ประมาณต้นปีก่อน เราเกิดภาวะดิ่งทางอารมณ์สูงมาก และมีความคิดอยากฆ่าตัวตายทุกวัน แรกๆ ก็ไม่กล้าไปหาหมอ เพราะมีอคติต่อการรักษาที่พยายามยัดเยียดให้กินยาของหมอ (ซึ่งส่วนตัวเป็นคนเกลียดการกินยาเคมีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว)
.
แต่มันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ไม่ไหวจริงๆ เลยตัดสินใจไป เพราะอยากรู้ว่าเค้าจะมีกระบวนการวินิจฉัยโรคเรายังไงบ้าง พอไปถึงเราก็ร้องไห้ใส่พยาบาล เพราะคิดว่าเป็นจิตแพทย์ 555555 (แต่เค้าก็ตั้งใจฟังมากๆ) เลยนะ พอฟังจบพี่พยาบาลบอกว่า "เดี๋ยวจะส่งไปหานักสังคมฯ กับจิตแพทย์ตามลำดับนะคะ" คือจังหวะซิทคอมมาก แต่ก็ร้องไปแล้วอะ
.
ด่านต่อมาคือ นักสังคมฯ เราก็เล่าปัญหาให้ฟังเหมือนเดิม แต่ด้วยคำถาม+ท่าทีของนักสังคมฯ คือ ดูออกว่าเค้ากำลังตัดสินเราอยู่ เหมือนแค่ทำหน้าที่ให้จบๆ ไป (แตกต่างจากพี่พยาบาลคนแรก) เราก็เลยเบรกตัวเอง ไม่เล่าต่อ เพื่อให้เค้าจบงานตัวเองได้เร็วขึ้น
.
ด่านสุดท้าย คือ จิตแพทย์ คือแทบไม่ซักประวัติอะไรเราเลย ไม่ค่อยถามอาการอะไรและสร้างข้อสรุปภายในไม่ถึง 5 นาทีว่าเรา "เป็นโรคซึมเศร้า" พร้อมกับสั่งยาให้กิน แต่เผอิญว่าเราไม่มีสิทธิ์รักษาที่โรงพยาบาลนั้น เลยทำเรื่องขอส่งตัวมาโรงพยาบาลที่เรามีสิทธิ์รักษาแทน
.
ระหว่างที่นั่งรอใบส่งตัวบริเวณพื้นที่ส่วนกลางของ รพ. เราก็มองไปรอบๆ แล้วก็ต้องปะทะเข้ากับสายตาของคนที่ใครๆ เรียกว่า "บ้า" บางคนถูกขึงกับเตียงและกรีดร้องอย่างทุรนทุราย ซึ่งคือ The worst case ที่เราเห็นในวันนั้น
.
บรรยากาศ รพ. เหมือนมีเมฆสีดำปกคลุมอยู่เหนือหัวตลอดเวลา แล้วความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาว่า "สถานที่แบบนี้น่ะเหรอ ที่คนที่มีความเจ็บป่วยทางจิตใจมาเพื่อขอความช่วยเหลือ?"
.
หลังรับจดหมายแล้วก้าวเท้าออกมาจาก รพ. ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นคือ "ประหลาด" ใช่ค่ะ! เรารู้สึกเหมือนเราเป็นตัวประหลาด ความรู้สึกที่ตามมาคือ "กลัว" และ “ละอายใจ” เรากลัวว่าเราจะไปเจอบุคลากรของทาง รพ. (ที่เราเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง) ตามสถานที่ต่างๆ ข้างนอก และจะรู้สึกอับอาย สรุปคือ การไปพบจิตแพทย์วันนั้นทำให้เราออกมาพร้อมกับความรู้สึกที่ถูกแปะป้ายว่าเป็นคนบ้าและรู้สึกละอายใจที่ได้ระบายเรื่องส่วนตัวออกไปมากกว่าจะรู้สึกดี
.
เราได้รับยาบางส่วนมาจาก รพ. นั้น แต่ทานได้แค่สองวันเราก็เลิกทาน เพราะร่างกายทนผลจากการออกฤทธิ์ของยาไม่ไหว เลยเลือกใช้วิธีการรักษาแบบธรรมชาติแทน คือ นั่งสมาธิ ฟังธรรม ฟังเพลง ออกกำลังกาย (ซึ่งเรื่องพวกนี้เราทำมาก่อนจะถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าด้วยซ้ำ) และมันก็ได้ผลสำหรับเรา ต่างจากที่คนรอบข้างซึ่งป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหลายๆ คนเคยบอกเราไว้ว่า “ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจริงๆ ทำสมาธิ สวดมนตร์ไม่ได้หรอก” เลยทำให้เราเริ่มกลับมาคิดว่า "เราเป็นโรคซึมเศร้าจริงๆ เหรอ หรือเราแค่มีความเจ็บป่วยทางจิตใจที่ไม่สามารถจัดการได้ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้น"
.
ทุกวันนี้เราก็ยังคงมีความคิดอยากจากโลกนี้ไปเสมอแต่เบื่อที่จะฆ่าตัวตายแล้ว และคิดว่าถ้าเราอยากตายจริงๆ เราคงใช้วิธีที่ทำให้ตัวเองตายสนิทไปแล้ว ถึงเข้าใจว่าเราไมได้กลัวตาย แต่กลัวความเจ็บปวดที่สุดแสนทรมานก่อนตายต่างหาก ทุกวันนี้แค่มีดทำครัวบาดนิ้วนิดนึงก็ร้องเหมือนควายถูกเชือดแล้วอะ 55555 เลยลองปล่อยให้ตัวเองจมกับความรู้สึกซึมเศร้าแบบสุดๆ ดู เพราะอยากรู้เหมือนกันว่าจุดดิ่งของความเศร้ามันจะไปสิ้นสุดตรงไหน
.
พอถึงจุดที่เรารู้สึกแย่กับตัวเองจนคิดว่าคงไม่แย่ไปกว่านี้แล้ว เหมือนอารมณ์ถูก RESET ใหม่หมด (แต่ไม่ได้หมายความว่าเราลืมเรื่องที่ทำให้เราเศร้าราวกับคนเป็นอัลไซเมอร์นะคะ 5555) คือเรื่องเศร้าๆ มันก็ยังอยู่แหละ แต่เราเบื่อจะอยู่กับมัน เลยหาทำอย่างอื่นแทน
.
ทุกวันนี้ก็เป็นหมอให้ตัวเอง จัดการความทุกข์ได้บ้างไม่ได้บ้าง ไม่เคยบอกครอบครัวว่าเรามีความเจ็บป่วยทางจิตใจ เพราะเค้าไม่เชื่อเรื่องโรคซึมเศร้าอยู่แล้ว + เรามีความรู้สึกฝังใจจากการดูแลผู้ป่วยซึมเศร้า(แบบมโน)นิสัยเสียที่เอาโรคซึมเศร้ามาเป็นข้ออ้างทำไม่ดีกับคนรอบข้าง เราเลยไม่อยากใช้โรคซึมเศร้าเป็นโล่ให้กับตัวเอง (แต่ไม่ได้แปลว่าเราไม่ยอมรับความอ่อนแอของตัวเองนะ) ที่ทำได้ก็คือเลือกคุยกับคนที่เข้าใจจริงๆ
.
ทุกวันนี้หนังสือส่งตัวก็ยังคงนอนกองฝุ่นในตู้ลิ้นชักที่หอพัก เราไม่เคยไป รพ. อีกเลยหลังจากนั้น ส่วนหนึ่งเราได้นั่งคุยกับตัวเองตอนที่สมองรกน้อยลงหลังนั่งสมาธิและลงเอยด้วยการยอมรับว่า "เรามีความเจ็บป่วยทางจิตใจ แต่เราไม่ได้เป็นโรค"
.
เพราะพอบอกว่าเราเป็นโรคปุ๊บ เรารู้สึกว่าเรากำลังเข้าไปติดกับความคิดที่ว่า เราเศร้าเพราะสารเคมีในสมองมันหลั่ง เพราะฉะนั้นเราทำอะไรไม่ได้หรอก ส่งผลให้เราปฏิเสธวิธีการรักษาอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย สุดท้ายร่างกายก็จะจดจำว่า “ฉันต้องได้รับยาเท่านั้นฉันถึงจะหาย ฉันจัดการอารมณ์ด้วยตนเองไม่ได้หรอก” ซึ่งพอสมองมันบอกเราแบบนั้นก็เท่ากับว่าเราเชื้อเชิญให้ความทุกข์เข้ามาเฆี่ยนตีตัวเองเกินความเป็นจริง
.
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกคนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหรือพยายามจะบอกว่าโรคซึมเศร้ามันไม่มีอยู่จริงนะคะ เพราะเราก็ประสบด้วยตัวเองมาแล้ว (เราไม่ทราบว่าความรุนแรงมันต้องระดับไหนถึงจะเรียกว่าโรคซึมเศร้า สำหรับเราเคยลองฆ่าตัวตายมาแล้วค่ะ) แค่อยากแชร์ประสบการณ์จากมุมมองของคนที่ไม่ได้ใช้ยาในการรักษา แต่ก็ไม่แนะนำให้มานั่งสมาธิ ฟังธรรม ฟังเพลงแบบเรานะคะ ต่างคนต่างความเชื่อ ต่างจริต เลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด ส่วนตัวแค่มองว่าการรักษาโดยใช้ยาเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ประกอบกับบุคลากรทางด้านนี้ตามโรงพยาบาลรัฐเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับผู้ป่วยมากขนาดนั้น (ซึ่งหากอยากได้การรักษาที่ดีกว่านี้ ก็คงต้องเพิ่มกำลังจ่ายให้มากขึ้น เห้อ
)
.
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงตรงนี้นะคะ และเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยซึมเศร้าทุกคนผ่านพ้นวิกฤติไปได้ด้วยดีค่ะ
ประสบการณ์พบจิตแพทย์ที่ไม่มีวันลืมและโรคซึมเศร้าเท่าที่เราเข้าใจ
.
แต่มันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ไม่ไหวจริงๆ เลยตัดสินใจไป เพราะอยากรู้ว่าเค้าจะมีกระบวนการวินิจฉัยโรคเรายังไงบ้าง พอไปถึงเราก็ร้องไห้ใส่พยาบาล เพราะคิดว่าเป็นจิตแพทย์ 555555 (แต่เค้าก็ตั้งใจฟังมากๆ) เลยนะ พอฟังจบพี่พยาบาลบอกว่า "เดี๋ยวจะส่งไปหานักสังคมฯ กับจิตแพทย์ตามลำดับนะคะ" คือจังหวะซิทคอมมาก แต่ก็ร้องไปแล้วอะ
.
ด่านต่อมาคือ นักสังคมฯ เราก็เล่าปัญหาให้ฟังเหมือนเดิม แต่ด้วยคำถาม+ท่าทีของนักสังคมฯ คือ ดูออกว่าเค้ากำลังตัดสินเราอยู่ เหมือนแค่ทำหน้าที่ให้จบๆ ไป (แตกต่างจากพี่พยาบาลคนแรก) เราก็เลยเบรกตัวเอง ไม่เล่าต่อ เพื่อให้เค้าจบงานตัวเองได้เร็วขึ้น
.
ด่านสุดท้าย คือ จิตแพทย์ คือแทบไม่ซักประวัติอะไรเราเลย ไม่ค่อยถามอาการอะไรและสร้างข้อสรุปภายในไม่ถึง 5 นาทีว่าเรา "เป็นโรคซึมเศร้า" พร้อมกับสั่งยาให้กิน แต่เผอิญว่าเราไม่มีสิทธิ์รักษาที่โรงพยาบาลนั้น เลยทำเรื่องขอส่งตัวมาโรงพยาบาลที่เรามีสิทธิ์รักษาแทน
.
ระหว่างที่นั่งรอใบส่งตัวบริเวณพื้นที่ส่วนกลางของ รพ. เราก็มองไปรอบๆ แล้วก็ต้องปะทะเข้ากับสายตาของคนที่ใครๆ เรียกว่า "บ้า" บางคนถูกขึงกับเตียงและกรีดร้องอย่างทุรนทุราย ซึ่งคือ The worst case ที่เราเห็นในวันนั้น
.
บรรยากาศ รพ. เหมือนมีเมฆสีดำปกคลุมอยู่เหนือหัวตลอดเวลา แล้วความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาว่า "สถานที่แบบนี้น่ะเหรอ ที่คนที่มีความเจ็บป่วยทางจิตใจมาเพื่อขอความช่วยเหลือ?"
.
หลังรับจดหมายแล้วก้าวเท้าออกมาจาก รพ. ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นคือ "ประหลาด" ใช่ค่ะ! เรารู้สึกเหมือนเราเป็นตัวประหลาด ความรู้สึกที่ตามมาคือ "กลัว" และ “ละอายใจ” เรากลัวว่าเราจะไปเจอบุคลากรของทาง รพ. (ที่เราเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง) ตามสถานที่ต่างๆ ข้างนอก และจะรู้สึกอับอาย สรุปคือ การไปพบจิตแพทย์วันนั้นทำให้เราออกมาพร้อมกับความรู้สึกที่ถูกแปะป้ายว่าเป็นคนบ้าและรู้สึกละอายใจที่ได้ระบายเรื่องส่วนตัวออกไปมากกว่าจะรู้สึกดี
.
เราได้รับยาบางส่วนมาจาก รพ. นั้น แต่ทานได้แค่สองวันเราก็เลิกทาน เพราะร่างกายทนผลจากการออกฤทธิ์ของยาไม่ไหว เลยเลือกใช้วิธีการรักษาแบบธรรมชาติแทน คือ นั่งสมาธิ ฟังธรรม ฟังเพลง ออกกำลังกาย (ซึ่งเรื่องพวกนี้เราทำมาก่อนจะถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าด้วยซ้ำ) และมันก็ได้ผลสำหรับเรา ต่างจากที่คนรอบข้างซึ่งป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหลายๆ คนเคยบอกเราไว้ว่า “ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจริงๆ ทำสมาธิ สวดมนตร์ไม่ได้หรอก” เลยทำให้เราเริ่มกลับมาคิดว่า "เราเป็นโรคซึมเศร้าจริงๆ เหรอ หรือเราแค่มีความเจ็บป่วยทางจิตใจที่ไม่สามารถจัดการได้ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้น"
.
ทุกวันนี้เราก็ยังคงมีความคิดอยากจากโลกนี้ไปเสมอแต่เบื่อที่จะฆ่าตัวตายแล้ว และคิดว่าถ้าเราอยากตายจริงๆ เราคงใช้วิธีที่ทำให้ตัวเองตายสนิทไปแล้ว ถึงเข้าใจว่าเราไมได้กลัวตาย แต่กลัวความเจ็บปวดที่สุดแสนทรมานก่อนตายต่างหาก ทุกวันนี้แค่มีดทำครัวบาดนิ้วนิดนึงก็ร้องเหมือนควายถูกเชือดแล้วอะ 55555 เลยลองปล่อยให้ตัวเองจมกับความรู้สึกซึมเศร้าแบบสุดๆ ดู เพราะอยากรู้เหมือนกันว่าจุดดิ่งของความเศร้ามันจะไปสิ้นสุดตรงไหน
.
พอถึงจุดที่เรารู้สึกแย่กับตัวเองจนคิดว่าคงไม่แย่ไปกว่านี้แล้ว เหมือนอารมณ์ถูก RESET ใหม่หมด (แต่ไม่ได้หมายความว่าเราลืมเรื่องที่ทำให้เราเศร้าราวกับคนเป็นอัลไซเมอร์นะคะ 5555) คือเรื่องเศร้าๆ มันก็ยังอยู่แหละ แต่เราเบื่อจะอยู่กับมัน เลยหาทำอย่างอื่นแทน
.
ทุกวันนี้ก็เป็นหมอให้ตัวเอง จัดการความทุกข์ได้บ้างไม่ได้บ้าง ไม่เคยบอกครอบครัวว่าเรามีความเจ็บป่วยทางจิตใจ เพราะเค้าไม่เชื่อเรื่องโรคซึมเศร้าอยู่แล้ว + เรามีความรู้สึกฝังใจจากการดูแลผู้ป่วยซึมเศร้า(แบบมโน)นิสัยเสียที่เอาโรคซึมเศร้ามาเป็นข้ออ้างทำไม่ดีกับคนรอบข้าง เราเลยไม่อยากใช้โรคซึมเศร้าเป็นโล่ให้กับตัวเอง (แต่ไม่ได้แปลว่าเราไม่ยอมรับความอ่อนแอของตัวเองนะ) ที่ทำได้ก็คือเลือกคุยกับคนที่เข้าใจจริงๆ
.
ทุกวันนี้หนังสือส่งตัวก็ยังคงนอนกองฝุ่นในตู้ลิ้นชักที่หอพัก เราไม่เคยไป รพ. อีกเลยหลังจากนั้น ส่วนหนึ่งเราได้นั่งคุยกับตัวเองตอนที่สมองรกน้อยลงหลังนั่งสมาธิและลงเอยด้วยการยอมรับว่า "เรามีความเจ็บป่วยทางจิตใจ แต่เราไม่ได้เป็นโรค"
.
เพราะพอบอกว่าเราเป็นโรคปุ๊บ เรารู้สึกว่าเรากำลังเข้าไปติดกับความคิดที่ว่า เราเศร้าเพราะสารเคมีในสมองมันหลั่ง เพราะฉะนั้นเราทำอะไรไม่ได้หรอก ส่งผลให้เราปฏิเสธวิธีการรักษาอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย สุดท้ายร่างกายก็จะจดจำว่า “ฉันต้องได้รับยาเท่านั้นฉันถึงจะหาย ฉันจัดการอารมณ์ด้วยตนเองไม่ได้หรอก” ซึ่งพอสมองมันบอกเราแบบนั้นก็เท่ากับว่าเราเชื้อเชิญให้ความทุกข์เข้ามาเฆี่ยนตีตัวเองเกินความเป็นจริง
.
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกคนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหรือพยายามจะบอกว่าโรคซึมเศร้ามันไม่มีอยู่จริงนะคะ เพราะเราก็ประสบด้วยตัวเองมาแล้ว (เราไม่ทราบว่าความรุนแรงมันต้องระดับไหนถึงจะเรียกว่าโรคซึมเศร้า สำหรับเราเคยลองฆ่าตัวตายมาแล้วค่ะ) แค่อยากแชร์ประสบการณ์จากมุมมองของคนที่ไม่ได้ใช้ยาในการรักษา แต่ก็ไม่แนะนำให้มานั่งสมาธิ ฟังธรรม ฟังเพลงแบบเรานะคะ ต่างคนต่างความเชื่อ ต่างจริต เลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด ส่วนตัวแค่มองว่าการรักษาโดยใช้ยาเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ประกอบกับบุคลากรทางด้านนี้ตามโรงพยาบาลรัฐเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับผู้ป่วยมากขนาดนั้น (ซึ่งหากอยากได้การรักษาที่ดีกว่านี้ ก็คงต้องเพิ่มกำลังจ่ายให้มากขึ้น เห้อ )
.
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงตรงนี้นะคะ และเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยซึมเศร้าทุกคนผ่านพ้นวิกฤติไปได้ด้วยดีค่ะ