ทริปนี้เราไปเที่ยวแบบเน้นที่จังหวัดโอคายาม่า 6 วันค่ะ
EP1วันแรก >>
https://ppantip.com/topic/39789948
คำเตือน : เนื่องจากเราขับรถไม่เป็นการเดินทางโดยรถสาธาระที่มีและ.. รถแท็กซี่ค่ะ ! แน่นอนว่าแท็กซี่ญี่ปุ่นค่อนข้างแพงแต่จุดประสงค์ที่มาเขียนเพราะว่าอยากจะแชร์สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดโอคายาม่าให้เพื่อนๆเผื่อจะได้เอาไปเป็นไอเดียในการท่องเที่ยวค่ะ *หากขับรถเป็นแนะนำให้เช่ารถขับจะดีกว่าค่ะ*
วันที่ 2 ณ เมืองทาคาฮาชิ จังหวัดโอคายาม่า วันนี้เราจะไปหาน้องซังจูโร่ที่ปราสาทบิทชูมัตสึยามะ เดินเล่นที่เมืองมานิวะเมืองแห่งโนเรน ก่อนไปพักที่ยูบาระออนเซ็น
ตื่นมาทานอาหารเช้าโดยการซื้อขนมปังจากเซเว่นมากิน แล้วก็ทำการเช็คเอาท์ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม เราขอให้พนักงานเรียกรถแท็กซี่ไปที่ Bitchu Matsuyama Castle ให้ค่ะ นั่งมาประมาณ 15 นาที ราคา 1,540 เยน
จากตรงนี้เราต้องเดินขึ้นไป 700 เมตร ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีค่ะ แนะนำว่าให้ซื้อน้ำเตรียมไว้ก่อนเลย
ใกล้ๆที่จอดรถมีห้องน้ำให้ใช้บริการก่อนออกเดินทางด้วยค่ะ
สำหรับเส้นทางนั้นเดินง่ายแต่ค่อนข้างชัน หากใครต้องการใช้ไม้ค้ำก็มีให้ยืมอยู่ใกล้ๆกับป้ายบอกเส้นทางเลย ใช้เสร็จแล้วก็อย่าลืมคืนไม้ไว้ที่เดิมด้วยนะคะ ห้ามเอาเก็บบ้านนะ ฮาๆ
หยิบไม้มา พร้อมลุย!
ทางเดิน
เดินมาได้ครึ่งทางจะมีจุดพักชมวิว จากตรงนี้มองลงไปเห็นเมืองทั้งเมืองเลยค่ะ
เริ่มเข้าสู่เขตปราสาทแล้ว ถึงตรงนี้เราก็หอบไปแล้วจ้า
กำแพงปราสาท
ฐานปราสาท เจ้าหน้าที่บอกว่าถ้าสังเหตุดีๆจะเห็นว่ามีการวางหินแบบด้านหนึ่งสั้น ด้านหนึ่งยาวสลับกันขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งในการสร้างปราสาทสมัยนั้น
ซูมมมม
หลังจากเดินเล่น (แอบพักมาตลอดทาง) ก็ถึงตัวปราสาทสักที เย้ๆ
ถ้ามาช่วงหน้าหนาวหรือประมาณเดือนปลายตุลาคมเป็นต้นไป ในช่วงเช้าจะมีหมอกปกคลุมภูเขา ซึ่งเราจะเห็นเหมือนว่าปราสาทกำลังลอยฟ้าอยู่และยังสามารถชมใบไม้เปลี่ยนสีได้อีกด้วยค่ะ
ปราสาทบิทชูถูกสร้างขึ้นในสมัยคามาคุระและถูกปรับปรุงในสมัยเอโดะ ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงสภาพแบบนั้นตลอดมา
เรียกได้ว่าเป็นเป็นหนึ่งใน 12 ปราสาทเก่าแก่ที่หลงเหลืออยู่ในประเทศญี่ปุ่น
ราคาเข้าชมปราสาทผู้ใหญ่ 300 เยน เด็ก 150 เยน ค่ะ
ซื้อตั๋วเสร็จกำลังจะเดินเข้าไป ก็เจอน้องซังจูโร่มานอน (ขวางกลางประตู) รอตอนรับอยู่หน้าปราสาทเลยค่า!!
จริงๆแล้วซังจูโร่เป็นแมวเลี้ยงของใครสักคนที่อยู่ในเมืองทาคาฮาชิแห่งนี้ค่ะ เมื่อประมาณปี 2018 ในวันที่ฝนตกหนักมากวันหนึ่ง คนดูแลปราสาทเจอแมวน้อยสีส้มขาว นอนหลบฝนอยู่บริเวณปราสาท ไม่รู้ว่ามาจากไหน ไม่รู้ว่าเดินขึ้นเขามาได้ยังไง ซึ่งคนที่ดูแลปราสาทก็เลยเลี้ยงน้องไว้และตั้งชื่อว่า “ซังจูโร่” ค่ะ!
*สามารถเซลฟี่กับน้องหรือเล่นกับน้องได้แต่ห้ามให้อาหารน้องนะคะ*
ซังจูโร่แมวน้อยผู้ดูแลปราสาท (หน้าตาตอนเพิ่งตื่น ฮาๆ)
น้องจะออกไปตรวจรอบๆปราสาทตอนช่วง 10 โมง และ บ่าย 2
เราไปถึงเกือบๆ 10 โมงพอดีน้องกำลังจะก็ออกไปทำงาน
เดินตามน้องไปถ่ายรูปเล่นรอบๆปราสาท ห้องเก็บอาวุธต่างๆในสมัยนั้น
หลังจากชมปราสาทเสร็จเราก็เดินไปที่จุดจอดรถตอนแรกค่ะ ต้องโทรเรียกแท็กซี่ขึ้นไปรับ
ในจุดนั่งพักจะมีเบอร์ของแท็กซี่แปะไว้ให้ด้วย 0866-22-2755
จุดต่อไปที่เราจะไปก็คือสวนวัดไรคิวจิ (Raikyuji Temple Garden) ค่ะ
ที่วัดแห่งนี้โด่งดังเรื่องสวนญี่ปุ่นสวยค่ะ เราเลยจะไปพิสูจน์สักหน่อย
ภายในวัด
ค่าเข้าชมสวน ผู้ใหญ่ราคา 300 เยน เด็ก 200 เยน
แต่ละฤดูก็จะมีดอกไม้บานแตกต่างกันออกไปแต่หน้าร้อนช่วงที่เราไปไม่มีดอกไม้ เขียวๆแบบนี้ก็สวยดีนะ!!
เขาแนะนำให้มาช่วงฤดูใบไม้ผลิและใบไม้เปลี่ยนสี
เสร็จก็เดินกลับโรงแรมค่ะ จากสวนเดินไปโรงแรมประมาณ 11 นาทีค่ะ
รับกระเป๋าเสร็จเราก็เดินไปที่สถานีบิทชูทาคาฮามาชิ (Bitchu-Takahashi) เพื่อขึ้นรถไฟไปยังสถานีนีมี และต่อรถไฟมาที่สถานีชูโกคุ คะซึยาม่า (Chugoku-Katsuyama Station Himeshin Line) เพื่อไปยังเมืองมานิวะ (Maniwa)
ปล.ไม่มีรูประหว่างการเดินทางนะคะพอดีกล้องดับ โทรศัพท์ก็แบตหมด T^T
ก่อนจะไปยูบาระออนเซ็นเราเผื่อเวลาไว้ว่าจะเดินเล่นแถวๆสถานีนี้ค่ะ แต่ไม่รู้ว่ามีอะไรให้เที่ยวบ้าง มองหา Tourist Information เจอปุ๊ปก็พุ่งเข้าไปเก็บข้อมูลก่อนเลยค่ะ พนักงานบอกว่ามีเป็นย่านร้านขายของและย่านเมืองเก่า จากสถานีสามารถเดินเล่นไปเรื่อยๆได้ค่ะ
หลังจากสอบถามวิธีการเดินทางเสร็จ ก็ได้กลิ่นหอมๆมาจากทางซ้าย หันไปพบว่าเป็นร้านอุด้งค่ะ ไม่รอช้ารีบก้าวเข้าไปนั่งหยิบเมนูขึ้นมาดู (ว่ามีรูปไหม เพราะอ่านไม่ออก ฮาๆ)
เว็บร้าน :
http://motomine.web.fc2.com/teisyoku.html
ถามคุณป้าว่า O susumena menyu wa nandesu ka? (พูดตามกูเกิ้ล) คุณป้าก็พูดๆอะไรมาไม่รู้ เราก็ตอบไปว่า OK ค่ะ 555 นั่งรอสักครู่ก็มีเซ็ตอุด้งมาเซิร์ฟ แต่เป็นอุด้งเย็น!! ปกติเคยแต่กินซารุโซบะเย็นๆที่ฮาจิบัง ฮาๆ
ในเซ็ตก็จะมีข้าวกับปลาตัวเล็กๆทอดมาให้ด้วย (ปลาข้าวสารหรือเปล่าไม่แน่ใจค่ะ)
อร่อยจุกมากในราคา 790 เยน
หลังจากทานเสร็จก็ประมาณ 14:40 น. เดี๋ยวเราจะไปเดินเล่นและกลับมาขึ้นรถบัส “Maniwakun" Hiruzen - Kuse route ที่หน้าสถานีตอนประมาณ 16:00 น. ค่ะ
จากสถานีเดินตรงไป 1 นาทีข้ามถนนก็จะเห็นประตูใหญ่ๆ ย่าน Hinoki Butai ค่ะ
*Google map 新町商店街 檜舞台「ウッドストリート」
Fullname : Katsuyama Shinmachi Shotengai
Nickname : Hinoki Butai
Eng name:Wood Street
ตลอดทางยาวประมาณ 200 เมตร ทั้งสองข้างทางก็จะมีร้านสลับกับบ้านคนไปเรื่อยๆค่ะ
เดินไปเจอร้าน Handmade ทำกระเป๋าใส่เหรียญเองได้ ก็เลยแวะ (อีกแล้ว ฮาๆ) ราคา 1,500 เยน
อันดับแรกเลือกสีกระเป๋าที่ชอบ จากนั้นเขาจะให้เรายัดกระเป๋ากับโครงเหล็กเขาด้วยก่อน โดยใช้ไขควงค่ะ
ทากาวให้ทั่วที่โครงเหล็ก จากนั้นก็ยัดๆผ้าเข้าไป กะให้พอดีแล้วก็เอากระดาษมายัดเข้าไปให้แน่นๆ เสร็จแล้วก็นำครีมมาหนีบเป็นอันเสร็จ ใช้เวลาทำประมาณ 20-30 นาทีค่ะ
ปล.ด้านหน้าไม่มีชื่อร้านเขียนแต่นามบัตรที่ได้มาเขียนว่า At-Home ค่ะ T^T
จากย่าน Hinoki Butai เดินไปย่านเมืองเก่า Kyu Izumo Kaidou - Katsuyama Juku (旧出雲街道勝山宿) ย่านนี้ก็จะมีบ้านคนผสมๆกับร้านค้าเช่นกันค่ะ ร้านค้าอาจจะน้อยหน่อยแต่สำหรับคนที่ต้องการเดินเล่น ถ่ายรูปเอาบรรยากาศก็แนะนำให้ลองไปดูค่ะ
บ้านทรงสมัยโบราณผสมปัจจุบันหน่อยๆ มีวิวด้านหลังเป็นภูเขา
หลังจากเดินเล่นลัดเลาะตามซอกซอยไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอตรอกไดแอกอน (แฮรี่ไปอีก) ทางเข้าแคบๆเล็กๆพอทะลุไป ปรากฏว่าด้านในมีร้านคาเฟ่ซ่อนอยู่จ้า เข้าตรงทางเล็กๆด้านซ้ายค่ะ
พอทะลุมิติออกมาแล้วจะเห็นของใช้เก่าๆที่เอามาตกแต่งร้าน
ข้างในเป็นร้านเล็กๆ บรรยากาศน่ารักๆ เจ้าของร้านใจดีมาก พอรู้ว่าเรามาจากไทยก็บอกว่า เขาเคยไปไทยและชอบไทยมากๆ ที่ร้านมีวางขายของจากเชียงใหม่ด้วย เจ้าของร้านถามว่า “มาจากไทยเหรอซื้อกลับไปไทยไหม?” เอ่อ.. ไม่ดีกว่าค่ะ (ทำไมฉันต้องมาซื้อของไทยที่ญี่ปุ่นเพื่อเอากลับไทยบอกฉันที?! 555)
จากที่นั่งริมหน้าต่างสามารถมองเห็นแม่น้ำได้ค่ะ มีคนมานั่งอ่านหนังสือกินกาแฟชมวิวอยู่ด้วย นี่มันวิวแบบในหนังญี่ปุ่นที่เห็นบ่อยๆ ดีงามมม
เราสั่งกาแฟผสมเลม่อนกับกาแฟโซดามิ้นต์ (ราคา.. ลืมค่ะ T^T น่าจะประมาณแก้วละ 500 เยน)
รสชาติกาแฟอ่อนๆผสมกับเลม่อนเปรี้ยวนิดๆแปลกดี ส่วนกาแฟโซดามินต์ แน่นอนว่ามีความซ่าของโซดาและมีกลิ่นมิ้นต์อ่อนๆ
สำหรับเรารสกาแฟอ่อนๆดื่มแล้วสดชื่นดี ปกติเป็นคนไม่ดื่มกาแฟเพราะขมแต่สำหรับ 2 เมนูนี้สามารถดื่มได้สบายเลย อร่อยดี
ก่อนออกจากร้านเจ้าของฝากมาว่า “อยากให้คนไทยมาเยอะๆเธอชอบคนไทยค่ะ” ใครมีโอกาสก็ลองไปดูน้า
ปล.ร้านชื่อ Capikopi เพิ่งรู้ชื่อร้านตอนจะออกเพราะเขาให้เว็บมาค่ะ แหะๆ
http://capikopi.com/menu/
[CR] เจาะลึก Okayama บ้านเกิดโมโมทาโร่ ขับรถไม่เป็นก็เที่ยวได้ EP.2
EP1วันแรก >> https://ppantip.com/topic/39789948
คำเตือน : เนื่องจากเราขับรถไม่เป็นการเดินทางโดยรถสาธาระที่มีและ.. รถแท็กซี่ค่ะ ! แน่นอนว่าแท็กซี่ญี่ปุ่นค่อนข้างแพงแต่จุดประสงค์ที่มาเขียนเพราะว่าอยากจะแชร์สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดโอคายาม่าให้เพื่อนๆเผื่อจะได้เอาไปเป็นไอเดียในการท่องเที่ยวค่ะ *หากขับรถเป็นแนะนำให้เช่ารถขับจะดีกว่าค่ะ*
วันที่ 2 ณ เมืองทาคาฮาชิ จังหวัดโอคายาม่า วันนี้เราจะไปหาน้องซังจูโร่ที่ปราสาทบิทชูมัตสึยามะ เดินเล่นที่เมืองมานิวะเมืองแห่งโนเรน ก่อนไปพักที่ยูบาระออนเซ็น
ตื่นมาทานอาหารเช้าโดยการซื้อขนมปังจากเซเว่นมากิน แล้วก็ทำการเช็คเอาท์ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม เราขอให้พนักงานเรียกรถแท็กซี่ไปที่ Bitchu Matsuyama Castle ให้ค่ะ นั่งมาประมาณ 15 นาที ราคา 1,540 เยน
จากตรงนี้เราต้องเดินขึ้นไป 700 เมตร ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีค่ะ แนะนำว่าให้ซื้อน้ำเตรียมไว้ก่อนเลย
ใกล้ๆที่จอดรถมีห้องน้ำให้ใช้บริการก่อนออกเดินทางด้วยค่ะ
สำหรับเส้นทางนั้นเดินง่ายแต่ค่อนข้างชัน หากใครต้องการใช้ไม้ค้ำก็มีให้ยืมอยู่ใกล้ๆกับป้ายบอกเส้นทางเลย ใช้เสร็จแล้วก็อย่าลืมคืนไม้ไว้ที่เดิมด้วยนะคะ ห้ามเอาเก็บบ้านนะ ฮาๆ
หยิบไม้มา พร้อมลุย!
ทางเดิน
เดินมาได้ครึ่งทางจะมีจุดพักชมวิว จากตรงนี้มองลงไปเห็นเมืองทั้งเมืองเลยค่ะ
เริ่มเข้าสู่เขตปราสาทแล้ว ถึงตรงนี้เราก็หอบไปแล้วจ้า
กำแพงปราสาท
ฐานปราสาท เจ้าหน้าที่บอกว่าถ้าสังเหตุดีๆจะเห็นว่ามีการวางหินแบบด้านหนึ่งสั้น ด้านหนึ่งยาวสลับกันขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งในการสร้างปราสาทสมัยนั้น
ซูมมมม
หลังจากเดินเล่น (แอบพักมาตลอดทาง) ก็ถึงตัวปราสาทสักที เย้ๆ
ถ้ามาช่วงหน้าหนาวหรือประมาณเดือนปลายตุลาคมเป็นต้นไป ในช่วงเช้าจะมีหมอกปกคลุมภูเขา ซึ่งเราจะเห็นเหมือนว่าปราสาทกำลังลอยฟ้าอยู่และยังสามารถชมใบไม้เปลี่ยนสีได้อีกด้วยค่ะ
ปราสาทบิทชูถูกสร้างขึ้นในสมัยคามาคุระและถูกปรับปรุงในสมัยเอโดะ ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงสภาพแบบนั้นตลอดมา
เรียกได้ว่าเป็นเป็นหนึ่งใน 12 ปราสาทเก่าแก่ที่หลงเหลืออยู่ในประเทศญี่ปุ่น
ราคาเข้าชมปราสาทผู้ใหญ่ 300 เยน เด็ก 150 เยน ค่ะ
ซื้อตั๋วเสร็จกำลังจะเดินเข้าไป ก็เจอน้องซังจูโร่มานอน (ขวางกลางประตู) รอตอนรับอยู่หน้าปราสาทเลยค่า!!
จริงๆแล้วซังจูโร่เป็นแมวเลี้ยงของใครสักคนที่อยู่ในเมืองทาคาฮาชิแห่งนี้ค่ะ เมื่อประมาณปี 2018 ในวันที่ฝนตกหนักมากวันหนึ่ง คนดูแลปราสาทเจอแมวน้อยสีส้มขาว นอนหลบฝนอยู่บริเวณปราสาท ไม่รู้ว่ามาจากไหน ไม่รู้ว่าเดินขึ้นเขามาได้ยังไง ซึ่งคนที่ดูแลปราสาทก็เลยเลี้ยงน้องไว้และตั้งชื่อว่า “ซังจูโร่” ค่ะ!
*สามารถเซลฟี่กับน้องหรือเล่นกับน้องได้แต่ห้ามให้อาหารน้องนะคะ*
ซังจูโร่แมวน้อยผู้ดูแลปราสาท (หน้าตาตอนเพิ่งตื่น ฮาๆ)
น้องจะออกไปตรวจรอบๆปราสาทตอนช่วง 10 โมง และ บ่าย 2
เราไปถึงเกือบๆ 10 โมงพอดีน้องกำลังจะก็ออกไปทำงาน
เดินตามน้องไปถ่ายรูปเล่นรอบๆปราสาท ห้องเก็บอาวุธต่างๆในสมัยนั้น
หลังจากชมปราสาทเสร็จเราก็เดินไปที่จุดจอดรถตอนแรกค่ะ ต้องโทรเรียกแท็กซี่ขึ้นไปรับ
ในจุดนั่งพักจะมีเบอร์ของแท็กซี่แปะไว้ให้ด้วย 0866-22-2755
จุดต่อไปที่เราจะไปก็คือสวนวัดไรคิวจิ (Raikyuji Temple Garden) ค่ะ
ที่วัดแห่งนี้โด่งดังเรื่องสวนญี่ปุ่นสวยค่ะ เราเลยจะไปพิสูจน์สักหน่อย
ภายในวัด
ค่าเข้าชมสวน ผู้ใหญ่ราคา 300 เยน เด็ก 200 เยน
แต่ละฤดูก็จะมีดอกไม้บานแตกต่างกันออกไปแต่หน้าร้อนช่วงที่เราไปไม่มีดอกไม้ เขียวๆแบบนี้ก็สวยดีนะ!!
เขาแนะนำให้มาช่วงฤดูใบไม้ผลิและใบไม้เปลี่ยนสี
เสร็จก็เดินกลับโรงแรมค่ะ จากสวนเดินไปโรงแรมประมาณ 11 นาทีค่ะ
รับกระเป๋าเสร็จเราก็เดินไปที่สถานีบิทชูทาคาฮามาชิ (Bitchu-Takahashi) เพื่อขึ้นรถไฟไปยังสถานีนีมี และต่อรถไฟมาที่สถานีชูโกคุ คะซึยาม่า (Chugoku-Katsuyama Station Himeshin Line) เพื่อไปยังเมืองมานิวะ (Maniwa)
ปล.ไม่มีรูประหว่างการเดินทางนะคะพอดีกล้องดับ โทรศัพท์ก็แบตหมด T^T
ก่อนจะไปยูบาระออนเซ็นเราเผื่อเวลาไว้ว่าจะเดินเล่นแถวๆสถานีนี้ค่ะ แต่ไม่รู้ว่ามีอะไรให้เที่ยวบ้าง มองหา Tourist Information เจอปุ๊ปก็พุ่งเข้าไปเก็บข้อมูลก่อนเลยค่ะ พนักงานบอกว่ามีเป็นย่านร้านขายของและย่านเมืองเก่า จากสถานีสามารถเดินเล่นไปเรื่อยๆได้ค่ะ
หลังจากสอบถามวิธีการเดินทางเสร็จ ก็ได้กลิ่นหอมๆมาจากทางซ้าย หันไปพบว่าเป็นร้านอุด้งค่ะ ไม่รอช้ารีบก้าวเข้าไปนั่งหยิบเมนูขึ้นมาดู (ว่ามีรูปไหม เพราะอ่านไม่ออก ฮาๆ)
เว็บร้าน : http://motomine.web.fc2.com/teisyoku.html
ถามคุณป้าว่า O susumena menyu wa nandesu ka? (พูดตามกูเกิ้ล) คุณป้าก็พูดๆอะไรมาไม่รู้ เราก็ตอบไปว่า OK ค่ะ 555 นั่งรอสักครู่ก็มีเซ็ตอุด้งมาเซิร์ฟ แต่เป็นอุด้งเย็น!! ปกติเคยแต่กินซารุโซบะเย็นๆที่ฮาจิบัง ฮาๆ
ในเซ็ตก็จะมีข้าวกับปลาตัวเล็กๆทอดมาให้ด้วย (ปลาข้าวสารหรือเปล่าไม่แน่ใจค่ะ)
อร่อยจุกมากในราคา 790 เยน
หลังจากทานเสร็จก็ประมาณ 14:40 น. เดี๋ยวเราจะไปเดินเล่นและกลับมาขึ้นรถบัส “Maniwakun" Hiruzen - Kuse route ที่หน้าสถานีตอนประมาณ 16:00 น. ค่ะ
จากสถานีเดินตรงไป 1 นาทีข้ามถนนก็จะเห็นประตูใหญ่ๆ ย่าน Hinoki Butai ค่ะ
*Google map 新町商店街 檜舞台「ウッドストリート」
Fullname : Katsuyama Shinmachi Shotengai
Nickname : Hinoki Butai
Eng name:Wood Street
ตลอดทางยาวประมาณ 200 เมตร ทั้งสองข้างทางก็จะมีร้านสลับกับบ้านคนไปเรื่อยๆค่ะ
เดินไปเจอร้าน Handmade ทำกระเป๋าใส่เหรียญเองได้ ก็เลยแวะ (อีกแล้ว ฮาๆ) ราคา 1,500 เยน
อันดับแรกเลือกสีกระเป๋าที่ชอบ จากนั้นเขาจะให้เรายัดกระเป๋ากับโครงเหล็กเขาด้วยก่อน โดยใช้ไขควงค่ะ
ทากาวให้ทั่วที่โครงเหล็ก จากนั้นก็ยัดๆผ้าเข้าไป กะให้พอดีแล้วก็เอากระดาษมายัดเข้าไปให้แน่นๆ เสร็จแล้วก็นำครีมมาหนีบเป็นอันเสร็จ ใช้เวลาทำประมาณ 20-30 นาทีค่ะ
ปล.ด้านหน้าไม่มีชื่อร้านเขียนแต่นามบัตรที่ได้มาเขียนว่า At-Home ค่ะ T^T
จากย่าน Hinoki Butai เดินไปย่านเมืองเก่า Kyu Izumo Kaidou - Katsuyama Juku (旧出雲街道勝山宿) ย่านนี้ก็จะมีบ้านคนผสมๆกับร้านค้าเช่นกันค่ะ ร้านค้าอาจจะน้อยหน่อยแต่สำหรับคนที่ต้องการเดินเล่น ถ่ายรูปเอาบรรยากาศก็แนะนำให้ลองไปดูค่ะ
บ้านทรงสมัยโบราณผสมปัจจุบันหน่อยๆ มีวิวด้านหลังเป็นภูเขา
หลังจากเดินเล่นลัดเลาะตามซอกซอยไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอตรอกไดแอกอน (แฮรี่ไปอีก) ทางเข้าแคบๆเล็กๆพอทะลุไป ปรากฏว่าด้านในมีร้านคาเฟ่ซ่อนอยู่จ้า เข้าตรงทางเล็กๆด้านซ้ายค่ะ
พอทะลุมิติออกมาแล้วจะเห็นของใช้เก่าๆที่เอามาตกแต่งร้าน
ข้างในเป็นร้านเล็กๆ บรรยากาศน่ารักๆ เจ้าของร้านใจดีมาก พอรู้ว่าเรามาจากไทยก็บอกว่า เขาเคยไปไทยและชอบไทยมากๆ ที่ร้านมีวางขายของจากเชียงใหม่ด้วย เจ้าของร้านถามว่า “มาจากไทยเหรอซื้อกลับไปไทยไหม?” เอ่อ.. ไม่ดีกว่าค่ะ (ทำไมฉันต้องมาซื้อของไทยที่ญี่ปุ่นเพื่อเอากลับไทยบอกฉันที?! 555)
จากที่นั่งริมหน้าต่างสามารถมองเห็นแม่น้ำได้ค่ะ มีคนมานั่งอ่านหนังสือกินกาแฟชมวิวอยู่ด้วย นี่มันวิวแบบในหนังญี่ปุ่นที่เห็นบ่อยๆ ดีงามมม
เราสั่งกาแฟผสมเลม่อนกับกาแฟโซดามิ้นต์ (ราคา.. ลืมค่ะ T^T น่าจะประมาณแก้วละ 500 เยน)
รสชาติกาแฟอ่อนๆผสมกับเลม่อนเปรี้ยวนิดๆแปลกดี ส่วนกาแฟโซดามินต์ แน่นอนว่ามีความซ่าของโซดาและมีกลิ่นมิ้นต์อ่อนๆ
สำหรับเรารสกาแฟอ่อนๆดื่มแล้วสดชื่นดี ปกติเป็นคนไม่ดื่มกาแฟเพราะขมแต่สำหรับ 2 เมนูนี้สามารถดื่มได้สบายเลย อร่อยดี
ก่อนออกจากร้านเจ้าของฝากมาว่า “อยากให้คนไทยมาเยอะๆเธอชอบคนไทยค่ะ” ใครมีโอกาสก็ลองไปดูน้า
ปล.ร้านชื่อ Capikopi เพิ่งรู้ชื่อร้านตอนจะออกเพราะเขาให้เว็บมาค่ะ แหะๆ http://capikopi.com/menu/
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้