เรื่องย่อ
ว่าด้วยเรื่องราวของไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดน ออร์โตแมมโมรี่ดอล์ที่ถูกจ้างไปเพื่อฝึกสอนและอบรมอิซซาเบลล่า ยอร์กให้เป็นหญิงสาวแบบเต็มตัว ณ โรงเรียนสตรีชั้นที่อิซซาเบลล่ามองว่าเป็นดั่งคุกที่กักขังจองจำเธอไม่ให้ได้อิสระเหมือนอย่างผู้อื่น
ความรู้สึกหลังรับชม
"รู้สึกว่าฝีมือตกพอสมควร เมื่อเอาไปเทียบกับฉบับทีวีซีรีส์"
- สิ่งที่ชอบอยู่หลักๆเลยของมูฟวี่นี้คงเป็นไอเดียของการนำอาชีพ อาชีพที่บางคนอาจมองข้าม อย่างอาชีพบุรุษไปรษณีย์มาตีความและให้นิยามกับอาชีพนี้ว่าหน้าที่ของเขาคืออะไร
- การเก็บรายละเอียดตัวละคร ค่อนข้างทำได้ดี เราจะได้เห็นบางตัวละครที่เปลี่ยนแปลงการกระทำไปเมื่อพบเจอเหตุการณ์บางอย่างและเติบโตขึ้น ตรงส่วนนี้เป็นส่วนที่ทำได้ดีตั้งแต่ฉบับทีวีซีรีส์แล้วก็ว่าได้
- การชูบทของตัวละครบางตัวที่แทบจะไม่มีบทบาท เป็นเพียงตัวละครที่ใช้ในการเดินเรื่องยิบย่อยขึ้นมาให้เด่นชัดยิ่งขึ้นและเพิ่มมิติ พฤติกรรม การเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นมาจนตัวละครนี้แทบจะกลายเป็นคนขึ้นมาอีกตัว หลังจากที่แบนราบมานานในฉบับทีวีซีรีส์
- หนังสร้างโลกขึ้นมาเพิ่มเติมได้อย่างดีและชาญฉลาดในเวลาเดียวกัน เราได้เห็นการพัฒนาของบ้านเมือง เทคโนโลยีใหม่ๆที่คนในสมัยนั้นยังใช้กันไม่เป็นและเอาแต่คอยถามว่ามันคืออะไร การเปลี่ยนแปลงด้านแนวคิดของประชาชนที่ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับอดีตหรือธรรมเนียมที่คนทั่วไปเขาทำกัน ถึงตรงนี้หนังจะแตะเพียงนิดเดียว แต่สำหรับผมมองว่าเป็นการสร้างโลกที่ดีและเก็บรายละเอียดได้คล้ายคลึงกับความจริงได้พอสมควรเลยทีเดียว ผมคิดว่าตรงจุดนี้สามารถนำไปใช้ขายและเพิ่มมิติให้บางตัวละครเพิ่มเติมได้ใน Project นี้อีกพอสมควรเลย
- เรื่องการเดินเรื่องและมูดโทนของหนังก็แทบจะเหมือนกันกับฉบับทีวีซีรีส์เกือบจะทั้งหมด มีทั้งความเจ็บปวด ความเศร้า แต่ก็ยังอบอุ่นและงดงามในเวลาเดียวกัน
สิ่งที่ไม่ชอบ
- ตัวหนังไม่สุดเลย ตัวหนังถูกหั่นเป็นสองพาร์ทคือพาร์ท ของอิซซาเบลล่าและพาร์ทของเทเลอร์ ทั้งสองพาร์ท ไม่มีศักยภาพและความสามารถพอที่จะดึงอารมณ์คนดูให้คล้อยตามไปในส่วนดราม่าของเนื้อเรื่องและกระแทกใจได้อย่างถึงที่สุดทั้งที่มีเวลามากกว่าฉบับซีรีส์ที่มีความยาวที่แค่ตอนละ 20 นาทีแต่บางตอนสามารถทำให้คนดูน้ำตาแตกได้ คงอาจมองเห็นได้ชัดเลยว่าการทำดราม่าของเขามาตรฐานตกพอสมควร ส่วนตัวค่อนข้างผิดหวังในส่วนนี้อย่างค่อนข้างจะรุนแรง เพราะส่วนตัวก่อนดูให้ความหวังกับเรื่องดราม่าไว้เยอะมากแต่กลับทำออกมาได้ค่อนข้างจะไม่สุดสำหรับผม ผมคิดว่าทีมนี้ทำได้ดีกว่านี้ครับตรงจุดนี้
- ตัวเนื้อเรื่องบางส่วนอาจเป็นเรื่องที่ไกลตัวสำหรับเด็กสมัยนี้ไปหน่อย เช่นเรื่องการเขียนจดหมาย คิดว่าเด็กสมัยนี้ไปดูอาจอินประเด็นนี้กันยากพอสมควร เพราะเกิดมาในยุคของเทคโนโลยี อะไรก็เร็วไปหมด คิดถึงกันก็แค่ใช้อินเทอร์เน็ตติดต่อกันได้อย่างง่ายดาย ต่างจากคนสมัยก่อนที่ติดต่อกันได้ยากลำบากและจะติดต่อผ่านกันได้ทางเดียวคือจดหมาย
- เรื่องงานภาพ สำหรับผมมองว่าก็โอเค แต่ยังมีบางจุดที่แอบเผา แต่มันมีน้อยมากๆ ยังไม่อยากรวมไปในสิ่งที่ไม่ชอบด้วยซ้ำ เพราะมันน้อยมากถ้าไม่สังเกตจริงคงมองไม่ค่อยเห็น
สรุป
เป็นอนิเมชั่นดราม่า ที่ทำออกมาได้โอเคแม้เรื่องบทจะไม่สุดไปบ้าง แต่ก็ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับเนื้อเรื่องได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
ให้ 6.5/10 ครับ
เรื่องนี้ความจริงอยากดูตั้งแต่มันอยู่ในโรงแล้วแต่ไม่มีโอกาสได้ไปเพราะ ทั้งรอบฉายน้อย ทั้งโรงน้อย กว่าจะได้ดูก็วันนี้นี่แหละครับ
ก็ถ้าใครว่างๆ ช่วงนี้กักตัวอยู่บ้าน หาอะไรดู ก็แนะนำให้เก็บกันนะครับสำหรับ Violet Evergarden
มีทั้งทีวีซีรีส์ 12 ตอน OVA 1 ตอน และล่าสุดก็มูฟวี่ตัวนี้แหละที่พึ่งเข้า ทาง Netflix นะครับ มีครบทุกตอนดูไม่สะดุดแน่นอนครับ!
ความจริงไม่ต้องดูฉบับทีวีซีรีส์ก็ดูรู้เรื่องอยู่บ้าง แต่สำหรับผมแนะนำว่าให้ไปเก็บฉบับทีวีซีรีส์แล้วค่อยดูนะครับ
ได้ข่าวมาว่าจะมีมูฟวี่อีกตัวมาเร็วๆนี้ เหมือนตัวนี้จะเป็นแค่ Side-story หรือเนื้อเรื่องเสริมนี่แหละ ก็มารอดูกันต่อไปนะครับ ว่าไวโอเล็ตจะได้พบกับผู้พันหรือเปล่า
[CR] Review : Violet Evergarden Gaiden | กับมาตรฐานที่ตกลง
ว่าด้วยเรื่องราวของไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดน ออร์โตแมมโมรี่ดอล์ที่ถูกจ้างไปเพื่อฝึกสอนและอบรมอิซซาเบลล่า ยอร์กให้เป็นหญิงสาวแบบเต็มตัว ณ โรงเรียนสตรีชั้นที่อิซซาเบลล่ามองว่าเป็นดั่งคุกที่กักขังจองจำเธอไม่ให้ได้อิสระเหมือนอย่างผู้อื่น
"รู้สึกว่าฝีมือตกพอสมควร เมื่อเอาไปเทียบกับฉบับทีวีซีรีส์"
- สิ่งที่ชอบอยู่หลักๆเลยของมูฟวี่นี้คงเป็นไอเดียของการนำอาชีพ อาชีพที่บางคนอาจมองข้าม อย่างอาชีพบุรุษไปรษณีย์มาตีความและให้นิยามกับอาชีพนี้ว่าหน้าที่ของเขาคืออะไร
- การเก็บรายละเอียดตัวละคร ค่อนข้างทำได้ดี เราจะได้เห็นบางตัวละครที่เปลี่ยนแปลงการกระทำไปเมื่อพบเจอเหตุการณ์บางอย่างและเติบโตขึ้น ตรงส่วนนี้เป็นส่วนที่ทำได้ดีตั้งแต่ฉบับทีวีซีรีส์แล้วก็ว่าได้
- การชูบทของตัวละครบางตัวที่แทบจะไม่มีบทบาท เป็นเพียงตัวละครที่ใช้ในการเดินเรื่องยิบย่อยขึ้นมาให้เด่นชัดยิ่งขึ้นและเพิ่มมิติ พฤติกรรม การเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นมาจนตัวละครนี้แทบจะกลายเป็นคนขึ้นมาอีกตัว หลังจากที่แบนราบมานานในฉบับทีวีซีรีส์
- หนังสร้างโลกขึ้นมาเพิ่มเติมได้อย่างดีและชาญฉลาดในเวลาเดียวกัน เราได้เห็นการพัฒนาของบ้านเมือง เทคโนโลยีใหม่ๆที่คนในสมัยนั้นยังใช้กันไม่เป็นและเอาแต่คอยถามว่ามันคืออะไร การเปลี่ยนแปลงด้านแนวคิดของประชาชนที่ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับอดีตหรือธรรมเนียมที่คนทั่วไปเขาทำกัน ถึงตรงนี้หนังจะแตะเพียงนิดเดียว แต่สำหรับผมมองว่าเป็นการสร้างโลกที่ดีและเก็บรายละเอียดได้คล้ายคลึงกับความจริงได้พอสมควรเลยทีเดียว ผมคิดว่าตรงจุดนี้สามารถนำไปใช้ขายและเพิ่มมิติให้บางตัวละครเพิ่มเติมได้ใน Project นี้อีกพอสมควรเลย
- เรื่องการเดินเรื่องและมูดโทนของหนังก็แทบจะเหมือนกันกับฉบับทีวีซีรีส์เกือบจะทั้งหมด มีทั้งความเจ็บปวด ความเศร้า แต่ก็ยังอบอุ่นและงดงามในเวลาเดียวกัน
- ตัวหนังไม่สุดเลย ตัวหนังถูกหั่นเป็นสองพาร์ทคือพาร์ท ของอิซซาเบลล่าและพาร์ทของเทเลอร์ ทั้งสองพาร์ท ไม่มีศักยภาพและความสามารถพอที่จะดึงอารมณ์คนดูให้คล้อยตามไปในส่วนดราม่าของเนื้อเรื่องและกระแทกใจได้อย่างถึงที่สุดทั้งที่มีเวลามากกว่าฉบับซีรีส์ที่มีความยาวที่แค่ตอนละ 20 นาทีแต่บางตอนสามารถทำให้คนดูน้ำตาแตกได้ คงอาจมองเห็นได้ชัดเลยว่าการทำดราม่าของเขามาตรฐานตกพอสมควร ส่วนตัวค่อนข้างผิดหวังในส่วนนี้อย่างค่อนข้างจะรุนแรง เพราะส่วนตัวก่อนดูให้ความหวังกับเรื่องดราม่าไว้เยอะมากแต่กลับทำออกมาได้ค่อนข้างจะไม่สุดสำหรับผม ผมคิดว่าทีมนี้ทำได้ดีกว่านี้ครับตรงจุดนี้
- ตัวเนื้อเรื่องบางส่วนอาจเป็นเรื่องที่ไกลตัวสำหรับเด็กสมัยนี้ไปหน่อย เช่นเรื่องการเขียนจดหมาย คิดว่าเด็กสมัยนี้ไปดูอาจอินประเด็นนี้กันยากพอสมควร เพราะเกิดมาในยุคของเทคโนโลยี อะไรก็เร็วไปหมด คิดถึงกันก็แค่ใช้อินเทอร์เน็ตติดต่อกันได้อย่างง่ายดาย ต่างจากคนสมัยก่อนที่ติดต่อกันได้ยากลำบากและจะติดต่อผ่านกันได้ทางเดียวคือจดหมาย
- เรื่องงานภาพ สำหรับผมมองว่าก็โอเค แต่ยังมีบางจุดที่แอบเผา แต่มันมีน้อยมากๆ ยังไม่อยากรวมไปในสิ่งที่ไม่ชอบด้วยซ้ำ เพราะมันน้อยมากถ้าไม่สังเกตจริงคงมองไม่ค่อยเห็น
สรุป
เป็นอนิเมชั่นดราม่า ที่ทำออกมาได้โอเคแม้เรื่องบทจะไม่สุดไปบ้าง แต่ก็ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับเนื้อเรื่องได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
ให้ 6.5/10 ครับ
เรื่องนี้ความจริงอยากดูตั้งแต่มันอยู่ในโรงแล้วแต่ไม่มีโอกาสได้ไปเพราะ ทั้งรอบฉายน้อย ทั้งโรงน้อย กว่าจะได้ดูก็วันนี้นี่แหละครับ
ก็ถ้าใครว่างๆ ช่วงนี้กักตัวอยู่บ้าน หาอะไรดู ก็แนะนำให้เก็บกันนะครับสำหรับ Violet Evergarden
มีทั้งทีวีซีรีส์ 12 ตอน OVA 1 ตอน และล่าสุดก็มูฟวี่ตัวนี้แหละที่พึ่งเข้า ทาง Netflix นะครับ มีครบทุกตอนดูไม่สะดุดแน่นอนครับ!
ความจริงไม่ต้องดูฉบับทีวีซีรีส์ก็ดูรู้เรื่องอยู่บ้าง แต่สำหรับผมแนะนำว่าให้ไปเก็บฉบับทีวีซีรีส์แล้วค่อยดูนะครับ
ได้ข่าวมาว่าจะมีมูฟวี่อีกตัวมาเร็วๆนี้ เหมือนตัวนี้จะเป็นแค่ Side-story หรือเนื้อเรื่องเสริมนี่แหละ ก็มารอดูกันต่อไปนะครับ ว่าไวโอเล็ตจะได้พบกับผู้พันหรือเปล่า
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ข้อมูลเพิ่มเติม