สวัสดีเพื่อนๆชาวพันทิปทุกคน เราขอใช้นามสมมุติว่าออมนะคะ และขอเกริ่นก่อนว่าโรงเรียนแห่งนี้อยู่ในพื้นที่ที่ทางวัดบริจาคให้สร้างเป็นโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นเมรุเผาศพ ศาลาสวดศพหรือที่เก็บศพจะอยู่ใกล้กับอาคารเรียนโดยรอบเลย โดยเฉพาะตึกอนุบาลชั้นสามชั้นสี่ห้องริมถ้าเปิดม่านไปก็จะมองเห็นที่เก็บศพเลย(เป็นโรงเรียนที่อยู่ในเขตปริมณฑลขอไม่บอกชื่อนะคะ) เรื่องเกิดขึ้นตอนที่เราไปเป็นครูสอนอยู่ที่โรงเรียนนี้ตั้งแต่อายุ23(ตอนนี้28) พี่ๆครูที่โรงเรียนที่เค้าอยู่มานานก็จะมาเล่าเรื่องแปลกๆที่เกิดขึ้นในโรงเรียนให้ฟังบ่อยๆ เราจะขอเริ่มเล่าเป็นเหตุการณ์ตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงปัจจุบันเลยแล้วกันค่ะ(ชื่อของทุกคนเราจะขอใช้นามสมมุติทั้งหมดนะคะ)
1. เหตุการณ์แรกเริ่มจากตอนกลางวัน คือจะมีบางวันที่เราจะได้กลิ่นเหม็นเป็นกลิ่นศพลอยมาบ่อยๆ พี่ที่เป็นครูด้วยกันเค้าก็บอกว่ามีคนตายแหละแล้วเค้าเอาศพมาไว้กลิ่นมันเลยโชยมาเป็นเรื่องปกติ หลังๆเราก็เริ่มชินพอได้กลิ่นก็รู้เลยว่าวันนี้มีคนตาย ก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก
2. พอเราอยู่ไปนานๆงานเราเริ่มเยอะขึ้นก็จะอยู่ทำงานกับเพื่อนครูที่ตึกเรียนจนดึกประมาณสองสามทุ่ม ช่วงนั้นพี่ๆก็เตือนว่าเวลากลับดึกๆตอนเดินออกมาจากตึกอย่าเงยหน้าขึ้นไปมองข้างบนตึกเด็ดขาดไม่ว่าตึกไหนก็ตามเพราะมีครูคนอื่นเคยมองขึ้นไปตอนกลางคืนแล้วเห็นเป็นผู้หญิงใส่ชุดไทยยืนอยู่บนตึกแล้วเห็นกันบ่อย เราได้ฟังก็เลยไม่กล้ามองขึ้นไปเลย พอออกมาจากตึกก็จะรีบเดินออกจากโรงเรียนทันที
3.เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ห้องนาฏศิลป์ จะอยู่ชั้นบนสุดของตึกที่หันหน้าออกมาทางถนนเลย ห้องนี้ครูนาฏศิลป์ของโรงเรียนชื่อน้องเอเล่าให้ฟังว่าตอนมาอยู่แรกๆจะชอบนั่งทำงานหลังเลิกเรียนจนเย็นแล้วก็จะมีนักเรียนนางรำอยู่เป็นเพื่อน แต่มีอยู่วันนึงที่น้องเอนั่งทำงานคนเดียวจนเย็น อยู่ๆก็ได้ยินเสียงเหมือนคนวิ่งในห้องทั้งที่ไม่มีใครอยู่เลย บางทีก็เหมือนเสียงเด็กหัวเราะแว่วมา เสียงของในห้องตกบ้าง น้องเอกลัวมากก็จะรีบเก็บของกลับบ้านทันที แล้วก็เป็นแบบนี้อยู่บ่อยๆจนหลังๆน้องเอไม่อยู่ทำงานเย็นเลยแต่จะขนกลับไปทำที่บ้านแทน มีอยู่ครั้งนึงเรานั่งรถผ่านหน้าโรงเรียนจะกลับหอประมาณ4ทุ่มได้เห็นไฟในห้องนาฏศิลป์เปิดสว่างอยู่ห้องเดียวก็คิดว่าสงสัยน้องเอลืมปิดไฟเลยโทรบอกพี่บีซึ่งเป็นพี่ครูผู้ชายที่อยู่บ้านพักครูหลังโรงเรียนแกเลยขึ้นไปปิดให้ พอเช้ามาเราเจอน้องเอกับพี่บีเลยคุยกันเรื่องที่น้องเอลืมปิดไฟ แต่น้องเอยืนยันว่าไม่เคยลืมปิดเลยเพราะเช็คตลอด พี่บีก็เลยเล่าว่าเราไม่ใช่คนแรกที่เห็นไฟเปิดแล้วโทรหาแก แต่มีครูหลายคนที่เห็นเหมือนกัน ตอนแรกแกออกจะงงๆเพราะช่วงเย็นๆหกโมงกว่าแกจะเดินตรวจดูตลอดว่ามีห้องไหนลืมปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าบ้าง ก็ไม่เคยเห็นว่าห้องนาฏศิลป์ไฟจะเปิดซักครั้ง แต่พอแกเข้าบ้านนอนเท่านั้นแหละครูที่ผ่านหน้าโรงเรียนจะโทรมาบอกตลอดว่าไฟห้องนาฏศิลป์ไม่ได้ปิด(อาจจะไม่ทุกวันแต่ก็บ่อย) พอนานๆไปแกก็เริ่มชินเพราะแกเป็นคนไม่กลัวผีอยู่แล้ว แต่เรากับน้องเอนี่สิขนลุกไปตามๆกัน
4. เรื่องนี้เราเจอกับตัวเองค่ะ มีวันนึงเราอยู่ช่วยพี่ที่เป็นครูอนุบาล2คน(รวมเราด้วยก็เป็น3คน) ทำความสะอาดห้องของเล่นเด็กหลังเลิกเรียน(เป็นพี่ที่มาบรรจุเป็นครูพร้อมกันเลยสนิทกัน)จนประมาณสองทุ่มกว่าเราก็เดินออกมาจากตึกจะกลับหอกันซึ่งก่อนที่เราจะเลี้ยวซ้ายออกประตูโรงเรียนเรามองตรงไปที่ศาลาข้างห้องสหกรณ์เห็นเหมือนผู้หญิงหน้าขาวๆผิวขาวนั่งหันข้างให้ ลักษณะที่เราเห็นคือบริเวณศาลามันมืดมากไม่มีไฟ แต่ผู้หญิงคนนั้นเค้าเหมือนมีแสงสว่างในตัวเองอะเราก็เลยเห็นเป็นแบบคนที่ขาวทั้งตัวเลยซักพักผู้หญิงคนนั้นก็หันหน้ามาทางเรา ตอนนั้นเราคิดว่าเป็นคนนี่แหละเลยถามพี่ครูอนุบาลว่าใครอะพี่ พี่เค้าก็เห็นก็คุยกันว่าใครไปนั่งอยู่ตรงนั้นคนเดียว ซักพักมีรุ่นพี่ครู2คนชื่อพี่ซีกับพี่เอฟเปิดประตูออกมาจากห้องสหกรณ์ เราก็ทักทายกันประมาณว่าอยู่ทำอะไรทำไมเพิ่งกลับก็คุยกัน พอเรามองไปที่ศาลาอีกทีก็ไม่เห็นแล้ว เช้ามาเราเจอพี่ซีกับไอ้จี(จีคือเพื่อนครูสอนวิทย์ที่โรงเรียน)เลยถามพี่ซีว่าหนูเห็นมีคนนั่งอยู่ศาลาก่อนที่พี่จะเดินออกมา พี่แกเลยบอกอ๋อไอ้จีมันมานั่งรอพี่กลับบ้านพร้อมกัน ไอ้จีมันก็บอกใช่ๆเราเองนั่งอยู่ศาลาเมื่อคืน เราก็ไปเล่าให้พี่ครูอนุบาลฟังก็ไม่คิดอะไรเพราะไอ้จีก็ยืนยันว่าเป็นมัน จนเวลาผ่านไปเราได้ไปนั่งทำงานกับพี่เอฟ เลยคุยกันถึงเรื่องวันนั้นแบบขำๆว่าตอนแรกหนูนึกว่าผีตกใจหมดที่ไหนได้เป็นไอ้จีหนูยังนึกขำตัวเองอยู่เลย พอพูดจบพี่เอฟไม่ขำกับเราแต่เงียบไปซักพักแล้วบอกกับเราว่า ออมไม่สงสัยบ้างเหรอว่าไอ้จีมันจะไปนั่งมืดๆที่ศาลาคนเดียวทำไม ทั้งที่มันเข้ามานั่งรอข้างในกับพี่ก็ได้ และต่อให้จะไม่ใช่ไอ้จีก็ไม่มีใครบ้ากล้าเข้าไปนั่งที่มืดๆแบบนั้นคนเดียวหรอก เรานี่หน้าเสียเลยสรุปเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ พี่เอฟเลยบอกว่าจริงๆแล้วทั้งพี่ซี พี่เอฟ และไอ้จี ก็ไม่รู้หรอกว่าที่เราเห็นเป็นใคร แต่ที่ตอบไปอย่างนั้นเพราะพี่ซีกับไอ้จีไม่อยากให้เรากลัว และเรื่องที่ทำให้เราช็อคยิ่งกว่านั้นก็คือ ห้องสกรณ์จะเป็นห้องกระจกมืดที่ข้างในมองเห็นข้างนอกแต่ข้างนอกมองเข้ามาไม่เห็นข้างใน วันนั้นทั้งพี่ซีและพี่เอฟมองออกไปไม่เห็นใครนั่งในศาลาเลยตลอดเวลาที่นั่งทำงานจนถึงสองทุ่มกว่าที่เปิดประตูออกมาเจอกัน จนปัจจุบันนี้เราก็ยังไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้พี่ครูอนุบาลฟังเลย และก็ไม่มีใครรู้ว่าผู้หญิงที่มีแสงสว่างในตัวเองคนนั้นเป็นใคร
เดี๋ยวมาต่อนะคะมีธุระเรื่องสุดท้ายจะพิมพ์ตอนเดียวจบเลยค่ะ
เรื่องเล่าของโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ของวัด(ประสบการณ์จริง)
1. เหตุการณ์แรกเริ่มจากตอนกลางวัน คือจะมีบางวันที่เราจะได้กลิ่นเหม็นเป็นกลิ่นศพลอยมาบ่อยๆ พี่ที่เป็นครูด้วยกันเค้าก็บอกว่ามีคนตายแหละแล้วเค้าเอาศพมาไว้กลิ่นมันเลยโชยมาเป็นเรื่องปกติ หลังๆเราก็เริ่มชินพอได้กลิ่นก็รู้เลยว่าวันนี้มีคนตาย ก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก
2. พอเราอยู่ไปนานๆงานเราเริ่มเยอะขึ้นก็จะอยู่ทำงานกับเพื่อนครูที่ตึกเรียนจนดึกประมาณสองสามทุ่ม ช่วงนั้นพี่ๆก็เตือนว่าเวลากลับดึกๆตอนเดินออกมาจากตึกอย่าเงยหน้าขึ้นไปมองข้างบนตึกเด็ดขาดไม่ว่าตึกไหนก็ตามเพราะมีครูคนอื่นเคยมองขึ้นไปตอนกลางคืนแล้วเห็นเป็นผู้หญิงใส่ชุดไทยยืนอยู่บนตึกแล้วเห็นกันบ่อย เราได้ฟังก็เลยไม่กล้ามองขึ้นไปเลย พอออกมาจากตึกก็จะรีบเดินออกจากโรงเรียนทันที
3.เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ห้องนาฏศิลป์ จะอยู่ชั้นบนสุดของตึกที่หันหน้าออกมาทางถนนเลย ห้องนี้ครูนาฏศิลป์ของโรงเรียนชื่อน้องเอเล่าให้ฟังว่าตอนมาอยู่แรกๆจะชอบนั่งทำงานหลังเลิกเรียนจนเย็นแล้วก็จะมีนักเรียนนางรำอยู่เป็นเพื่อน แต่มีอยู่วันนึงที่น้องเอนั่งทำงานคนเดียวจนเย็น อยู่ๆก็ได้ยินเสียงเหมือนคนวิ่งในห้องทั้งที่ไม่มีใครอยู่เลย บางทีก็เหมือนเสียงเด็กหัวเราะแว่วมา เสียงของในห้องตกบ้าง น้องเอกลัวมากก็จะรีบเก็บของกลับบ้านทันที แล้วก็เป็นแบบนี้อยู่บ่อยๆจนหลังๆน้องเอไม่อยู่ทำงานเย็นเลยแต่จะขนกลับไปทำที่บ้านแทน มีอยู่ครั้งนึงเรานั่งรถผ่านหน้าโรงเรียนจะกลับหอประมาณ4ทุ่มได้เห็นไฟในห้องนาฏศิลป์เปิดสว่างอยู่ห้องเดียวก็คิดว่าสงสัยน้องเอลืมปิดไฟเลยโทรบอกพี่บีซึ่งเป็นพี่ครูผู้ชายที่อยู่บ้านพักครูหลังโรงเรียนแกเลยขึ้นไปปิดให้ พอเช้ามาเราเจอน้องเอกับพี่บีเลยคุยกันเรื่องที่น้องเอลืมปิดไฟ แต่น้องเอยืนยันว่าไม่เคยลืมปิดเลยเพราะเช็คตลอด พี่บีก็เลยเล่าว่าเราไม่ใช่คนแรกที่เห็นไฟเปิดแล้วโทรหาแก แต่มีครูหลายคนที่เห็นเหมือนกัน ตอนแรกแกออกจะงงๆเพราะช่วงเย็นๆหกโมงกว่าแกจะเดินตรวจดูตลอดว่ามีห้องไหนลืมปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าบ้าง ก็ไม่เคยเห็นว่าห้องนาฏศิลป์ไฟจะเปิดซักครั้ง แต่พอแกเข้าบ้านนอนเท่านั้นแหละครูที่ผ่านหน้าโรงเรียนจะโทรมาบอกตลอดว่าไฟห้องนาฏศิลป์ไม่ได้ปิด(อาจจะไม่ทุกวันแต่ก็บ่อย) พอนานๆไปแกก็เริ่มชินเพราะแกเป็นคนไม่กลัวผีอยู่แล้ว แต่เรากับน้องเอนี่สิขนลุกไปตามๆกัน
4. เรื่องนี้เราเจอกับตัวเองค่ะ มีวันนึงเราอยู่ช่วยพี่ที่เป็นครูอนุบาล2คน(รวมเราด้วยก็เป็น3คน) ทำความสะอาดห้องของเล่นเด็กหลังเลิกเรียน(เป็นพี่ที่มาบรรจุเป็นครูพร้อมกันเลยสนิทกัน)จนประมาณสองทุ่มกว่าเราก็เดินออกมาจากตึกจะกลับหอกันซึ่งก่อนที่เราจะเลี้ยวซ้ายออกประตูโรงเรียนเรามองตรงไปที่ศาลาข้างห้องสหกรณ์เห็นเหมือนผู้หญิงหน้าขาวๆผิวขาวนั่งหันข้างให้ ลักษณะที่เราเห็นคือบริเวณศาลามันมืดมากไม่มีไฟ แต่ผู้หญิงคนนั้นเค้าเหมือนมีแสงสว่างในตัวเองอะเราก็เลยเห็นเป็นแบบคนที่ขาวทั้งตัวเลยซักพักผู้หญิงคนนั้นก็หันหน้ามาทางเรา ตอนนั้นเราคิดว่าเป็นคนนี่แหละเลยถามพี่ครูอนุบาลว่าใครอะพี่ พี่เค้าก็เห็นก็คุยกันว่าใครไปนั่งอยู่ตรงนั้นคนเดียว ซักพักมีรุ่นพี่ครู2คนชื่อพี่ซีกับพี่เอฟเปิดประตูออกมาจากห้องสหกรณ์ เราก็ทักทายกันประมาณว่าอยู่ทำอะไรทำไมเพิ่งกลับก็คุยกัน พอเรามองไปที่ศาลาอีกทีก็ไม่เห็นแล้ว เช้ามาเราเจอพี่ซีกับไอ้จี(จีคือเพื่อนครูสอนวิทย์ที่โรงเรียน)เลยถามพี่ซีว่าหนูเห็นมีคนนั่งอยู่ศาลาก่อนที่พี่จะเดินออกมา พี่แกเลยบอกอ๋อไอ้จีมันมานั่งรอพี่กลับบ้านพร้อมกัน ไอ้จีมันก็บอกใช่ๆเราเองนั่งอยู่ศาลาเมื่อคืน เราก็ไปเล่าให้พี่ครูอนุบาลฟังก็ไม่คิดอะไรเพราะไอ้จีก็ยืนยันว่าเป็นมัน จนเวลาผ่านไปเราได้ไปนั่งทำงานกับพี่เอฟ เลยคุยกันถึงเรื่องวันนั้นแบบขำๆว่าตอนแรกหนูนึกว่าผีตกใจหมดที่ไหนได้เป็นไอ้จีหนูยังนึกขำตัวเองอยู่เลย พอพูดจบพี่เอฟไม่ขำกับเราแต่เงียบไปซักพักแล้วบอกกับเราว่า ออมไม่สงสัยบ้างเหรอว่าไอ้จีมันจะไปนั่งมืดๆที่ศาลาคนเดียวทำไม ทั้งที่มันเข้ามานั่งรอข้างในกับพี่ก็ได้ และต่อให้จะไม่ใช่ไอ้จีก็ไม่มีใครบ้ากล้าเข้าไปนั่งที่มืดๆแบบนั้นคนเดียวหรอก เรานี่หน้าเสียเลยสรุปเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ พี่เอฟเลยบอกว่าจริงๆแล้วทั้งพี่ซี พี่เอฟ และไอ้จี ก็ไม่รู้หรอกว่าที่เราเห็นเป็นใคร แต่ที่ตอบไปอย่างนั้นเพราะพี่ซีกับไอ้จีไม่อยากให้เรากลัว และเรื่องที่ทำให้เราช็อคยิ่งกว่านั้นก็คือ ห้องสกรณ์จะเป็นห้องกระจกมืดที่ข้างในมองเห็นข้างนอกแต่ข้างนอกมองเข้ามาไม่เห็นข้างใน วันนั้นทั้งพี่ซีและพี่เอฟมองออกไปไม่เห็นใครนั่งในศาลาเลยตลอดเวลาที่นั่งทำงานจนถึงสองทุ่มกว่าที่เปิดประตูออกมาเจอกัน จนปัจจุบันนี้เราก็ยังไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้พี่ครูอนุบาลฟังเลย และก็ไม่มีใครรู้ว่าผู้หญิงที่มีแสงสว่างในตัวเองคนนั้นเป็นใคร
เดี๋ยวมาต่อนะคะมีธุระเรื่องสุดท้ายจะพิมพ์ตอนเดียวจบเลยค่ะ