●● มาแล้ว! 'อภิสิทธิ์' ร่ายยาวข้อคิดวิกฤตโควิด-19... ชี้ 'ฝ่ายเศรษฐกิจ-สาธารณสุข' ต้องประสานงานใกล้ชิด ●●
2 เม.ย.63 - นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โพสต์ข้อความเรื่องข้อคิดเกี่ยวกับวิกฤต CoVid-19 ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า ...
มีเพื่อนๆหลายคนในเพจอยากให้ผมแสดงทัศนะต่อปัญหาวิกฤติโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
ต้องบอกว่าช่วงที่ผ่านมาผมหลีกเลี่ยงการแสดงความคิดเห็นในทางสาธารณะ ไม่ใช่เพราะไม่ห่วงใยกับสภาพปัญหา
ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แต่ได้เลือกให้ความเห็นเป็นการส่วนตัวกับหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ประสงค์จะได้รับข้อคิดจากผม
ที่สำคัญเราอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เคยประสบมาก่อนและความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ยังมีจำกัด เช่น ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใคร
สรุปได้ชัดเจนทั้งหมดเกี่ยวกับหนทางการติดต่อของโรค คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้หน้ากากอนามัย หรือความเป็นไปได้
ที่บุคคลสามารถติดเชื้อซ้ำ
ทุกฝ่ายจึงจำเป็นจะต้องเข้าใจความยากลำบากของผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ
ผมจึงหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์ในทางสาธารณะต่อมาตรการต่าง ๆ ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งมีทั้งที่ผมเห็นด้วยและ
ไม่เห็นด้วย
อย่างไรก็ดีเมื่อรัฐบาลได้ประกาศภาวะฉุกเฉินมาเป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วและดูจะตั้งหลักได้ทั้งในการกำหนดมาตรการต่าง ๆ รวมถึงการสื่อสารที่เป็นเอกภาพมากขึ้น ผมจึงขอถ่ายทอดความคิดในประเด็นหลัก ๆ ในภาพรวมดังนี้
1. เราต้องไม่มองการบริหารสถานการณ์นี้เหมือนเป็นทางเลือกระหว่างการแก้ปัญหาเศรษฐกิจกับการแก้ปัญหาด้านสาธารณสุข
เพราะแท้ที่จริงแล้วสองเรื่องนี้ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ในขณะนี้ เนื่องจากตราบใดที่ปัญหาด้านสาธารณสุขไม่คลี่คลายไปอย่างชัดเจน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะปกติเพราะผลกระทบต่อฝ่ายต่าง ๆ และการขาด
ความเชื่อมั่น จะทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไม่ได้
ในทางกลับกันหากไม่มีมาตรการทางด้านเศรษฐกิจรองรับที่ดีพอปัญหาด้านสาธารณสุขก็จะจัดการไม่ได้เพราะ
ความจำเป็นของผู้คนที่จะอยู่รอดทางเศรษฐกิจจะส่งผลต่อความร่วมมือกับมาตรการต่าง ๆ หรือการหยุดการเคลื่อน
ย้ายเพื่อจัดระยะห่างทางสังคมก็จะไม่ประสบความสำเร็จ
การทำงานของทั้งฝ่ายเศรษฐกิจและฝ่ายสาธารณสุขจึงต้องประสานกันอย่างใกล้ชิดโดยมีเป้าหมายเดียว คือ
การสร้าง “สุขภาวะ” ให้กับสังคมและประชาชน
2. สถานการณ์ของไทยในขนาดนี้คล้ายๆกับหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียนคือไม่เลวร้ายเท่ากับจีนเมื่อต้นปี
หรือโลกตะวันตกในปัจจุบัน ซึ่งเป็นผลมาจากความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขไทยและบุคลากรทางการแพทย์
และสาธารณสุข รวมทั้งปัจจัยอื่น ๆ เช่น วัฒนธรรมการดำรงชีวิตหรือแม้แต่สภาพภูมิอากาศ
ขณะเดียวกันเราก็ยังไม่สามารถที่จะหยุดยั้งการติดเชื้อที่เติบโตขึ้นประมาณวันละร้อยกว่าคนได้ ซึ่งหากดำเนินต่อไป
แรงกดดันที่มีต่อระบบสาธารณสุขจะทำให้เกิดความสูญเสียที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและสุ่มเสี่ยงต่อการเข้าสู่สภาวะที่ควบคุมไม่ได้เช่นเดียวกับหลาย ๆ ประเทศ
นอกจากนี้มีข้อเท็จจริงที่เราต้องตระหนักคือจำนวนคนที่ได้รับการตรวจว่าติดเชื้อหรือไม่ในไทยถือว่าน้อยมากและ
ยังมียอดสะสมจำนวนที่รอผลการตรวจมากพอสมควร นอกจากนี้การที่เราเลือกตรวจเฉพาะผู้ที่มีอาการบ่งบอกว่า
เราน่าจะมีผู้ที่ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการและไม่ถูกยืนยันเป็นผู้ติดเชื้อประมาณสี่เท่าของจำนวนที่รายงานในปัจจุบันซึ่ง
คนเหล่านี้สามารถแพร่เชื้อไปยังคนอื่นได้
3. จากข้อเท็จจริงดังกล่าวมาตรการจัดระยะห่างทางสังคม จึงยังต้องดำเนินต่อไปและด้วยความเข้มงวดกวดขัน
มากขึ้น
ขณะที่การลงทุนที่เร่งด่วนที่สุดคือความพร้อมของระบบสาธารณสุขไม่ว่าจะเป็นการเตรียมห้องดูแลผู้ป่วยหนัก
เครื่องช่วยหายใจ อุปกรณ์ป้องกันสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เวชภัณฑ์ สถานที่กักกันสำหรับ
ผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรงหรือผู้ที่ต้องได้รับการเฝ้าดูอาการ บุคลากรและอาสาสมัครที่สามารถสนับสนุนการทำงาน
ของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขได้ โดยการยกเว้นภาษี เร่งรัดขั้นตอนการนำเข้าและการอนุญาตหรือ
แม้แต่สร้างมาตรการจูงใจให้เกิดการผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น
4. ที่เร่งด่วนที่สุดคือการจัดหาชุดตรวจเชื้อโควิด-19 ให้มากพอที่จะนำไปสู่การสุ่มตรวจประชากรที่ไม่มีอาการได้
อย่างกว้างขวาง
เพราะแม้มาตรการทางสังคมจะประสบความสำเร็จในการลดจำนวนผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันแล้ว การจะให้การใช้
ชีวิตและเศรษฐกิจกลับไปสู่ภาวะปกติจะทำได้ก็ต่อเมื่อมีการตรวจอย่างกว้างขวางเพื่อนำไปสู่การแยกตัวของผู้ติดเชื้ออย่างเคร่งครัด หากไม่สามารถดำเนินการได้ก็จะเกิดการระบาดรอบสองตามมาเหมือนกับที่เริ่มมีปัญหาแล้วในบางประเทศ จนถึงปัจจุบันความขาดแคลนของชุดตรวจเป็นที่ปรากฏชัดซึ่งต้องเร่งแก้ไข
5. รัฐบาลต้องทุ่มกำลังทางด้านงบประมาณไปสู่การช่วยเหลือให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถที่จะอยู่รอดได้
ทางเศรษฐกิจ
มาตรการที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันต้องให้มั่นใจว่าเกิดความครอบคลุม
รัฐบาลน่าจะเริ่มปรับระบบการช่วยเหลือทั้งหมดเข้าสู่หลักการการประกันรายได้ให้คนไทยทุกคนเพื่อให้การสนับสนุน
ของรัฐบาลนั้นไม่ลักลั่น ตกหล่น หรือซ้ำซ้อน มาตรการเหล่านี้นอกเหนือจากจะเป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชนแล้วยังต้องมีเป้าหมายในการช่วยลดภาระให้แก่ผู้ประกอบการซึ่งจะต้องมีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมอื่น ๆ
เพื่อให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตไปได้
6. สำหรับแหล่งเงินที่จะต้องใช้นั้น ฐานะการเงินการคลังของรัฐบาลไทย มีความเข้มแข็งเพียงพอจึงควรเร่งการสร้าง
ความมั่นใจด้วยการแสดงแหล่งที่มาของเงินเริ่มต้นจากการปรับลดงบประมาณในปีงบประมาณ 2563 ทั้งหมดที่
ไม่สามารถใช้ได้ตามปกติในช่วงหกเดือนที่เหลือ แล้วออกกฎหมายโอนมาเป็นงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤต
โควิด-19 เป็นการเฉพาะ
นอกเหนือจากจะได้เงินหลายแสนล้านบาทจากตรงนี้แล้วยังเป็นการส่งสัญญาณให้ประชาชนมองเห็นว่าทุกกระทรวง
และหน่วยราชการตระหนักถึงความจำเป็นในการบริหารเงินในยามวิกฤตได้เป็นอย่างดี หากจำนวนเงินไม่พอจึงจะใช้
วิธีการกู้เงินเพิ่มซึ่งยังอยู่ในวิสัยที่จะกระทำได้มากพอสมควร
7. การดำเนินการเกี่ยวกับงบประมาณและการกู้เงินนั้นหากนายกรัฐมนตรีจะเชิญผู้นำฝ่ายค้านปรึกษาหารือเป็น
พิเศษ และสามารถนำไปสู่ความร่วมมือของรัฐบาลและฝ่ายค้านในการอนุมัติเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว นอกเหนือจากจะ
เป็นประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาแล้วยังจะช่วยให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในระบบการเมืองการบริหารของประเทศ
มากขึ้น
8. ในการดำเนินการของรัฐบาลในทุกเรื่องในช่วงนี้แม้จะมีอำนาจพิเศษ แต่ต้องไม่ปิดกั้นการตรวจสอบและการมี
ส่วนร่วมของประชาชน ควรทำทุกเรื่องอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ให้เกิดความโปร่งใส
9. เมื่อวิกฤตนี้ผ่านพ้นไป กลไกและโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมตลอดจนการใช้ชีวิตของผู้คนคงไม่กลับไป
เหมือนเดิม รัฐบาลควรจัดให้มีการศึกษาถึงแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างโอกาสใหม่ ๆ
ให้ประเทศไทยและคนไทยต่อไป
ท้ายที่สุดนี้ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาในครั้งนี้โดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์
และสาธารณสุข และผู้ประกอบอาชีพอื่น ๆ ที่ต้องเสียสละและเผชิญความเสี่ยงเพื่อให้สังคมไทยเดินหน้าต่อไปได้
และหวังว่าพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนร่วมมือร่วมแรงร่วมใจเพื่อให้ประเทศของเราฝันฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปได้
Cr. :
https://www.thaipost.net/main/detail/61843
●● มาแล้ว! 'อภิสิทธิ์' ร่ายยาวข้อคิดวิกฤตโควิด-19... ชี้ 'ฝ่ายเศรษฐกิจ-สาธารณสุข' ต้องประสานงานใกล้ชิด ●●
2 เม.ย.63 - นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โพสต์ข้อความเรื่องข้อคิดเกี่ยวกับวิกฤต CoVid-19 ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า ...
มีเพื่อนๆหลายคนในเพจอยากให้ผมแสดงทัศนะต่อปัญหาวิกฤติโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
ต้องบอกว่าช่วงที่ผ่านมาผมหลีกเลี่ยงการแสดงความคิดเห็นในทางสาธารณะ ไม่ใช่เพราะไม่ห่วงใยกับสภาพปัญหา
ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แต่ได้เลือกให้ความเห็นเป็นการส่วนตัวกับหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ประสงค์จะได้รับข้อคิดจากผม
ที่สำคัญเราอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เคยประสบมาก่อนและความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ยังมีจำกัด เช่น ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใคร
สรุปได้ชัดเจนทั้งหมดเกี่ยวกับหนทางการติดต่อของโรค คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้หน้ากากอนามัย หรือความเป็นไปได้
ที่บุคคลสามารถติดเชื้อซ้ำ
ทุกฝ่ายจึงจำเป็นจะต้องเข้าใจความยากลำบากของผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ
ผมจึงหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์ในทางสาธารณะต่อมาตรการต่าง ๆ ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งมีทั้งที่ผมเห็นด้วยและ
ไม่เห็นด้วย
อย่างไรก็ดีเมื่อรัฐบาลได้ประกาศภาวะฉุกเฉินมาเป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วและดูจะตั้งหลักได้ทั้งในการกำหนดมาตรการต่าง ๆ รวมถึงการสื่อสารที่เป็นเอกภาพมากขึ้น ผมจึงขอถ่ายทอดความคิดในประเด็นหลัก ๆ ในภาพรวมดังนี้
1. เราต้องไม่มองการบริหารสถานการณ์นี้เหมือนเป็นทางเลือกระหว่างการแก้ปัญหาเศรษฐกิจกับการแก้ปัญหาด้านสาธารณสุข
เพราะแท้ที่จริงแล้วสองเรื่องนี้ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ในขณะนี้ เนื่องจากตราบใดที่ปัญหาด้านสาธารณสุขไม่คลี่คลายไปอย่างชัดเจน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะปกติเพราะผลกระทบต่อฝ่ายต่าง ๆ และการขาด
ความเชื่อมั่น จะทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไม่ได้
ในทางกลับกันหากไม่มีมาตรการทางด้านเศรษฐกิจรองรับที่ดีพอปัญหาด้านสาธารณสุขก็จะจัดการไม่ได้เพราะ
ความจำเป็นของผู้คนที่จะอยู่รอดทางเศรษฐกิจจะส่งผลต่อความร่วมมือกับมาตรการต่าง ๆ หรือการหยุดการเคลื่อน
ย้ายเพื่อจัดระยะห่างทางสังคมก็จะไม่ประสบความสำเร็จ
การทำงานของทั้งฝ่ายเศรษฐกิจและฝ่ายสาธารณสุขจึงต้องประสานกันอย่างใกล้ชิดโดยมีเป้าหมายเดียว คือ
การสร้าง “สุขภาวะ” ให้กับสังคมและประชาชน
2. สถานการณ์ของไทยในขนาดนี้คล้ายๆกับหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียนคือไม่เลวร้ายเท่ากับจีนเมื่อต้นปี
หรือโลกตะวันตกในปัจจุบัน ซึ่งเป็นผลมาจากความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขไทยและบุคลากรทางการแพทย์
และสาธารณสุข รวมทั้งปัจจัยอื่น ๆ เช่น วัฒนธรรมการดำรงชีวิตหรือแม้แต่สภาพภูมิอากาศ
ขณะเดียวกันเราก็ยังไม่สามารถที่จะหยุดยั้งการติดเชื้อที่เติบโตขึ้นประมาณวันละร้อยกว่าคนได้ ซึ่งหากดำเนินต่อไป
แรงกดดันที่มีต่อระบบสาธารณสุขจะทำให้เกิดความสูญเสียที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและสุ่มเสี่ยงต่อการเข้าสู่สภาวะที่ควบคุมไม่ได้เช่นเดียวกับหลาย ๆ ประเทศ
นอกจากนี้มีข้อเท็จจริงที่เราต้องตระหนักคือจำนวนคนที่ได้รับการตรวจว่าติดเชื้อหรือไม่ในไทยถือว่าน้อยมากและ
ยังมียอดสะสมจำนวนที่รอผลการตรวจมากพอสมควร นอกจากนี้การที่เราเลือกตรวจเฉพาะผู้ที่มีอาการบ่งบอกว่า
เราน่าจะมีผู้ที่ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการและไม่ถูกยืนยันเป็นผู้ติดเชื้อประมาณสี่เท่าของจำนวนที่รายงานในปัจจุบันซึ่ง
คนเหล่านี้สามารถแพร่เชื้อไปยังคนอื่นได้
3. จากข้อเท็จจริงดังกล่าวมาตรการจัดระยะห่างทางสังคม จึงยังต้องดำเนินต่อไปและด้วยความเข้มงวดกวดขัน
มากขึ้น
ขณะที่การลงทุนที่เร่งด่วนที่สุดคือความพร้อมของระบบสาธารณสุขไม่ว่าจะเป็นการเตรียมห้องดูแลผู้ป่วยหนัก
เครื่องช่วยหายใจ อุปกรณ์ป้องกันสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เวชภัณฑ์ สถานที่กักกันสำหรับ
ผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรงหรือผู้ที่ต้องได้รับการเฝ้าดูอาการ บุคลากรและอาสาสมัครที่สามารถสนับสนุนการทำงาน
ของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขได้ โดยการยกเว้นภาษี เร่งรัดขั้นตอนการนำเข้าและการอนุญาตหรือ
แม้แต่สร้างมาตรการจูงใจให้เกิดการผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น
4. ที่เร่งด่วนที่สุดคือการจัดหาชุดตรวจเชื้อโควิด-19 ให้มากพอที่จะนำไปสู่การสุ่มตรวจประชากรที่ไม่มีอาการได้
อย่างกว้างขวาง
เพราะแม้มาตรการทางสังคมจะประสบความสำเร็จในการลดจำนวนผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันแล้ว การจะให้การใช้
ชีวิตและเศรษฐกิจกลับไปสู่ภาวะปกติจะทำได้ก็ต่อเมื่อมีการตรวจอย่างกว้างขวางเพื่อนำไปสู่การแยกตัวของผู้ติดเชื้ออย่างเคร่งครัด หากไม่สามารถดำเนินการได้ก็จะเกิดการระบาดรอบสองตามมาเหมือนกับที่เริ่มมีปัญหาแล้วในบางประเทศ จนถึงปัจจุบันความขาดแคลนของชุดตรวจเป็นที่ปรากฏชัดซึ่งต้องเร่งแก้ไข
5. รัฐบาลต้องทุ่มกำลังทางด้านงบประมาณไปสู่การช่วยเหลือให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถที่จะอยู่รอดได้
ทางเศรษฐกิจ
มาตรการที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันต้องให้มั่นใจว่าเกิดความครอบคลุม
รัฐบาลน่าจะเริ่มปรับระบบการช่วยเหลือทั้งหมดเข้าสู่หลักการการประกันรายได้ให้คนไทยทุกคนเพื่อให้การสนับสนุน
ของรัฐบาลนั้นไม่ลักลั่น ตกหล่น หรือซ้ำซ้อน มาตรการเหล่านี้นอกเหนือจากจะเป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชนแล้วยังต้องมีเป้าหมายในการช่วยลดภาระให้แก่ผู้ประกอบการซึ่งจะต้องมีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมอื่น ๆ
เพื่อให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตไปได้
6. สำหรับแหล่งเงินที่จะต้องใช้นั้น ฐานะการเงินการคลังของรัฐบาลไทย มีความเข้มแข็งเพียงพอจึงควรเร่งการสร้าง
ความมั่นใจด้วยการแสดงแหล่งที่มาของเงินเริ่มต้นจากการปรับลดงบประมาณในปีงบประมาณ 2563 ทั้งหมดที่
ไม่สามารถใช้ได้ตามปกติในช่วงหกเดือนที่เหลือ แล้วออกกฎหมายโอนมาเป็นงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤต
โควิด-19 เป็นการเฉพาะ
นอกเหนือจากจะได้เงินหลายแสนล้านบาทจากตรงนี้แล้วยังเป็นการส่งสัญญาณให้ประชาชนมองเห็นว่าทุกกระทรวง
และหน่วยราชการตระหนักถึงความจำเป็นในการบริหารเงินในยามวิกฤตได้เป็นอย่างดี หากจำนวนเงินไม่พอจึงจะใช้
วิธีการกู้เงินเพิ่มซึ่งยังอยู่ในวิสัยที่จะกระทำได้มากพอสมควร
7. การดำเนินการเกี่ยวกับงบประมาณและการกู้เงินนั้นหากนายกรัฐมนตรีจะเชิญผู้นำฝ่ายค้านปรึกษาหารือเป็น
พิเศษ และสามารถนำไปสู่ความร่วมมือของรัฐบาลและฝ่ายค้านในการอนุมัติเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว นอกเหนือจากจะ
เป็นประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาแล้วยังจะช่วยให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในระบบการเมืองการบริหารของประเทศ
มากขึ้น
8. ในการดำเนินการของรัฐบาลในทุกเรื่องในช่วงนี้แม้จะมีอำนาจพิเศษ แต่ต้องไม่ปิดกั้นการตรวจสอบและการมี
ส่วนร่วมของประชาชน ควรทำทุกเรื่องอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ให้เกิดความโปร่งใส
9. เมื่อวิกฤตนี้ผ่านพ้นไป กลไกและโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมตลอดจนการใช้ชีวิตของผู้คนคงไม่กลับไป
เหมือนเดิม รัฐบาลควรจัดให้มีการศึกษาถึงแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างโอกาสใหม่ ๆ
ให้ประเทศไทยและคนไทยต่อไป
ท้ายที่สุดนี้ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาในครั้งนี้โดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์
และสาธารณสุข และผู้ประกอบอาชีพอื่น ๆ ที่ต้องเสียสละและเผชิญความเสี่ยงเพื่อให้สังคมไทยเดินหน้าต่อไปได้
และหวังว่าพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนร่วมมือร่วมแรงร่วมใจเพื่อให้ประเทศของเราฝันฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปได้
Cr. : https://www.thaipost.net/main/detail/61843