ตั้งกระทู้สนทนาไม่ได้ ป้าเลยต้องมี ? เพื่อมารยาทนิสนึง เอ่อ ไม่มีดีกว่าไหม? ตอบเองเลยว่า ดี
แค่ติดตามคนพูดถึงอาชีพช่วงโควิด เราเรียนรู้อะไรบ้าง สำหรับเรา ทำให้สำนึกและนึกถึงคำสอนพ่อแม่ เรื่องมีอยู่ว่า เราเรียนจบ ดร. ได้ทุนต่างประเทศ ทั้งปริญญาโทและเอก และจบป.ตรีมหาวิทยาลัยที่ดังต้นๆในไทย (ขี้โม้ยัยนี่ ไป ชิวว) ใดใดก็คืออ่านต่อ ยังไม่จบเด้อ ก็เลยคิดว่าตัวเองเลือกเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ไหนก็ได้ เพราะไม่ติดภาระคืนทุนให้ต้นสังกัดใด ตอนที่สอนมหาวิทยาลัยเมื่อก่อน ต่อสัญญาด้วยการทำตำแหน่งวิชาการ 1 ปี 3 ปี 5 ปีถ้าผ่านหลังจากนี้ก็อยู่ถึง 60 ปี แต่ไม่มีบำนาญ มีเงินสำรองเลียงชีพให้แทน กดดันก็จริง แต่เงินเดือนดีกว่าข้าราชการอาจารย์ เลยไม่สนใจข้าราชการเท่าไร วันหนึ่งชะตามันไม่ได้เป็นไปตามเราวางแผนเสมออะดิชีวิตคน (ทุกวันนี้ยิ่งเชื่อมั่นในลิขิตฟ้ามากกว่าการวางแผนด้วยตนเองไปแล้ว 55) มีวันหนึ่ง พ่อแม่และสามีขอร้องให้สอบข้าราชการ ก็เลยไปสอบพอเป็นพิธี ตามใจ เอ่อ ไม่ใช่สิ พอดีตกงาน (อันหลังอะถูกแล้ว) พอเห็นคุณสมบัติการสมัคร โห กลืนน้ำลายก่อน ไม่ใช่หิว แต่แบบว่า อิหยังวะ? คักแถะ ไปสอบรอบแรก อึ้งกับข้อสอบมาก ยากก็นึกว่าตัวเองแข่งขันไปดาวอังคาร สอบสัมภาษณ์ สอบสอน กว่าจะผ่านมาแต่ละรอบ เราคิดว่าโปรไฟล์เรานี่สุดๆนะ เงยหน้าแปร๊บ เอ่อ พักก่อนจ๊ะป้า เอากรามลงมา เหนือฟ้ายังมีฟ้าที่หลายชั้น (ทั่วประเทศ รับน้อยไม่ถึง 9 คน) บอกครอบครัวเลยว่าเราไม่ได้ร๊อก เพราะคงมีเด็กเส้น (ปลอบใจตัวเอง กลัวเสียหน้าสามีมัน) แต่ประกาศผล ปรากฏไม่มีเด็กเส้นและเรียงตามความสามารถจริง เราจบดร. แต่ลำดับเกือบสุดท้าย ก่อนหน้าเราเป็น ป.โททั้งนั้น (แต่เป็นเกียรตินิยม.ต้นๆ) เราเลยเริ่มประทับใจในระบบราชการที่เที่ยงตรงของที่นี่ ทำให้เริ่มชั่งใจจะเอาดีไม่เอาดีแว๊ แต่พ่อกับแม่และสามีรู้เท่านั้น เราโดนบังคับให้เลือกเป็นข้าราชการจ้า เวิ่นเว้อมาตั้งนาน จะบอกแค่ว่า เราคิดขอบคุณพ่อแม่ชาวไร่ชาวนาผู้ยิ่งใหญ่ ที่ขอร้องให้ลูกเป็นข้าราชการตั้งแต่ลูกยังเรียนไม่จบม.ต้นเลย เคยขอโทษพ่อแม่ไปที่เคยรำคาญใส่และเดินหนีทุกครั้งที่พ่อแม่พูดถึงคำว่าข้าราชการและคำว่าน้ำซึมบ่อทราย พอช่วงโควิดลูกก็ยิ่งเข้าใจพ่อแม่แล้ว แม้เงินเดือนจะน้อย แต่ก็ยิ่งทำให้ไม่ประมาทในชีวิต พอดีเห็นข้าราชการเกษียรแล้วลำบาก กลัว เลยต้องสมถะเรียบง่าย พอเพียง ใช้รถมือสองอย่างมีความสุขต่ไป แม้มันจะสต็าทยากก็ตาม
ปล จำเป็นต้องอ้างถึงอดีต เลยดันไปพาดพิงระบบอาจารย์มหาวิทยาลัยเดิมที่เคยทำงาน แต่ไม่ได้มีเจตนาเปรียบเทียบ และไม่ได้บอกว่าอาจารย์ข้าราชการดีกว่านะ เพราะ ทุกอย่างมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ทุกอาชีพแหละ แต่ขอพูดถึงแค่อาชีพสอนหนังสือด้วยกันนะคะ ณ จุนี้ แว่ เอ้ย ว่า การทำประโยชน์ให้คนอื่น ไม่จำเป็นต้องเป็นอาชีพข้าราชการ เพียงอย่างเดียว ให้มองที่ เนื้องาน มากกว่าเปลือกนอก อย่างความเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ก็สอนหนังสือให้ความรู้อนาคตของชาติไม่ต่างจากเป็นข้าราชการอาจารย์ ในเมื่อทำประโยชน์ให้สังคมเหมือนกัน สอนหนังสือ พัฒนาคนเหมือนกัน ความเป็นข้าราชการหรือพนักงาน ก็ไม่ใช่สาระสำคัญของการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเลย อย่ากดดันกับระบบจนลืมว่ายังมีกฎแห่งกรรมที่ยุติธรรมที่สุด ถ้าคิดถึงประโยชน์ของนักศึกษาและส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตน สักวันผลอันหอมหวานจะปรากฏ และมันคุ้มค่า...Credit from วันที่ฉันไม่มีหัวโขน และคนในพันทิป
ข้าราชการในวันนี้ของฉัน ไม่ใช่ของใคร?
แค่ติดตามคนพูดถึงอาชีพช่วงโควิด เราเรียนรู้อะไรบ้าง สำหรับเรา ทำให้สำนึกและนึกถึงคำสอนพ่อแม่ เรื่องมีอยู่ว่า เราเรียนจบ ดร. ได้ทุนต่างประเทศ ทั้งปริญญาโทและเอก และจบป.ตรีมหาวิทยาลัยที่ดังต้นๆในไทย (ขี้โม้ยัยนี่ ไป ชิวว) ใดใดก็คืออ่านต่อ ยังไม่จบเด้อ ก็เลยคิดว่าตัวเองเลือกเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ไหนก็ได้ เพราะไม่ติดภาระคืนทุนให้ต้นสังกัดใด ตอนที่สอนมหาวิทยาลัยเมื่อก่อน ต่อสัญญาด้วยการทำตำแหน่งวิชาการ 1 ปี 3 ปี 5 ปีถ้าผ่านหลังจากนี้ก็อยู่ถึง 60 ปี แต่ไม่มีบำนาญ มีเงินสำรองเลียงชีพให้แทน กดดันก็จริง แต่เงินเดือนดีกว่าข้าราชการอาจารย์ เลยไม่สนใจข้าราชการเท่าไร วันหนึ่งชะตามันไม่ได้เป็นไปตามเราวางแผนเสมออะดิชีวิตคน (ทุกวันนี้ยิ่งเชื่อมั่นในลิขิตฟ้ามากกว่าการวางแผนด้วยตนเองไปแล้ว 55) มีวันหนึ่ง พ่อแม่และสามีขอร้องให้สอบข้าราชการ ก็เลยไปสอบพอเป็นพิธี ตามใจ เอ่อ ไม่ใช่สิ พอดีตกงาน (อันหลังอะถูกแล้ว) พอเห็นคุณสมบัติการสมัคร โห กลืนน้ำลายก่อน ไม่ใช่หิว แต่แบบว่า อิหยังวะ? คักแถะ ไปสอบรอบแรก อึ้งกับข้อสอบมาก ยากก็นึกว่าตัวเองแข่งขันไปดาวอังคาร สอบสัมภาษณ์ สอบสอน กว่าจะผ่านมาแต่ละรอบ เราคิดว่าโปรไฟล์เรานี่สุดๆนะ เงยหน้าแปร๊บ เอ่อ พักก่อนจ๊ะป้า เอากรามลงมา เหนือฟ้ายังมีฟ้าที่หลายชั้น (ทั่วประเทศ รับน้อยไม่ถึง 9 คน) บอกครอบครัวเลยว่าเราไม่ได้ร๊อก เพราะคงมีเด็กเส้น (ปลอบใจตัวเอง กลัวเสียหน้าสามีมัน) แต่ประกาศผล ปรากฏไม่มีเด็กเส้นและเรียงตามความสามารถจริง เราจบดร. แต่ลำดับเกือบสุดท้าย ก่อนหน้าเราเป็น ป.โททั้งนั้น (แต่เป็นเกียรตินิยม.ต้นๆ) เราเลยเริ่มประทับใจในระบบราชการที่เที่ยงตรงของที่นี่ ทำให้เริ่มชั่งใจจะเอาดีไม่เอาดีแว๊ แต่พ่อกับแม่และสามีรู้เท่านั้น เราโดนบังคับให้เลือกเป็นข้าราชการจ้า เวิ่นเว้อมาตั้งนาน จะบอกแค่ว่า เราคิดขอบคุณพ่อแม่ชาวไร่ชาวนาผู้ยิ่งใหญ่ ที่ขอร้องให้ลูกเป็นข้าราชการตั้งแต่ลูกยังเรียนไม่จบม.ต้นเลย เคยขอโทษพ่อแม่ไปที่เคยรำคาญใส่และเดินหนีทุกครั้งที่พ่อแม่พูดถึงคำว่าข้าราชการและคำว่าน้ำซึมบ่อทราย พอช่วงโควิดลูกก็ยิ่งเข้าใจพ่อแม่แล้ว แม้เงินเดือนจะน้อย แต่ก็ยิ่งทำให้ไม่ประมาทในชีวิต พอดีเห็นข้าราชการเกษียรแล้วลำบาก กลัว เลยต้องสมถะเรียบง่าย พอเพียง ใช้รถมือสองอย่างมีความสุขต่ไป แม้มันจะสต็าทยากก็ตาม
ปล จำเป็นต้องอ้างถึงอดีต เลยดันไปพาดพิงระบบอาจารย์มหาวิทยาลัยเดิมที่เคยทำงาน แต่ไม่ได้มีเจตนาเปรียบเทียบ และไม่ได้บอกว่าอาจารย์ข้าราชการดีกว่านะ เพราะ ทุกอย่างมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ทุกอาชีพแหละ แต่ขอพูดถึงแค่อาชีพสอนหนังสือด้วยกันนะคะ ณ จุนี้ แว่ เอ้ย ว่า การทำประโยชน์ให้คนอื่น ไม่จำเป็นต้องเป็นอาชีพข้าราชการ เพียงอย่างเดียว ให้มองที่ เนื้องาน มากกว่าเปลือกนอก อย่างความเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ก็สอนหนังสือให้ความรู้อนาคตของชาติไม่ต่างจากเป็นข้าราชการอาจารย์ ในเมื่อทำประโยชน์ให้สังคมเหมือนกัน สอนหนังสือ พัฒนาคนเหมือนกัน ความเป็นข้าราชการหรือพนักงาน ก็ไม่ใช่สาระสำคัญของการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเลย อย่ากดดันกับระบบจนลืมว่ายังมีกฎแห่งกรรมที่ยุติธรรมที่สุด ถ้าคิดถึงประโยชน์ของนักศึกษาและส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตน สักวันผลอันหอมหวานจะปรากฏ และมันคุ้มค่า...Credit from วันที่ฉันไม่มีหัวโขน และคนในพันทิป