หลังจากโควิด-19ระบาด
ผมก็ได้เรียนรู้และเข้าใจเรื่องความเสี่ยงการลงทุนมากขึ้นในหลายแง่มุม
อย่างกรณีของตราสารหนี้ที่เรามองว่าไม่เสี่ยง กลายเป็นว่ามีความเสี่ยงกว่าที่เราคิด
ปกติถ้าเกิดความผันผวนในตลาดตราสารทุนมากๆ
คนก็จะย้ายเงินไปหลบภัยในตราสารหนี้
แต่หากเป็นกรณีที่มีความกังวลมากๆ อย่างกรณีโรคระบาด โควิด-19
คนก็จะเชื่อมั่นตราสารหนี้น้อยลง เพราะกังวลหลายอย่าง ทั้งสภาพคล่อง ทั้งผลตอบแทน
ทำให้มีเงินไหลออกจากตราสารหนี้มาก ราคาตราสารหนี้ลดลง
เพราะคนหันไปถือเงินสด หรือถือทองคำแทน
จากตราสารหนี้ที่คิดว่าราคาไม่ค่อยลง ก็กลายเป็นราคาไหลลงหลายวันติดต่อกัน
เมื่อก่อนคนคิดว่าตราสารหนี้สภาพคล่องต่ำ เพราะต้องถือยาวเป็นสิบปี
แถมต้องลงทุนขั้นต่ำ 1แสนบาท
คนเลยหันไปพึ่งพากองทุนรวมตราสารหนี้กันมากขึ้น
เพราะใช้เงินน้อยกว่า ลงทุนขั้นต่ำ500
แถมสภาพคล่องสูลกว่า เพราะขายได้เงิน T+1
แต่พอมีโควิด-19 กลายเป็นว่า เมื่อคนเทขายกองทุนรวมตราสารหนี้มากๆ
ผจก.กองทุนก็ต้องก็ต้องนำเงินมาคืน โดยถ้าเงินสดในกองทุนไม่พอทำให้ต้องขายตราสารหนี้ที่ถืออยู่ออกมาจริงๆ
และเมื่อตลาดตราสารหนี้สภาพคล่องต่ำอยู่แล้ว อยากขายได้เงินเพื่อมาคืนผู้ลงทุนก็ต้องขายราคาต่ำกว่าตลาด
ราคาก็ยิ่งลงไปอีก คนตกใจก็ขายเพิ่มอีก
กองทุนเลยจัดการโดยขยายเวลาคืนเงิน
จาก T+1 เป็น T+5 กลายเป็นว่า จากที่เคยเข้าใจว่ากองทุนรวมตราสารหนี้มีสภาพคล่องสูง
ก็ต้องมองมุมใหม่ว่าสภาพคล่องอาจลดลงได้เหมือนกันถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้
คนที่มีเงินเย็นไม่เท่าไหร่ รอได้ แต่คนที่เงินไม่เย็นพอ เผื่อจำเป็นต้องใช้เงินฉุกเฉิน ก็จะต้องระวังเรืองสภาพคล่องตรงนี้ไว้ด้วย
และหากเกิดการขายออกมามากๆอย่างต่อเนื่องจนถึงเกณฑ์ ก็จำเป็นต้องปิดกองเพื่อรักษาผลตอบแทนไม่ให้ลดลงไปมากกว่านี้
กลายเป็นว่าคนที่เพิ่งเข้ามาในกองทุนรวมตราสารหนี้ ยังไม่ทันได้กำไรก็ถูกปิดกอง บังคับขายคืน ได้เงินคืนไม่เต็มจำนวน
ส่วนใครลงทุนมาสักระยะก็พอจะได้กำไรบ้าง เมื่อปิดกองก็ได้เงินต้นคืนครบ พร้อมกำไรนิดหน่อย
อันนี้ก็ถือเป็นความเสี่ยงที่ในช่วงเวลาปกติเราจะไม่ค่อยได้คิดถึง
และยังมีอีกหลายๆแง่มุมที่เราได้เรียนรู้ถึงความเสี่ยงเมื่อเกิดเหตุวิกฤติ
ก็อยากจะแชร์กับเพื่อนๆครับ ว่าให้บริหารความเสี่ยงตามที่ตัวเองรับไหว
อะไรที่เราเคยเข้าใจ บางครั้งอาจจะยังเข้าใจไม่เพียงพอ
ก็ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เพื่อที่จะสามารถบริหารความเสี่ยงได้ในยามวิกฤติครับ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็มองว่าไม่ควรหยุดลงทุน ควรจะ stay invest แม้ในยามวิกฤติ
แต่อาจต้องบริหารความเสี่ยงดีๆ
เป็นกำลังใจให้ผู้ลงทุนทุกคนครับ
ขอบคุณครับ
วิกฤติสอนเราเรื่องความเสี่ยง
ผมก็ได้เรียนรู้และเข้าใจเรื่องความเสี่ยงการลงทุนมากขึ้นในหลายแง่มุม
อย่างกรณีของตราสารหนี้ที่เรามองว่าไม่เสี่ยง กลายเป็นว่ามีความเสี่ยงกว่าที่เราคิด
ปกติถ้าเกิดความผันผวนในตลาดตราสารทุนมากๆ
คนก็จะย้ายเงินไปหลบภัยในตราสารหนี้
แต่หากเป็นกรณีที่มีความกังวลมากๆ อย่างกรณีโรคระบาด โควิด-19
คนก็จะเชื่อมั่นตราสารหนี้น้อยลง เพราะกังวลหลายอย่าง ทั้งสภาพคล่อง ทั้งผลตอบแทน
ทำให้มีเงินไหลออกจากตราสารหนี้มาก ราคาตราสารหนี้ลดลง
เพราะคนหันไปถือเงินสด หรือถือทองคำแทน
จากตราสารหนี้ที่คิดว่าราคาไม่ค่อยลง ก็กลายเป็นราคาไหลลงหลายวันติดต่อกัน
เมื่อก่อนคนคิดว่าตราสารหนี้สภาพคล่องต่ำ เพราะต้องถือยาวเป็นสิบปี
แถมต้องลงทุนขั้นต่ำ 1แสนบาท
คนเลยหันไปพึ่งพากองทุนรวมตราสารหนี้กันมากขึ้น
เพราะใช้เงินน้อยกว่า ลงทุนขั้นต่ำ500
แถมสภาพคล่องสูลกว่า เพราะขายได้เงิน T+1
แต่พอมีโควิด-19 กลายเป็นว่า เมื่อคนเทขายกองทุนรวมตราสารหนี้มากๆ
ผจก.กองทุนก็ต้องก็ต้องนำเงินมาคืน โดยถ้าเงินสดในกองทุนไม่พอทำให้ต้องขายตราสารหนี้ที่ถืออยู่ออกมาจริงๆ
และเมื่อตลาดตราสารหนี้สภาพคล่องต่ำอยู่แล้ว อยากขายได้เงินเพื่อมาคืนผู้ลงทุนก็ต้องขายราคาต่ำกว่าตลาด
ราคาก็ยิ่งลงไปอีก คนตกใจก็ขายเพิ่มอีก
กองทุนเลยจัดการโดยขยายเวลาคืนเงิน
จาก T+1 เป็น T+5 กลายเป็นว่า จากที่เคยเข้าใจว่ากองทุนรวมตราสารหนี้มีสภาพคล่องสูง
ก็ต้องมองมุมใหม่ว่าสภาพคล่องอาจลดลงได้เหมือนกันถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้
คนที่มีเงินเย็นไม่เท่าไหร่ รอได้ แต่คนที่เงินไม่เย็นพอ เผื่อจำเป็นต้องใช้เงินฉุกเฉิน ก็จะต้องระวังเรืองสภาพคล่องตรงนี้ไว้ด้วย
และหากเกิดการขายออกมามากๆอย่างต่อเนื่องจนถึงเกณฑ์ ก็จำเป็นต้องปิดกองเพื่อรักษาผลตอบแทนไม่ให้ลดลงไปมากกว่านี้
กลายเป็นว่าคนที่เพิ่งเข้ามาในกองทุนรวมตราสารหนี้ ยังไม่ทันได้กำไรก็ถูกปิดกอง บังคับขายคืน ได้เงินคืนไม่เต็มจำนวน
ส่วนใครลงทุนมาสักระยะก็พอจะได้กำไรบ้าง เมื่อปิดกองก็ได้เงินต้นคืนครบ พร้อมกำไรนิดหน่อย
อันนี้ก็ถือเป็นความเสี่ยงที่ในช่วงเวลาปกติเราจะไม่ค่อยได้คิดถึง
และยังมีอีกหลายๆแง่มุมที่เราได้เรียนรู้ถึงความเสี่ยงเมื่อเกิดเหตุวิกฤติ
ก็อยากจะแชร์กับเพื่อนๆครับ ว่าให้บริหารความเสี่ยงตามที่ตัวเองรับไหว
อะไรที่เราเคยเข้าใจ บางครั้งอาจจะยังเข้าใจไม่เพียงพอ
ก็ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เพื่อที่จะสามารถบริหารความเสี่ยงได้ในยามวิกฤติครับ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็มองว่าไม่ควรหยุดลงทุน ควรจะ stay invest แม้ในยามวิกฤติ
แต่อาจต้องบริหารความเสี่ยงดีๆ
เป็นกำลังใจให้ผู้ลงทุนทุกคนครับ
ขอบคุณครับ