คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 12
ถอดบทเรียนสิงคโปร์ ทำไมตอนแรกเหมือนคุม COVID-19 ได้อยู่หมัด แต่กลับเริ่มระบาดหนักขึ้น
หลังจากในช่วงต้นๆ ได้รับคำยกย่องว่าเป็นหนึ่งในประเทศแบบอย่างซึ่งสามารถรับมือได้ดีกับการแพร่กระจายของไวรัส COVID-19 แต่มาถึงเวลานี้สิงคโปร์ส่งสัญญาณแสดงว่ากำลังต่อสู้ดิ้นรนเพื่อสยบการพุ่งพรวดระลอกใหม่ของไวรัสนี้ผู้ป่วยสูงขึ้นเรื่อยๆ
สิงคโปร์เคยอยู่ในระดับมาสเตอร์เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นโมเดลที่ชาติอื่นๆ พึงกระทำตามมาก่อน ในเรื่องวิธีจัดการรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19
ก่อนที่เชื้อโรคร้ายแรงนี้จะได้รับการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ สิงคโปร์ก็สั่งเข้มงวดกวดขันจำกัดการเดินทางเข้าออกประเทศ รวมทั้งมีการปฏิบัติการอย่างได้ผลทรงประสิทธิภาพในการติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ ซึ่งสามารถยับยั้งการระบาดของไวรัสไม่ให้ปะทุรุนแรงได้
ทว่าในระยะไม่กี่วันหลังๆ มานี้ จำนวนของเคสที่ยืนยันว่าติดเชื้อกลับขึ้นทะยานลิ่ว วันที่ 9 เม.ย. กลายเป็นวันซึ่งพบผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงที่สุดนั่นคือ 287 ราย มากกว่าวันที่ 8 เม.ย. ซึ่งเจอ 142 เคส แล้วก็สูงกว่าวันที่ 10 เม.ย. ที่มี 198 ราย
ส่วนใหญ่ที่สุด ผู้ติดเชื้อรายใหม่เหล่านี้มาจากย่านที่พักอาศัยอันแออัดยัดเยียดของพวกคนงานอพยพ
หลังจากพยายามหลีกเลี่ยงมาได้เป็นเวลานับเดือน ถึงตอนนี้สิงคโปร์กำลังต้องบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์เป็นบางส่วน โดยที่โรงเรียนสถานศึกษาและพวกธุรกิจซึ่งไม่มีความจำเป็น จะต้องปิดทำการ และประชาชนได้รับการขอร้องให้อยู่กับบ้าน
สิงคโปร์ทำอะไรบ้างในช่วงแรกซึ่งทำให้ได้รับยกย่องว่าเป็นตัวอย่าง?
สิงคโปร์เจอผู้ป่วยจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นรายแรกของประเทศตั้งแต่ตอนต้นๆ ของการระบาดแล้ว เคสนี้เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งมาจากเมืองอู่ฮั่นในวันที่ 23 มกราคม วันเดียวกับที่เมืองศูนย์กลางการระบาดของไวรัสในจีนแห่งนั้นถูกประกาศล็อกดาวน์ เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงช่วงที่โรคอันเกิดจากไวรัสนี้ถูกตั้งชื่ออย่างเป็นทางการ นั่นคือ “COVID-19” มันก็มีการแพร่กระจายไปในหมู่ประชากรของประเทศร่ำรวยเล็กๆ เสมือนเป็นนครรัฐแห่งนี้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่การตอบโต้รับมือซึ่งผ่านการฝึกซ้อมมาอย่างดีก็พรักพร้อมใช้งานได้เช่นเดียวกัน
นอกเหนือจากการตรวจเช็กสุขภาพที่สนามบินแล้ว สิงคโปร์ยังดำเนินการตรวจเทสต์อย่างกว้างขวางโดยมุ่งให้ครอบคลุมผู้ต้องสงสัยทุกๆ ราย, ติดตามสืบหาใครก็ตามที่มีการสัมผัสติดต่อกับเคสที่ยืนยันแล้วว่าติดเชื้อ, และจำกัดให้พวกที่สัมผัสติดต่อเหล่านี้อยู่แต่ในบ้านของพวกตนจนกว่าจะได้รับการเคลียร์ว่าปลอดเชื้อ
หลายสัปดาห์ต่อจากนั้น สิงคโปร์ทุ่มเทความพยายามในการคงจำนวนเคสในประเทศให้อยู่ในระดับต่ำและสามารถติดตามสอบสวนโรคได้ โดยมีผู้ติดเชื้อแบบเป็นกลุ่มก้อน (cluster) เพียงแค่กลุ่มเล็กๆ ซึ่งง่ายต่อการควบคุมปิดกั้น แต่ไม่ได้มีการใช้มาตรการจำกัดควบคุมอย่างแท้จริงต่อการใช้ชีวิตประจำวันตามปกติของประชาชน
ศาสตราจารย์ เดล ฟิชเชอร์ (Dale Fisher)กรรมการคนหนึ่งของเครือข่ายเตือนภัยและตอบโต้ระดับทั่วโลก (WHO’s Global Outbreak Alert and Response Network) ขององค์การอนามัยโลก และเป็นศาสตราจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ บอกว่า ในตอนนั้น เมื่อใดก็ตามที่เขาได้ยินคนพูดกันว่าสิงคโปร์กำลังทำได้ดี เขาก็ต่อให้ว่า “เท่าที่เป็นอยู่จนถึงตอนนี้นะ”
“นี่เป็นเชื่อโรคที่ยากลำบากแก่การจำกัดควบคุมจริงๆ” เขาบอก
แล้วเมื่อไหร่ที่อะไรต่อมิอะไรเริ่มต้นเลวร้ายลง?
ระบบที่วางไว้ทำงานไปได้จนกระทั่งถึงกลางเดือนมีนาคม ศาสตราจารย์ยิกยิง เตียว (Yik-Ying Teo) คณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ ซอว์ สวี ฮก (Saw Swee Hock School of Public Health) มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ บอก
นั่นเป็นช่วงเวลาซึ่งเมื่อสถานการณ์มีความชัดเจนมากขึ้นตลอดทั่วโลกแล้ว ประเทศต่างๆ ก็เริ่มต้นเรียกร้องให้พลเมืองของพวกตนเดินทางกลับบ้าน
ผู้คนจำนวนหลายพันเดินทางกลับสิงคโปร์จากพวกประเทศซึ่งไม่ได้มีมาตรการป้องกันแข็งขันอะไร ปรากฏว่าในหมู่ผู้คนเหล่านี้ มีกว่า 500 คนซึ่งนำเอาเชื้อไวรัสกลับมาพร้อมพวกเขาด้วย
ตอนนั้นเองที่มีการประกาศใช้มาตรการบังคับให้พวกซึ่งเดินทางกลับมาต้องอยู่บ้านเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ทว่าคนอื่นๆ ในครอบครัวของพวกเขาได้รับแจ้งว่าสามารถที่จะดำเนินชีวิตของพวกเขาได้ต่อไป ตราบเท่าที่ยังไม่มีใครแสดงอาการป่วยไข้ใดๆ
ช่วงนี้เองเคสผู้ติดเชื้อใหม่ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น เมื่อถึงกลางเดือนมีนาคมก็กลายเป็นวันละหลายสิบราย ส่วนใหญ่เกินกว่าครึ่งเป็นผู้ป่วยที่มาจากต่างประเทศหรือเชื่อมโยงพัวพันกับเคสที่มาจากต่างประเทศ ทว่าตอนนั้นเป็นครั้งแรกซึ่งไม่สามารถติดตามสอบสวนเคสภายในประเทศทุกๆ เคสได้อย่างสะดวกง่ายดายอีกแล้ว
ศาสตราจารย์เตียวกล่าวว่า เป็นเรื่องง่ายที่จะพูดในตอนนี้ซึ่งเวลาได้ล่วงเลยไปแล้ว ว่าเป็นความผิดพลาดที่ไม่จำกัดการติดต่อพบปะผู้คนกระทั่งคนในครอบครัวของผู้ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ แต่ในความเป็นจริงก็คือ “มาถึงเวลานี้ เรามีความรู้เพิ่มขึ้นเยอะเกี่ยวกับโรคนี้เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาย้อนกลับไปในเดือนมีนาคม”
“ตอนนี้เรารู้แล้วว่า การแพร่โรคจากผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการนั้นเป็นเรื่องซึ่งเป็นไปได้อย่างแน่นอน และอาจจะเป็นตัวขับดันตัวหลักของการติดต่อของ COVID-19 ทีเดียว” ศาสตราจารย์เตียว บอก
ศาสตราจารย์เตียว กล่าวด้วยว่า การออกมาตรการต่างๆ มาใช้นั้น หลายๆ อย่างเป็นการวิวัฒนาการขึ้นจากความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่ว่าผู้ติดเชื้อกำลังแพร่มาจากที่ไหน แต่บทเรียนของสิงคโปร์ก็คือ เราควรใช้ท่าทีระมัดระวังให้มาก อย่าได้พึ่งพาอาศัยข้อมูลข่าวสารที่เรามีอยู่ในเวลานี้ให้มากจนเกินไป ตัวอย่างเช่น การเชื่อว่าผู้ที่หายจากโรคนี้จะมีภูมิคุ้มกันซึ่งสามารถป้องกันการติดโรคในอนาคต ในขณะที่เรื่องเช่นนี้ยังห่างไกลจากความแน่นอนชัดเจน
การแพร่ระบาดที่พุ่งพรวด มีสาเหตุจากอะไร?
ปัญหาเรื่องผู้ติดเชื้อที่อิมพอร์ตมาจากต่างแดน เวลานี้สิงคโปร์กำลังดูแลแก้ไข ด้วยการกำหนดให้ผู้มาถึงใหม่ทุกๆ คนต้องถูกส่งตรงไปยังสถานกักกันโรคของรัฐบาล และเนื่องจากเวลานี้มีคนเดินทางมาเพียงแค่จำนวนน้อยอยู่แล้ว ดังนั้นตัวเลขของเคสอิมพอร์ต จึงลดลงเหลือตัวเลขหลักเดียวในระยะไม่กี่วันหลังๆ มานี้
ในคืนวันที่ 7 เม.ย. สิงคโปร์ยังออกกฎหมายฉบับใหม่ ซึ่งมีผลเท่ากับเป็นการล็อกดาวน์กันทั่วทั้งประเทศเป็นบางส่วนบางระดับ เพียงแต่ไม่ได้ใช้คำๆ นี้เท่านั้น
ทุกๆ คนถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกนอกบ้านยกเว้นเพื่อกระทำกิจกรรมที่มีความจำเป็น โดยผู้ละเมิดอาจถูกปรับสูงสุดถึง 10,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 230,000 บาท) หรือจำคุก 6 เดือน
ศาสตราจารย์เตียวให้ความเห็นว่า มาตรการนี้น่าจะได้ผล พร้อมย้ำว่าขณะที่ตัวเลขต่างๆ น่าจะยังคงเพิ่มขึ้นอีกในระยะสั้น ทว่านั่น “คือการสะท้อนภาพของสิ่งที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วในระยะ 7 วันที่ผ่านมา มันยังไม่ได้หมายความว่ามาตรการต่างๆ ที่ใช้อยู่นั้นไม่ได้ผล”
การเพิ่มทะยานขึ้นอย่างน่ากลัวของเคสผู้ป่วยรายใหม่ในช่วงสัปดาห์สิ้นเดือนมีนาคมต่อกับต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ปรากฏว่ารวมศูนย์อยู่ที่ประชากรคนงานอพยพของสิงคโปร์ นั่นคือ ผู้ใช้แรงงานชายจำนวนหลายแสนคนซึ่งเดินทางมาจากพวกประเทศยากจน โดยส่วนใหญ่ถูกว่าจ้างให้ทำงานในกิจการการก่อสร้าง, การเดินเรือ, และการซ่อมบำรุง
สิงคโปร์ในปัจจุบันต้องพึ่งพาอาศัยคนงานเหล่านี้เป็นอย่างมาก ในการประคับประคองให้เศรษฐกิจของประเทศยังคงสามารถเดินหน้าต่อไปได้ แต่ปรากฏว่าการงานของพวกเขาทำให้การเว้นระยะห่างทางสังคมแทบเป็นไปไม่ได้เลย
เรื่องที่แย่ยิ่งกว่านั้นอีกก็คือ กฎหมายของสิงคโปร์กำหนดให้คนงานเหล่านี้ต้องพักอาศัยกันในหอพัก ซึ่งดำเนินการโดยเอกชนและพวกเขาถูกจัดสรรให้อยู่กันอย่างแออัด บางกรณี 12 คนต่อห้อง โดยต้องใช้ห้องน้ำรวม เช่นเดียวกับต้องแบ่งกันใช้สถานที่ประกอบอาหารและกิจกรรมทางสังคมต่างๆ
มันจึงดูเหมือนแทบหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่หอพักเหล่านี้จะต้องกลายเป็นแหล่งบ่มเพาะเชื้อซึ่งแพร่ให้ผู้คนป่วยไข้ติดต่อกันอย่างเป็นกลุ่มก้อน แล้วความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้แหละ มีเคสที่เวลานี้ยืนยันแล้วเกือบๆ 500 รายทีเดียวซึ่งเป็นผู้ติดเชื้อแบบเป็นกลุ่มก้อนตามหอพักเช่นนี้หลายๆ แห่ง โดยที่มีกลุ่มหอพักกลุ่มหนึ่งกลายเป็นจุดซึ่งพบผู้ป่วยถึงราว 15% ของทั่วทั้งสิงคโปร์
รัฐมนตรีเพื่อการพัฒนาแห่งชาติ ลอว์เรนซ์ หว่อง แถลงในวันที่ 9 เม.ย. ว่า ถ้าหากเป็นที่ทราบกันก่อนหน้านั้นว่าไวรัสนี้สามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วแค่ไหน “ผมก็คงจะทำอะไรต่ออะไรแตกต่างไปจากนี้” ทว่าในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นก็คือ คนงานจำนวนมากยังคงทำงานต่อไปทั้งๆ ที่มีอาการป่วยไข้
เรื่องที่หวาดกลัวกันก็คือ ประมาณสัปดาห์หน้า จำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นแบบทะยานขึ้นฟ้ากันทีเดียว
สิ่งซึ่งทางการสิงคโปร์ดำเนินการเพื่อสกัดกั้นปัญหาไม่ให้บานปลายออกไปอีก ได้แก่ การเร่งรัดกักกันโรคคนงานอพยพ รวมเป็นจำนวนราว 50,000 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่อพยพมาจากอินเดียและบังกลาเทศ โดยให้พวกเขาอยู่กันแต่ในห้องพักภายในหอพักเหล่านี้ ทางการระบุว่าเป็นมาตรการอันจำเป็นเพื่อลดทอนการติดต่อแพร่เชื้อในระหว่างผู้คนภายในสิงคโปร์เอง
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการเช่นนี้ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างๆ และจากพลเมืองชาวสิงคโปร์ ขณะที่รายงานของสื่อต่างๆ เผยให้เห็นสภาพความเป็นอยู่ที่แออัดยัดเยียและไม่มีสุขอนามัยของหอพักเหล่านี้ ซึ่งข่าวบอกว่ามันอัดแน่นจนกระทั่งเรียกว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้พักอาศัยแต่ละคนจะอยู่ให้ห่างจากกันอย่างน้อย 1 เมตร
“พวกเขาอยู่กันในหอพักที่แออัด และเบียดเสียดกันยังกับปลากระป๋อง” ทอมมี่ โก๊ะ ศาสตราจารย์และคณบดีของวิทยาลัยเทมบุซุ (Tembusu College) มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ กล่าวในโพสต์ทางเฟซบุ๊ก ที่ได้รับการแชร์ต่ออย่างกว้างขวาง “หอพักพวกนี้เหมือนกับระเบิดเวลาที่รอจะตูมตามขึ้นมา”
กลุ่มฮิวแมน ไรต์ส วอตช์ ก็สำทับว่า การกักกันโรคให้อยู่ในหอพัก กลายเป็นการสร้าง “จุดอันตราย” สำหรับการแพร่เชื้อ และรบเร้ารัฐบาลให้ตรวจเทสต์คนงานทั้งหมด และโยกย้ายผู้เจ็บป่วยไปยังสถานรักษาพยาบาล
หลังจากนั้น ได้มีคนงานกว่า 5,000 คนถูกโยกย้ายไปสู่สถานที่ซึ่งปลอดภัยมากขึ้น และจำนวนมากยิ่งขึ้นจะได้โยกย้ายในวันต่อๆ ไป รัฐมนตรีหว่องกล่าวในการแถลงข่าววันที่ 9 เม.ย. ขณะที่นายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง ก็บอกว่า มีการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ ประกอบด้วยบุคลากรของฝ่ายรัฐบาล, ทหาร, และตำรวจ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการหอพักเหล่านี้ และคนงานซึ่งพำนักอาศัย
“เรากำลังทุ่มเทความพยายามอย่างชนิดไม่มีกั๊ก เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสในหอพักคนงานต่างชาติ”
จะคุมได้ไหม?
ถึงแม้มีบางคนบางฝ่ายกล่าวหาว่า สิงคโปร์เชื่องช้าเกินไปในการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์บางส่วน แต่ศาสตราจารย์ฟิชเชอร์แก้ต่างให้ว่า อันที่จริงแล้วสิงคโปร์ได้ลงมือทำสิ่งต่างๆ ก่อนหน้าประเทศอื่นๆ นานทีเดียวด้วยซ้ำ ขณะที่จำนวนเคสยังคงอยู่ในระดับเกินกว่าวันละ 100 รายไม่มาก
แต่การใช้มาตรการล็อกดาวน์ให้ได้ผลนั้น เขาชี้ว่าจำเป็นต้องทำ 3 เรื่องให้สำเร็จ ประการแรกต้องยุติการแพร่เชื้อให้ได้ ซึ่งจะเกิดขึ้นต่อเมื่อทุกๆ คนอยู่กับบ้าน จากนั้นระบบดูแลรักษาสุขภาพจำเป็นต้องมีเวลาและมีที่ทางสำหรับการฟื้นตัว เป็นต้นว่าพอจะมีเตียงว่างกันบ้าง และบุคลากรทางการแพทย์สามารถหาเวลาสำหรับหยุดพัก และประการที่สามคือ ระบบทุกๆ อย่างต้องพรักพร้อม ทั้งเรื่องสถานที่กักกันโรค, ความสามารถในการกักกันโรค, อำนาจทางกฎหมายข้อบังคับต่างๆ, การติดตามหาผู้สัมผัสติดต่อกับผู้ติดเชื้อ
“ถ้าคุณแค
หลังจากในช่วงต้นๆ ได้รับคำยกย่องว่าเป็นหนึ่งในประเทศแบบอย่างซึ่งสามารถรับมือได้ดีกับการแพร่กระจายของไวรัส COVID-19 แต่มาถึงเวลานี้สิงคโปร์ส่งสัญญาณแสดงว่ากำลังต่อสู้ดิ้นรนเพื่อสยบการพุ่งพรวดระลอกใหม่ของไวรัสนี้ผู้ป่วยสูงขึ้นเรื่อยๆ
สิงคโปร์เคยอยู่ในระดับมาสเตอร์เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นโมเดลที่ชาติอื่นๆ พึงกระทำตามมาก่อน ในเรื่องวิธีจัดการรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19
ก่อนที่เชื้อโรคร้ายแรงนี้จะได้รับการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ สิงคโปร์ก็สั่งเข้มงวดกวดขันจำกัดการเดินทางเข้าออกประเทศ รวมทั้งมีการปฏิบัติการอย่างได้ผลทรงประสิทธิภาพในการติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ ซึ่งสามารถยับยั้งการระบาดของไวรัสไม่ให้ปะทุรุนแรงได้
ทว่าในระยะไม่กี่วันหลังๆ มานี้ จำนวนของเคสที่ยืนยันว่าติดเชื้อกลับขึ้นทะยานลิ่ว วันที่ 9 เม.ย. กลายเป็นวันซึ่งพบผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงที่สุดนั่นคือ 287 ราย มากกว่าวันที่ 8 เม.ย. ซึ่งเจอ 142 เคส แล้วก็สูงกว่าวันที่ 10 เม.ย. ที่มี 198 ราย
ส่วนใหญ่ที่สุด ผู้ติดเชื้อรายใหม่เหล่านี้มาจากย่านที่พักอาศัยอันแออัดยัดเยียดของพวกคนงานอพยพ
หลังจากพยายามหลีกเลี่ยงมาได้เป็นเวลานับเดือน ถึงตอนนี้สิงคโปร์กำลังต้องบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์เป็นบางส่วน โดยที่โรงเรียนสถานศึกษาและพวกธุรกิจซึ่งไม่มีความจำเป็น จะต้องปิดทำการ และประชาชนได้รับการขอร้องให้อยู่กับบ้าน
สิงคโปร์ทำอะไรบ้างในช่วงแรกซึ่งทำให้ได้รับยกย่องว่าเป็นตัวอย่าง?
สิงคโปร์เจอผู้ป่วยจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นรายแรกของประเทศตั้งแต่ตอนต้นๆ ของการระบาดแล้ว เคสนี้เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งมาจากเมืองอู่ฮั่นในวันที่ 23 มกราคม วันเดียวกับที่เมืองศูนย์กลางการระบาดของไวรัสในจีนแห่งนั้นถูกประกาศล็อกดาวน์ เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงช่วงที่โรคอันเกิดจากไวรัสนี้ถูกตั้งชื่ออย่างเป็นทางการ นั่นคือ “COVID-19” มันก็มีการแพร่กระจายไปในหมู่ประชากรของประเทศร่ำรวยเล็กๆ เสมือนเป็นนครรัฐแห่งนี้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่การตอบโต้รับมือซึ่งผ่านการฝึกซ้อมมาอย่างดีก็พรักพร้อมใช้งานได้เช่นเดียวกัน
นอกเหนือจากการตรวจเช็กสุขภาพที่สนามบินแล้ว สิงคโปร์ยังดำเนินการตรวจเทสต์อย่างกว้างขวางโดยมุ่งให้ครอบคลุมผู้ต้องสงสัยทุกๆ ราย, ติดตามสืบหาใครก็ตามที่มีการสัมผัสติดต่อกับเคสที่ยืนยันแล้วว่าติดเชื้อ, และจำกัดให้พวกที่สัมผัสติดต่อเหล่านี้อยู่แต่ในบ้านของพวกตนจนกว่าจะได้รับการเคลียร์ว่าปลอดเชื้อ
หลายสัปดาห์ต่อจากนั้น สิงคโปร์ทุ่มเทความพยายามในการคงจำนวนเคสในประเทศให้อยู่ในระดับต่ำและสามารถติดตามสอบสวนโรคได้ โดยมีผู้ติดเชื้อแบบเป็นกลุ่มก้อน (cluster) เพียงแค่กลุ่มเล็กๆ ซึ่งง่ายต่อการควบคุมปิดกั้น แต่ไม่ได้มีการใช้มาตรการจำกัดควบคุมอย่างแท้จริงต่อการใช้ชีวิตประจำวันตามปกติของประชาชน
ศาสตราจารย์ เดล ฟิชเชอร์ (Dale Fisher)กรรมการคนหนึ่งของเครือข่ายเตือนภัยและตอบโต้ระดับทั่วโลก (WHO’s Global Outbreak Alert and Response Network) ขององค์การอนามัยโลก และเป็นศาสตราจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ บอกว่า ในตอนนั้น เมื่อใดก็ตามที่เขาได้ยินคนพูดกันว่าสิงคโปร์กำลังทำได้ดี เขาก็ต่อให้ว่า “เท่าที่เป็นอยู่จนถึงตอนนี้นะ”
“นี่เป็นเชื่อโรคที่ยากลำบากแก่การจำกัดควบคุมจริงๆ” เขาบอก
แล้วเมื่อไหร่ที่อะไรต่อมิอะไรเริ่มต้นเลวร้ายลง?
ระบบที่วางไว้ทำงานไปได้จนกระทั่งถึงกลางเดือนมีนาคม ศาสตราจารย์ยิกยิง เตียว (Yik-Ying Teo) คณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ ซอว์ สวี ฮก (Saw Swee Hock School of Public Health) มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ บอก
นั่นเป็นช่วงเวลาซึ่งเมื่อสถานการณ์มีความชัดเจนมากขึ้นตลอดทั่วโลกแล้ว ประเทศต่างๆ ก็เริ่มต้นเรียกร้องให้พลเมืองของพวกตนเดินทางกลับบ้าน
ผู้คนจำนวนหลายพันเดินทางกลับสิงคโปร์จากพวกประเทศซึ่งไม่ได้มีมาตรการป้องกันแข็งขันอะไร ปรากฏว่าในหมู่ผู้คนเหล่านี้ มีกว่า 500 คนซึ่งนำเอาเชื้อไวรัสกลับมาพร้อมพวกเขาด้วย
ตอนนั้นเองที่มีการประกาศใช้มาตรการบังคับให้พวกซึ่งเดินทางกลับมาต้องอยู่บ้านเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ทว่าคนอื่นๆ ในครอบครัวของพวกเขาได้รับแจ้งว่าสามารถที่จะดำเนินชีวิตของพวกเขาได้ต่อไป ตราบเท่าที่ยังไม่มีใครแสดงอาการป่วยไข้ใดๆ
ช่วงนี้เองเคสผู้ติดเชื้อใหม่ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น เมื่อถึงกลางเดือนมีนาคมก็กลายเป็นวันละหลายสิบราย ส่วนใหญ่เกินกว่าครึ่งเป็นผู้ป่วยที่มาจากต่างประเทศหรือเชื่อมโยงพัวพันกับเคสที่มาจากต่างประเทศ ทว่าตอนนั้นเป็นครั้งแรกซึ่งไม่สามารถติดตามสอบสวนเคสภายในประเทศทุกๆ เคสได้อย่างสะดวกง่ายดายอีกแล้ว
ศาสตราจารย์เตียวกล่าวว่า เป็นเรื่องง่ายที่จะพูดในตอนนี้ซึ่งเวลาได้ล่วงเลยไปแล้ว ว่าเป็นความผิดพลาดที่ไม่จำกัดการติดต่อพบปะผู้คนกระทั่งคนในครอบครัวของผู้ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ แต่ในความเป็นจริงก็คือ “มาถึงเวลานี้ เรามีความรู้เพิ่มขึ้นเยอะเกี่ยวกับโรคนี้เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาย้อนกลับไปในเดือนมีนาคม”
“ตอนนี้เรารู้แล้วว่า การแพร่โรคจากผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการนั้นเป็นเรื่องซึ่งเป็นไปได้อย่างแน่นอน และอาจจะเป็นตัวขับดันตัวหลักของการติดต่อของ COVID-19 ทีเดียว” ศาสตราจารย์เตียว บอก
ศาสตราจารย์เตียว กล่าวด้วยว่า การออกมาตรการต่างๆ มาใช้นั้น หลายๆ อย่างเป็นการวิวัฒนาการขึ้นจากความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่ว่าผู้ติดเชื้อกำลังแพร่มาจากที่ไหน แต่บทเรียนของสิงคโปร์ก็คือ เราควรใช้ท่าทีระมัดระวังให้มาก อย่าได้พึ่งพาอาศัยข้อมูลข่าวสารที่เรามีอยู่ในเวลานี้ให้มากจนเกินไป ตัวอย่างเช่น การเชื่อว่าผู้ที่หายจากโรคนี้จะมีภูมิคุ้มกันซึ่งสามารถป้องกันการติดโรคในอนาคต ในขณะที่เรื่องเช่นนี้ยังห่างไกลจากความแน่นอนชัดเจน
การแพร่ระบาดที่พุ่งพรวด มีสาเหตุจากอะไร?
ปัญหาเรื่องผู้ติดเชื้อที่อิมพอร์ตมาจากต่างแดน เวลานี้สิงคโปร์กำลังดูแลแก้ไข ด้วยการกำหนดให้ผู้มาถึงใหม่ทุกๆ คนต้องถูกส่งตรงไปยังสถานกักกันโรคของรัฐบาล และเนื่องจากเวลานี้มีคนเดินทางมาเพียงแค่จำนวนน้อยอยู่แล้ว ดังนั้นตัวเลขของเคสอิมพอร์ต จึงลดลงเหลือตัวเลขหลักเดียวในระยะไม่กี่วันหลังๆ มานี้
ในคืนวันที่ 7 เม.ย. สิงคโปร์ยังออกกฎหมายฉบับใหม่ ซึ่งมีผลเท่ากับเป็นการล็อกดาวน์กันทั่วทั้งประเทศเป็นบางส่วนบางระดับ เพียงแต่ไม่ได้ใช้คำๆ นี้เท่านั้น
ทุกๆ คนถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกนอกบ้านยกเว้นเพื่อกระทำกิจกรรมที่มีความจำเป็น โดยผู้ละเมิดอาจถูกปรับสูงสุดถึง 10,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 230,000 บาท) หรือจำคุก 6 เดือน
ศาสตราจารย์เตียวให้ความเห็นว่า มาตรการนี้น่าจะได้ผล พร้อมย้ำว่าขณะที่ตัวเลขต่างๆ น่าจะยังคงเพิ่มขึ้นอีกในระยะสั้น ทว่านั่น “คือการสะท้อนภาพของสิ่งที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วในระยะ 7 วันที่ผ่านมา มันยังไม่ได้หมายความว่ามาตรการต่างๆ ที่ใช้อยู่นั้นไม่ได้ผล”
การเพิ่มทะยานขึ้นอย่างน่ากลัวของเคสผู้ป่วยรายใหม่ในช่วงสัปดาห์สิ้นเดือนมีนาคมต่อกับต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ปรากฏว่ารวมศูนย์อยู่ที่ประชากรคนงานอพยพของสิงคโปร์ นั่นคือ ผู้ใช้แรงงานชายจำนวนหลายแสนคนซึ่งเดินทางมาจากพวกประเทศยากจน โดยส่วนใหญ่ถูกว่าจ้างให้ทำงานในกิจการการก่อสร้าง, การเดินเรือ, และการซ่อมบำรุง
สิงคโปร์ในปัจจุบันต้องพึ่งพาอาศัยคนงานเหล่านี้เป็นอย่างมาก ในการประคับประคองให้เศรษฐกิจของประเทศยังคงสามารถเดินหน้าต่อไปได้ แต่ปรากฏว่าการงานของพวกเขาทำให้การเว้นระยะห่างทางสังคมแทบเป็นไปไม่ได้เลย
เรื่องที่แย่ยิ่งกว่านั้นอีกก็คือ กฎหมายของสิงคโปร์กำหนดให้คนงานเหล่านี้ต้องพักอาศัยกันในหอพัก ซึ่งดำเนินการโดยเอกชนและพวกเขาถูกจัดสรรให้อยู่กันอย่างแออัด บางกรณี 12 คนต่อห้อง โดยต้องใช้ห้องน้ำรวม เช่นเดียวกับต้องแบ่งกันใช้สถานที่ประกอบอาหารและกิจกรรมทางสังคมต่างๆ
มันจึงดูเหมือนแทบหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่หอพักเหล่านี้จะต้องกลายเป็นแหล่งบ่มเพาะเชื้อซึ่งแพร่ให้ผู้คนป่วยไข้ติดต่อกันอย่างเป็นกลุ่มก้อน แล้วความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้แหละ มีเคสที่เวลานี้ยืนยันแล้วเกือบๆ 500 รายทีเดียวซึ่งเป็นผู้ติดเชื้อแบบเป็นกลุ่มก้อนตามหอพักเช่นนี้หลายๆ แห่ง โดยที่มีกลุ่มหอพักกลุ่มหนึ่งกลายเป็นจุดซึ่งพบผู้ป่วยถึงราว 15% ของทั่วทั้งสิงคโปร์
รัฐมนตรีเพื่อการพัฒนาแห่งชาติ ลอว์เรนซ์ หว่อง แถลงในวันที่ 9 เม.ย. ว่า ถ้าหากเป็นที่ทราบกันก่อนหน้านั้นว่าไวรัสนี้สามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วแค่ไหน “ผมก็คงจะทำอะไรต่ออะไรแตกต่างไปจากนี้” ทว่าในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นก็คือ คนงานจำนวนมากยังคงทำงานต่อไปทั้งๆ ที่มีอาการป่วยไข้
เรื่องที่หวาดกลัวกันก็คือ ประมาณสัปดาห์หน้า จำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นแบบทะยานขึ้นฟ้ากันทีเดียว
สิ่งซึ่งทางการสิงคโปร์ดำเนินการเพื่อสกัดกั้นปัญหาไม่ให้บานปลายออกไปอีก ได้แก่ การเร่งรัดกักกันโรคคนงานอพยพ รวมเป็นจำนวนราว 50,000 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่อพยพมาจากอินเดียและบังกลาเทศ โดยให้พวกเขาอยู่กันแต่ในห้องพักภายในหอพักเหล่านี้ ทางการระบุว่าเป็นมาตรการอันจำเป็นเพื่อลดทอนการติดต่อแพร่เชื้อในระหว่างผู้คนภายในสิงคโปร์เอง
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการเช่นนี้ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างๆ และจากพลเมืองชาวสิงคโปร์ ขณะที่รายงานของสื่อต่างๆ เผยให้เห็นสภาพความเป็นอยู่ที่แออัดยัดเยียและไม่มีสุขอนามัยของหอพักเหล่านี้ ซึ่งข่าวบอกว่ามันอัดแน่นจนกระทั่งเรียกว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้พักอาศัยแต่ละคนจะอยู่ให้ห่างจากกันอย่างน้อย 1 เมตร
“พวกเขาอยู่กันในหอพักที่แออัด และเบียดเสียดกันยังกับปลากระป๋อง” ทอมมี่ โก๊ะ ศาสตราจารย์และคณบดีของวิทยาลัยเทมบุซุ (Tembusu College) มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ กล่าวในโพสต์ทางเฟซบุ๊ก ที่ได้รับการแชร์ต่ออย่างกว้างขวาง “หอพักพวกนี้เหมือนกับระเบิดเวลาที่รอจะตูมตามขึ้นมา”
กลุ่มฮิวแมน ไรต์ส วอตช์ ก็สำทับว่า การกักกันโรคให้อยู่ในหอพัก กลายเป็นการสร้าง “จุดอันตราย” สำหรับการแพร่เชื้อ และรบเร้ารัฐบาลให้ตรวจเทสต์คนงานทั้งหมด และโยกย้ายผู้เจ็บป่วยไปยังสถานรักษาพยาบาล
หลังจากนั้น ได้มีคนงานกว่า 5,000 คนถูกโยกย้ายไปสู่สถานที่ซึ่งปลอดภัยมากขึ้น และจำนวนมากยิ่งขึ้นจะได้โยกย้ายในวันต่อๆ ไป รัฐมนตรีหว่องกล่าวในการแถลงข่าววันที่ 9 เม.ย. ขณะที่นายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง ก็บอกว่า มีการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ ประกอบด้วยบุคลากรของฝ่ายรัฐบาล, ทหาร, และตำรวจ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการหอพักเหล่านี้ และคนงานซึ่งพำนักอาศัย
“เรากำลังทุ่มเทความพยายามอย่างชนิดไม่มีกั๊ก เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสในหอพักคนงานต่างชาติ”
จะคุมได้ไหม?
ถึงแม้มีบางคนบางฝ่ายกล่าวหาว่า สิงคโปร์เชื่องช้าเกินไปในการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์บางส่วน แต่ศาสตราจารย์ฟิชเชอร์แก้ต่างให้ว่า อันที่จริงแล้วสิงคโปร์ได้ลงมือทำสิ่งต่างๆ ก่อนหน้าประเทศอื่นๆ นานทีเดียวด้วยซ้ำ ขณะที่จำนวนเคสยังคงอยู่ในระดับเกินกว่าวันละ 100 รายไม่มาก
แต่การใช้มาตรการล็อกดาวน์ให้ได้ผลนั้น เขาชี้ว่าจำเป็นต้องทำ 3 เรื่องให้สำเร็จ ประการแรกต้องยุติการแพร่เชื้อให้ได้ ซึ่งจะเกิดขึ้นต่อเมื่อทุกๆ คนอยู่กับบ้าน จากนั้นระบบดูแลรักษาสุขภาพจำเป็นต้องมีเวลาและมีที่ทางสำหรับการฟื้นตัว เป็นต้นว่าพอจะมีเตียงว่างกันบ้าง และบุคลากรทางการแพทย์สามารถหาเวลาสำหรับหยุดพัก และประการที่สามคือ ระบบทุกๆ อย่างต้องพรักพร้อม ทั้งเรื่องสถานที่กักกันโรค, ความสามารถในการกักกันโรค, อำนาจทางกฎหมายข้อบังคับต่างๆ, การติดตามหาผู้สัมผัสติดต่อกับผู้ติดเชื้อ
“ถ้าคุณแค
แสดงความคิดเห็น
🌼มาลาริน/สิงคโปร์ประเทศต้นแบบก็ยังแซงไทยแล้วค่ะ..เหล่านกน้อยดีใจเริงระบำกับสายฝนที่ตึกไทยคู่ฟ้าที่ทำงานของนายกฯลุงตู่
รอยเตอร์/mgronline - สิงคโปร์ยืนยันพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่(โควิด-19) เพิ่มอีก 368 คนในวันจันทร์(13เม.ย.) ทำสถิติเป็นวันที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาด ทำให้ยอดผู้ป่วยสะสมอยู่
ที่ 2,918 คน แซงหน้าประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สิงคโปร์ ซึ่งอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์บางส่วนในความพยายามจำกัดจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันเมื่อเร็วๆนี้ ยังรายงานพบผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมอีก 1 ราย ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตรวมเป็น 9 คน
ในบรรดาผู้ติดเชื้อรายใหม่ ส่วนใหญ่ยังคงเกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ตามหอพักต่างๆซึ่งเป็นที่พักอาศัยของแรงงานต่างด้าว โดยสิงคโปร์ได้กักกันโรคแรงงานหลายพันคนตามหอพักต่างๆ หลังคนเหล่านี้มีส่วนเชื่อมโยงกับเคสผู้ติดเชื้อโควิด-19หลายเคสในประเทศ
อย่างไรก็ตามกระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์ระบุว่าในบรรดาผู้ติดเชื้อทั้งหมด 2,918 คน มีอยู่ 586 คนที่หายดีแล้ว
ข้อมูลในวันจันทร์(13เม.ย.) ส่งผลให้สิงคโปร์ แซงหน้าไทย ขึ้นไปรั้งที่ 4 ของอาเซียน ในอันดับชาติที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากที่สุด
อันดับ 1 ได้แก่ฟิลิปปินส์ มีผู้ติดเชื้อสะสม 4,932 คน(ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 284 คน) เสียชีวิต 315 คน(เสียชีวิตเพิ่ม 18คน)
อันดับ 2 มาเลเซีย ผู้ติดเชื้อสะสม 4,817 คน(ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 134 คน) เสียชีวิต 77 คน(เสียชีวิตเพิ่ม 1 คน)
อันดับ 3 อินโดนีเซีย ผู้ติดเชื้อสะสม 4,557 คน(ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 316 คน) เสียชีวิต 399 คน(เสียชีวิตเพิ่ม 26 คน)
อันดับ 5 ไทย ผู้ติดเชื้อสะสม 2,579 คน(ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 28 คน) เสียชีวิต 10 คน(เสียชีวิตเพิ่ม 2 คน)
อันดับ 6 เวียดนาม ผู้ติดเชื้อสะสม 265 คน(ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3 คน) เสียชีวิต 0,
อันดับ 7 บรูไน ผู้ติดเชื้อสะสม 136(ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 0) เสียชีวิต 1,
อันดับ 8 กัมพูชา ผู้ติดเชื้อสะสม 122 คน เสียชวิต 0
อันดับ 9 พม่า ผู้ติดเชื้อสะสม 41 คน เสียชีวิต 4 คน
อันดับ 10 ลาว ผู้ติดเชื้อสะสม 19 คน เสียชีวิต 0 และติมอร์เลสเต ผู้ติดเชื้อสะสม 4(ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2) เสียชีวิต 0
หลังจากในช่วงต้นๆได้รับคำยกย่องว่าเป็นหนึ่งในประเทศแบบอย่างซึ่งสามารถรับมือได้ดีกับการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 แต่มาถึงเวลานี้สิงคโปร์ส่งสัญญาณแสดงว่ากำลังต่อสู้ดิ้นรนเพื่อสยบการพุ่งพรวดระลอกใหม่ของโรคระบาดจากไวรัสโคโรนา
สิงคโปร์เคยอยู่ในระดับมาสเตอร์เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นโมเดลที่ชาติอื่นๆ พึงกระทำตามมาก่อน ในเรื่องวิธีจัดการรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
โดยสิงคโปร์ก็สั่งเข้มงวดกวดขันจำกัดการเดินทางเข้าออกประเทศ รวมทั้งมีการปฏิบัติการอย่างได้ผลทรงประสิทธิภาพในการติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ ซึ่งสามารถยับยั้งการระบาดของไวรัสไม่ให้ปะทุรุนแรงได้ ทว่าในระยะไม่กี่วันหลังๆมานี้จำนวนของเคสที่ยืนยันว่าติดเชื้อกลับขึ้นทะยานอย่างน่ากังวล โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ตามหอพักต่างๆซึ่งเป็นที่พักอาศัยของแรงงานต่างด้าว
https://mgronline.com/around/detail/9630000038524
ชมคลิป! เหล่านกเริงระบำกับสายฝนหน้าตึกไทยคู่ฟ้าต้อนรับสงกรานต์วันแรก
เมื่อช่วงเย็นวันที่ 13 เม.ย.63 บรรยากาศขณะฝนตกทั่วพื้นที่ทำเนียบรัฐบาล มีฝูงนกเป็นจำนวนมาก กำลังเล่นน้ำฝน พร้อมส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่บริเวณด้านหน้าสนามหญ้าของตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นที่ทำงานของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งถือเป็นฝนที่ตกครั้งแรกในเดือนเมษายน และเป็นวันแรกของเทศกาลสงกรานต์ หรือวันขึ้นปีใหม่ไทย
https://siamrath.co.th/n/146975
มาลารินไม่ได้อยากให้ประเทศไหนติดเชื้อเยอะเลยค่ะ
แต่มีคนบางพวก ชอบนำสิงคโปร์มาข่มไทย หาว่าไทยแย่ นายกฯต้องลาออก คุมโควิด19 ไม่ไหวแล้ว ต้องลาออกๆๆๆๆๆ
มาลารินตั้งกระทู้ทีไรก็มาเย้ยให้เสียใจทุกที ว่าไทยแพ้สิงคโปร์ จำนวนคนคิดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นหลักร้อย เขาเป็นต้นแบบสู้โควิด ต้องเอาอย่างเขา ต้องทำอย่างเขา
แล้วทีนี้เรื่องพลิกกลับในเวลาไม่ถึงเดือน สิงคโปร์มาแซงไทย ติดเชื้อมากกว่าไปแล้ว
การต่อสู้กับโควิด 19 นี้ ใช่ว่ารัฐบาลต้องเก่ง รับมือให้ได้อย่างเด็ดขาดฝ่ายเดียว ทำไม่ได้หรอกนะคะ อยู่ที่ประชาชนที่ช่วยกันสู้ต่างหากคะถึงจะลดผู้ติดเชื้อ ถ้าพลาดไปก็อย่าว่ากันเลยค่ะ เกิดมีตัว Super Spreader
ขึ้นมา ก็ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปได้
ในสถานการณ์นี้อย่าว่ากันเลยนะคะ ต้องร่วมฝ่าฟัน อดทนทำตัวอย่ามีปัญหา ให้กำลังใจผู้นำ บุคลากรทางการแพทย์ที่ช่วยดูแลพวกเราอยู่
เราต้องร่วมมือกันสู้ค่ะ
ดูอย่างนกน้อยที่ทำเนียบรัฐบาลสิคะ เขายังยินดี ร่าเริงเล่นฝนในยามนี้ที่ไทยลำบากแต่มีสถานการณ์ดีขึ้น
คนไทยต้องมีจิตใจเข้มแข็ง มีร่างกายแข็งแรง เพื่อสู้กับเจ้าตัวที่เล็กมากจนเรามองไม่เห็น
สู้ๆนะคะ...✌✌✌✌✌