูบาอาจารย์ ยาย แล้วก็สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรานับถือมากกว่า
เราไม่กล้าบอกท่านไปตรงๆ กลัวจะหักหน้า เสียบรรยากาศ เลยบอกไปว่า ก็แบบคิดๆ บ้าง อะไรอย่างนี้
เข้าทางเลยครับ ท่านก็ประมาณว่า เนี่ย พ่อปู่มากระซิบบอกเป็นเสียงว่า ไอ้นี่มาขอกู กูได้ช่วยมันแล้ว
เราก็ยังอึ้งๆ เพราะแค่นึกถึงท่านเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าแบบ ท่านมาจริงๆ
เราไปไม่เป็นเลย
จุดที่พีกที่สุดของการดูดวงครั้งนี้ คือ การที่หมอดูพยายามจะบอกว่า เมื่อพ่อปู่ช่วยแล้วเนี่ย ผมจะต้องตั้งขันครูหรือบูชาครูอะไรทำนองนี้ครับ จำนวน ๑,๙๙๙ บาท
จากนั้น บรรยากาศการดูดวงก็อึดอัดขึ้นเรื่อยๆ และอึดอัดมากที่สุดตั้งแต่เคยดูมา เพราะจะถามอะไรก็จะต้องโยงไปถึงการที่พ่อปู่มาช่วยผมแล้ว และจะต้องเสียค่าขันครู ๑,๙๙๙ บาท
ท่านก็ได้ถามผมว่า คราวที่มาดูดวงคราวแล้ว ได้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรไหม (เขียนชื่อ – นามสกุล จำนวนเงิน และเบอร์โทรของเรา) ว่า จะตั้งขันครู ๑,๙๙๙ บาท
ผมก็บอกว่า ไม่นะ ไม่เคย
ท่านก็ถามชื่อ – นามสกุล แล้วก็หลับตาสื่อสารกับพ่อปู่ และท่านก็บอกว่า ไม่มีจริงๆ ด้วย
คราวนี้จะต้องบูชาขันครู ตามจำนวนเงินนั้น เพราะเหมือนกับว่า พ่อปู่ได้ช่วยเราแล้ว
เราก็พยายามจะเลี่ยงๆ ๆ ๆ ๆ เพราะแค่มาดูดวงเฉยๆ อะ ไม่นึกว่าจะต้องมาขอให้ช่วยอะไรเลย
ท่านก็พยายามถามว่าเราจะบูชาเท่าไร บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเลยไหม เพราะว่าแต่ก่อนเคยวัดใจลูกศิษย์ ไม่ได้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ตอนนี้ต้องบันทึกไว้ เพราะโดนเบี้ยวเยอะ พอได้ดิบได้ดี ก็ลืมพ่อปู่ ไม่สนใจพ่อปู่ (เราก็คิดในใจ แหงล่ะ หากินแบบนี้ ไม่ใช่ของซื้อของขายหนิ)
ดวงจบ เราก็แบบบอกว่า เรายังลืมตาอ้าปากไม่ได้เลยอะ ขอเรามีเงินก่อนได้ไหม ค่าบูชาตั้งมากมาย แล้วอีกอย่าง เราไม่กล้าพูดตรงๆ ว่า ไม่เคยขอพ่อปู่จริงจัง แต่นึกถึงท่านบ้าง
ท่านหมอดูเลยบอกว่า ผ่อนชำระก็ได้ ครั้งละ ๕๐๐ บาทขึ้นไป เดี๋ยวพอครบแล้วจะบูชาพ่อปู่ให้
เราเลยแบบ ยังไม่มี ๕๕๕ แล้วก็ขอตัวออกมาเลย
หลังจากผ่านไปเกือบ ๑ เดือน เบอร์โทรหมอดูก็โชว์มาที่เครื่องเรา เราไม่กล้ารับอะ ไม่อยากรับ กลัวลำบากใจ กลัวโดนทวงเงิน ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นหนี้แก ก็เลยได้แต่คิดว่า เห้อ คงไม่มีใครต่อไปแล้วล่ะ อีกอย่าง แม่หมอก็คงโดนโควิด ๑๙ เล่นงาน จนต้องใช้วิธีการหาเงินแบบใหม่แล้วกระมัง
เพื่อนๆ เคยเจอแบบนี้ไหมครับ แล้วทำอย่างไรกันบ้างครับ
หากเพื่อนๆ มีหมอดูที่สามารถทำนายชีวิตได้อย่างแม่นยำ รวมทั้งหากในอนาคตจะมีสิ่งไม่ดี แล้วบอกวิธีบรรเทาได้ ขอให้เพื่อนๆ ช่วยแนะนำด้วยครับ
แชร์ประสบการณ์การดูหมอในจังหวัดแห่งหนึ่งครับ
ต้องบอกก่อนครับว่า เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องลบหลู่ครูบาอาจารย์แต่อย่างใด ไม่มีเจตนาจะประจานหรือให้ร้ายใคร แค่มาเล่าสู่กันฟังเฉยๆ ครับ ความศรัทธาต่อองค์พ่อปู่หรือครูบาอาจารย์ผมยังมีเหมือนเดิมครับ
เริ่มกันเลยครับ
ผมเป็นคนจังหวัดหนึ่งในประเทศไทยครับ จังหวัดนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “ล้านนา” พูดภาษาล้านนา (ไทยถิ่นเหนือ) เป็นประจำ มีตัวอักษรล้านนาที่เคยถูกใช้เป็นอักษรประจำถิ่นในอดีต แต่ก่อน ทำงานเป็นลูกจ้าง ไม่เคยเชื่อสิ่งลี้ลับ แล้วมีเหตุต้องออกจากงานมา ผมเชื่อสิ่งเดียว คือ ครูบาศรีวิชัย เพราะเคยได้รับปาฏิหาริย์มาตลอดระยะเวลาที่ทำงาน หรือแม้กระทั่งครั้งหนึ่ง ผมย้ายหอพักไปอยู่หอพักแห่งหนึ่ง (ในซอยวัด... หลังมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง) ขณะไปนอนคืนที่สองมี “สิ่งหนึ่ง” ไม่แน่ใจว่า “เจ้าที่” หรืออะไรมาเข้าฝัน ว่าเคยมีคนเสียชีวิตอยู่หน้าห้อง ผมก็ไม่เชื่อ และไม่เคยไปไหว้ศาลพระภูมิ – ศาลเจ้าที่ของหอพักด้วย เพราะกลัว ทั้งๆ ที่ หอพักกับห้องอยู่ติดกันเลย
เมื่อหมดบุญ ชีวิตตกอับ ต้องกลายมาเป็น “คนว่างงาน” หรือ “คนประกอบอาชีพอิสระ” ก็รู้สึกว่าชีวิตไม่มีคุณค่า เคว้งคว้างแบบสุด แต่โชคดีที่ยังมีโอกาสได้ดูแล “คุณยาย” ที่เป็นผู้ป่วยติดเตียงอยู่ ๑ ปีเต็มๆ โดยนั่งเฝ้า เตรียมหุงหาอาหารให้บางมื้อ และช่วยเหลือเกื้อกูลอย่างอื่นเท่าที่จะทำได้ เช่น ช่วยเปลี่ยนแพมเพิร์ส อาบน้ำให้ หยิบของนั่นนี่ให้ ฯลฯ
ดูแลคุณยายอย่างเต็มที่ เท่าที่กำลังจะไหว เนื่องจากขณะนั้นปัญหารุมเร้ามาก ทำให้หงุดหงิด และเหวี่ยงบ่อยๆ ทุกวันนี้ยังรู้สึกผิดกับคุณยายอยู่ ก็ได้แต่ปลง และอธิษฐานจิตขอขมากรรมและขออโหสิกรรมต่อดวงวิญญาณของคุณยาย (ทุกวันนี้ นอนหลับบนเตียงที่ยายเคยนอน ที่เดิม เตียงเดิม ไม่เคยย้ายไปไหน)
แม้ว่าการดูแลคุณยาย ทำให้เราเหน็ดเหนื่อย ท้อใจ ขนาดไหน คุณยายก็เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจที่ผมมีอยู่ โดยเชื่อมั่นเสมอว่า “การดูแลบุพการี” แม้ชีวิตเราจะล้มเหลวขนาดไหน แต่บุญกุศลนั้นแรง เปลี่ยนร้ายกลายเป็นดีได้ และทำให้ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ได้ ทั้งยังจะหนุนส่งให้เราได้พบกับสิ่งดีๆ
หลังจากนั้น คุณยายก็เสียชีวิต ก็อธิษฐานจิตขอสิ่งดีๆ จากคุณยาย ทุกวันนี้ยังรู้สึกผิดที่พูดไม่ดีกับยายบ้าง
เมื่อคุณยายเสียชีวิต เราก็เคว้งขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง แต่พอดีมีงานเสริมเข้ามาถึง 3 เดือน ทำให้เราพอคลายเหงาและทำใจได้บ้าง
เราเริ่มค้นหาหมอดู (จริงๆ ดูมาหลายสำนักมาก ในช่วงหลังตกงาน) แล้วผมก็ตามไปดูหมอดูหลายๆ ท่าน ซึ่งตรงบ้าง ไม่ตรงบ้าง ทั้งที่ กรุงเทพ เชียงใหม่ และที่อื่นๆ
จริงๆ การดูดวงของเราก็เหมือนกับคนอื่นๆ แหละครับ แค่อยากไปฟังคำพยากรณ์ชะตาชีวิตในแต่ละศาสตร์ตามที่หมอดูได้ร่ำเรียนมา ไม่ได้อยากจะต้องไปรับหรือบูชาอะไรต่อทั้งสิ้น เมื่อผมค้นหาหมอดูและดูไปเรื่อยๆ ผมก็ค้นพบที่หนึ่ง ที่รู้สึกว้าวๆ มากๆ ก็คือ หมอดูที่อยู่แถวบ้านผมนี่เอง หมอดูท่านนี้เป็นหมอดูที่เคยดูให้ผมแล้วเมื่อหลายปีก่อน แต่ผมจำไม่ได้ คือ ต้องบอกก่อนว่า หมอดูท่านนี้มี “ฤาษี” ตนหนึ่งเป็นครูบาอาจารย์
จากที่เราดูมาทั้งหมด เรารู้สึกว่าหมอดูท่านนี้ดูได้ “ตรง” และ “ชัดเจน” เอามากๆ โดยดู “ไพ่” และ “ลายมือ” ดูทั้งสองอย่างเพื่อยืนยันกันถึงความแม่น
เราว้าวในความแม่น ทำให้เราไปดูกับท่านถึง ๓ ครั้ง ห่างกันครั้งละ ๓ เดือน ค่าดูครั้งละ ๒๐๐ บาท และคิดว่า จะไปดูกับท่านตลอด เพราะเจอหมอดูที่แม่นสำหรับเราแล้ว
และแล้ว ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ผมไปดูกับท่านเป็นครั้งที่ ๓ เมื่อผมเริ่มดูก็ทำให้ผมคิดว่า ครั้งนี้ต้องเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับผมแน่ๆ ของการใช้บริการที่นี่
เพราะท่านจะอ่านลายมือก่อน และตามด้วยการเปิดไพ่ เมื่อเปิดไพ่ปุ๊บ เมื่อท่านหลับตาลง (เข้าสมาธิ) แล้ว ก็ทักเราประมาณว่า
ที่ผ่านมาเนี่ย เคยอธิษฐานขออะไร “พ่อปู่” (ฤาษีตนที่เป็นครูบาอาจารย์) ไหม เนี่ย พ่อปู่บอกมาว่า พ่อปู่ช่วยแล้ว
ผมก็แบบ เอ้อ ผมแค่ นึกถึงเฉยๆ แต่ไม่เคยศรัทธาหรือไปขออะไรเป็นจริงเป็นจัง คือจะบอกว่า ผมแค่มาหาหมอดูที่เป็นศิษย์พ่อปู่ท่านนี้แค่มาดูดวงเฉยๆ ตรวจเช็กดวงชะตาเฉยๆ อะ ไม่ได้มาครอบครูหรืออะไรทั้งสิ้น แล้วอีกอย่างเราก็สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ เป็นประจำ พูดง่ายๆ คือ พ่อปู่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลำดับท้ายๆ ที่เราจะขอจากท่าน เรามักจะขอจากครูบาอาจารย์ ยาย แล้วก็สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรานับถือมากกว่า
เราไม่กล้าบอกท่านไปตรงๆ กลัวจะหักหน้า เสียบรรยากาศ เลยบอกไปว่า ก็แบบคิดๆ บ้าง อะไรอย่างนี้
เข้าทางเลยครับ ท่านก็ประมาณว่า เนี่ย พ่อปู่มากระซิบบอกเป็นเสียงว่า ไอ้นี่มาขอกู กูได้ช่วยมันแล้ว
เราก็ยังอึ้งๆ เพราะแค่นึกถึงท่านเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าแบบ ท่านมาจริงๆ
เราไปไม่เป็นเลย
จุดที่พีกที่สุดของการดูดวงครั้งนี้ คือ การที่หมอดูพยายามจะบอกว่า เมื่อพ่อปู่ช่วยแล้วเนี่ย ผมจะต้องตั้งขันครูหรือบูชาครูอะไรทำนองนี้ครับ จำนวน ๑,๙๙๙ บาท
จากนั้น บรรยากาศการดูดวงก็อึดอัดขึ้นเรื่อยๆ และอึดอัดมากที่สุดตั้งแต่เคยดูมา เพราะจะถามอะไรก็จะต้องโยงไปถึงการที่พ่อปู่มาช่วยผมแล้ว และจะต้องเสียค่าขันครู ๑,๙๙๙ บาท
ท่านก็ได้ถามผมว่า คราวที่มาดูดวงคราวแล้ว ได้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรไหม (เขียนชื่อ – นามสกุล จำนวนเงิน และเบอร์โทรของเรา) ว่า จะตั้งขันครู ๑,๙๙๙ บาท
ผมก็บอกว่า ไม่นะ ไม่เคย
ท่านก็ถามชื่อ – นามสกุล แล้วก็หลับตาสื่อสารกับพ่อปู่ และท่านก็บอกว่า ไม่มีจริงๆ ด้วย
คราวนี้จะต้องบูชาขันครู ตามจำนวนเงินนั้น เพราะเหมือนกับว่า พ่อปู่ได้ช่วยเราแล้ว
เราก็พยายามจะเลี่ยงๆ ๆ ๆ ๆ เพราะแค่มาดูดวงเฉยๆ อะ ไม่นึกว่าจะต้องมาขอให้ช่วยอะไรเลย
ท่านก็พยายามถามว่าเราจะบูชาเท่าไร บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเลยไหม เพราะว่าแต่ก่อนเคยวัดใจลูกศิษย์ ไม่ได้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ตอนนี้ต้องบันทึกไว้ เพราะโดนเบี้ยวเยอะ พอได้ดิบได้ดี ก็ลืมพ่อปู่ ไม่สนใจพ่อปู่ (เราก็คิดในใจ แหงล่ะ หากินแบบนี้ ไม่ใช่ของซื้อของขายหนิ)
ดวงจบ เราก็แบบบอกว่า เรายังลืมตาอ้าปากไม่ได้เลยอะ ขอเรามีเงินก่อนได้ไหม ค่าบูชาตั้งมากมาย แล้วอีกอย่าง เราไม่กล้าพูดตรงๆ ว่า ไม่เคยขอพ่อปู่จริงจัง แต่นึกถึงท่านบ้าง
ท่านหมอดูเลยบอกว่า ผ่อนชำระก็ได้ ครั้งละ ๕๐๐ บาทขึ้นไป เดี๋ยวพอครบแล้วจะบูชาพ่อปู่ให้
เราเลยแบบ ยังไม่มี ๕๕๕ แล้วก็ขอตัวออกมาเลย
หลังจากผ่านไปเกือบ ๑ เดือน เบอร์โทรหมอดูก็โชว์มาที่เครื่องเรา เราไม่กล้ารับอะ ไม่อยากรับ กลัวลำบากใจ กลัวโดนทวงเงิน ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นหนี้แก ก็เลยได้แต่คิดว่า เห้อ คงไม่มีใครต่อไปแล้วล่ะ อีกอย่าง แม่หมอก็คงโดนโควิด ๑๙ เล่นงาน จนต้องใช้วิธีการหาเงินแบบใหม่แล้วกระมัง
เพื่อนๆ เคยเจอแบบนี้ไหมครับ แล้วทำอย่างไรกันบ้างครับ
หากเพื่อนๆ มีหมอดูที่สามารถทำนายชีวิตได้อย่างแม่นยำ รวมทั้งหากในอนาคตจะมีสิ่งไม่ดี แล้วบอกวิธีบรรเทาได้ ขอให้เพื่อนๆ ช่วยแนะนำด้วยครับ