[หนูผีมีเรื่องเล่า]เมื่อข้าพเจ้ามีญาณโดยไม่ได้ตั้งใจ...และสามีคนละภพก็ไม่ยอมไปไหนสักที...(บทสรุป)

มาอัปเดตเรื่องของพี่ขุนค่ะ
พอดีได้มีโอกาสไปเข้าร่วมกลุ่มมูเตลูของมหาวิทยาลัยที่จบมา 
ก็เลยได้เขียนเรื่องเล่าจากพี่ขุนในรายละเอียดส่วนอื่นๆ ออกมาอีกหลายตอนเลย
เลยมาแจ้งข่าวว่าท่านใดอยากติดตามต่อ สามารถไปอ่านได้ที่นี่นะคะ
อีกไม่นานจะเปิด Pre-order หนังสือให้จับจองกัน แล้วแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งไปทำบุญกันค่ะ

บุญรักษานะคะทุกท่าน ^^

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

Part 15
 

 
สวัสดีค่ะ หนูผีกลับมาอีกแล้ว ยังคงเป็นเรื่องเล่าของดิฉันกับพี่ขุน (ว่าที่) สามีในอดีตชาติที่รอข้ามภพข้ามชาติเพื่อที่จะมาครองรักกันตามคำมั่นสัญญาในชาตินี้ 

ตอนแรกคิดว่าจะเล่าให้จบในกระทู้เดียว แต่เห็นว่ากระทู้เริ่มตกแล้ว ก็เลยตั้งกระทู้ใหม่เพื่อมาเล่าต่อเป็นภาค 2 ค่ะ
ท่านใดที่ยังไม่เคยอ่านเรื่องราวก่อนหน้า สามารถติดตามได้ที่กระทู้นี้ >> [หนูผีมีเรื่องเล่า]เมื่อแรงกรรมส่งข้าพเจ้ากลับมา...และ (ว่าที่) สามีในอดีตชาติยังติดบ่วงสัญญาดังเดิม... https://ppantip.com/topic/39768624

ส่วนท่านที่ติดตามกันมาอยู่แล้ว เชิญอ่านต่อกันได้เลยค่ะ

อย่างที่ดิฉันได้บอกตบท้ายไปในกระทู้ที่แล้วว่าหลังจากที่พี่ขุนได้ถือครอง ‘เก้าอี้’ ของดิฉัน กอปรกับดิฉันคิดว่าตัวเองป่วยเป็นโรคทางจิตเภทจนไม่สามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติด้วย ก็ทำให้เสียงและการสื่อสารสัมผัสต่างๆ ระหว่างดิฉันกับพี่ขุนค่อยๆ หายไปทีละน้อย จนกระทั่งหายไปชนิดที่ว่าไม่ได้ยินเสียงใดๆ ในหัวอีกแล้ว ทำให้ระยะนี้ดิฉันคิดว่าคงเป็นเพราะการทานยาทางจิตเวชแน่ๆ อาการหูแว่ว ประสาทหลอนถึงได้หายไป

พอไม่มีเสียงอะไรหรือใครมารบกวนแล้ว ดิฉันก็ค่อยๆ พยายามพยุงตัวเองให้กลับไปใช้ชีวิตได้อย่างเดิม การกระทำนี้ก็ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากเพราะดิฉันไม่ปกติเอาเสียเลย ยังคงคิดอยากตาย ไม่อยากตื่นมาใช้ชีวิตอยู่เรื่อยๆ 

คราวนี้ดิฉันไม่ต้องไปสู้รบปรบมือกับผีหรือวิญญาณที่ไหนแล้วค่ะ สู้กับความรู้สึกของตัวเองนี่แหละ

ผ่านไปหลายเดือนเข้า ก้าวย่างเข้าสู่เดือนที่สี่ อาการของดิฉันก็เริ่มดีขึ้น เริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ กระนั้นก็ยังทำงานเต็มที่ยังไม่ได้เพราะยังคงมีอาการอ่อนล้า ไม่อยากจะทำอะไรอยู่ แต่ช่วงนี้ดิฉันก็กลับมานอนคนเดียวได้แล้ว ระหว่างนี้ดิฉันใช้เวลาในการดูอะไรต่อมิอะไรทางอินเทอร์เน็ตเป็นการฆ่าเวลาแก้เครียดค่อนข้างบ่อยจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันหลักๆ ไปแล้ว

เหมือนจะลืมพี่ขุนไปได้แล้วใช่ไหมคะ?
ยังค่ะ ยังลืมไม่ได้ 

ในระหว่างที่ดิฉันพยายามพยุงอาการของตัวเอง หลวงลุงก็ยังคงยืนกรานด้วยความมั่นใจว่าพี่ขุนนั้นมีตัวตนจริงๆ และเป็น ‘เทวดา’ ของดิฉันที่มีความสัมพันธ์เป็นเจ้ากรรมนายเวร 

ย้อนกลับไปสักเล็กน้อยว่าตอนที่ดิฉันได้ยินคำว่าเจ้ากรรมนายเวรเป็นครั้งแรก ดิฉันกลัวมากด้วยรู้สึกว่าคำคำนี้มันเป็นคำในเชิงลบ แต่ก็ได้พี่ขุนสั่งสอน

‘เจ้ากรรมนายเวรที่หวังดีก็มี เช่นพ่อแม่หรือญาติพี่น้องของเรา เมื่อหมดอายุขัยไปแล้ว ได้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดีกว่า แต่ถ้าจิตยังห่วงหา ก็อดอาลัยอาวรณ์จนต้องกลับมาคอยช่วยเหลือคนที่ยังอยู่ในภพภูมิต่ำกว่าไม่ได้ ส่วนจะช่วยได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่ที่บุญกรรมสัมพันธ์กัน ไม่ใช่ว่าจะช่วยได้หมดทุกเรื่อง’

ดิฉันถึงได้รู้ว่าเจ้ากรรมนายเวรประเภทนี้จะเรียกว่า ‘เจ้าคุณนายคุณ’

อย่างไรก็ตาม เวลาผ่านไปสามสี่เดือนแล้ว ดิฉันก็ยังลืมพี่ขุนไม่ได้ สาเหตุที่ลืมไม่ได้ก็คือ...

หนึ่ง...ความสงสัยว่าตกลงแล้วเขามีจริงหรือไม่?
และสอง...ความรัก ความโหยหาที่ยังมีต่อเขา ทำให้ดิฉันพยายามที่จะสื่อกับเขาอีกครั้ง

ดิฉันเฝ้าพร่ำคิด (คุย) ในใจคนเดียว หวังว่าสักวันจะได้ยินเสียงพี่ขุนอย่างที่เคยได้ยิน แต่ก็ไม่เคยมีเสียงอะไรตอบกลับมาเลย กระทั่งดิฉันถอดใจและคิดจริงๆ แล้วว่า...พี่ขุนไม่ใช่เรื่องจริงอย่างที่หลวงลุงพูดได้เสียแล้ว

ตอนนี้ดิฉันเริ่มตัดใจค่ะ ตัดใจจากอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีตัวตน มองไม่เห็น ไม่สามารถติดต่อสื่อสารพูดคุยได้

ผ่านมาหลายวันก็เริ่มนิ่ง อันที่จริงใจก็ยังคิดถึงพี่ขุนอยู่นั่นล่ะ มีโอกาสไปทำบุญทำอะไรก็อุทิศให้เขาทุกครั้ง กระทั่ง...

“หยุดสงกรานต์นี้จะไปทำบุญใหญ่ให้ยายนะ ไปทำที่บ้านหลวงลุง”

แม่พูดถึงการทำบุญใหญ่ให้วันตายของยายที่หมุนเวียนมาบรรจบอีกปี ส่วนสถานที่ก็เป็นบ้านของหลวงลุงที่นครสวรรค์ ต้องขออธิบายไว้นิดหนึ่งค่ะว่าบ้านของหลวงลุงนั้นจะมีแค่ป้าสะใภ้กับลูกพี่ลูกน้องอยู่ ขณะที่หลวงลุงจะอยู่ที่วัด แต่วัดที่หลวงลุงอยู่นั้นก็ห่างจากบ้านแค่ไม่กี่ร้อยเมตร เดินไปมาหาสู่กันได้ตามประสาวิถีคนชนบท

พวกเรานิมนต์พระมาเลี้ยงเพลตามความประสงค์ของผู้ใหญ่ ดิฉันเป็นแค่ผู้เข้าร่วมงานบุญในครั้งนี้เท่านั้น ขณะที่ทำบุญ ดิฉันก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตลอดเวลา เอาแต่พะวักพะวนคิดถึงพี่ขุน ใจมีคำถามอยากจะถามหลวงลุงมากมายโดยเฉพาะคำถามที่ว่า ‘พี่ขุนเป็นของจริงไหม’ เพราะในเวลานี้ เขาได้หายไปจากชีวิตดิฉันระยะหนึ่งแล้ว

สุดท้ายดิฉันก็ตัดใจไม่ถาม เพราะถ้าหากว่าเรื่องที่ดิฉันเผชิญที่ผ่านมาเป็นเรื่องของความเจ็บป่วยทางจิต ดิฉันก็ขอที่จะยุติเรื่องราวนี้ไว้เท่านี้จะดีกว่า ทว่าระหว่างที่เรากรวดน้ำให้ยายกันนั้น ดิฉันก็ไพล่คิดไปถึงพี่ขุน แล้วก็อธิษฐานในใจ

‘ถ้าหากพี่มีจริง ก็ขอให้พี่ได้รับส่วนบุญส่วนกุศลจากการทำบุญของหนูในครั้งนี้ด้วย...’

เขาจะได้รับไหม ดิฉันไม่ทราบ รู้แต่ว่าหลังจากที่พวกเราทำบุญกันเสร็จแล้ว พ่อและแม่ของดิฉันจะเดินทางไปที่พิษณุโลก ต่อ เพื่อเยี่ยมเยือนน้องสาวของดิฉันตามปกติ ครั้งนี้ดิฉันก็ไปด้วย หากทว่าระหว่างที่นั่งรถไปนั้น ดิฉันก็คิดทบทวนถึงเรื่องราวในวันนี้ รวมถึงคิดถึงพี่ขุนขึ้นมา จึงได้คิดในใจไปลอยๆ ว่า ‘หนูคิดถึงพี่นะ’

เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เสียงที่ดิฉันไม่คิดว่าจะได้ยินอีกแล้วในชาตินี้ก็ดังขึ้น

‘หนูได้ยินพี่ไหม’

ดิฉันทั้งตกใจ ทั้งดีใจในคราวเดียว ถึงกับกระเด้งตัวขึ้นนั่งหลังตรง พอเริ่มเก็บอาการได้ก็รีบถามเขากลับ

“พี่เหรอ”
‘ใช่ พี่เอง’
“ทำไมจู่ๆ หนูถึงได้ยินเสียงพี่ล่ะ”
‘ก็หนูคิดถึงพี่ไม่ใช่เหรอ’ เขาถาม 

ดิฉันไม่มีคำตอบหรือคำถามอะไรกลับ ได้แต่นั่งฟังเขาด้วยความดีใจที่พร่างพรายเข้ามาเท่านั้น 

‘พี่...ก็คิดถึงหนูเหมือนกัน’

ดิฉันคิดถึงเขามาก...เป็นสิ่งเดียวที่รับรู้ได้ในเวลานี้ค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่