ได้กลายเป็นประเด็นที่ถูกยกถามว่า "การตรวจรักษาโควิดในอังกฤษกับไทยใครดีกว่ากัน?" ไปแล้วกรณีน้องที่เป็นไข้สูงในอังกฤษแล้วดิ้นรนกลับไทยจนได้และที่นั่นได้ตรวจพบว่าน้องติดเชื้อโควิด-19 ได้อ่านบันทึกของน้องแล้วก็ให้รู้สึกสะท้อนใจหลายอย่างต่อเหตุการณ์ ต่อพฤติกรรมของน้อง ทั้งเห็นใจ ทั้งขุ่นใจ ยิ่งเรื่องถูกตีแผ่และแชร์ก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีหลายๆ ด้าน ทราบว่าตอนนี้หนังสือข่าวสารสำหรับคนไทยในอังกฤษก็ได้นำมาตีแผ่เรื่องราวของน้องด้วย
ผมอนุมานตามสถานการณ์ว่า น้องคงเกิดความไม่พอในบริการ NHS และไม่ได้รับการสนองตอบอย่างทันทีทันใด สุดท้ายน้องจึงต้องดิ้นรนหาทางกลับเมืองไทย หารู้ไม่ว่าการตัดสินตรงนั้นน้องได้ดึงเอาหลายต่อหลายชีวิตมาเสี่ยงกับเจ้าไวรัสร้ายตัวนี้
ผมอยู่อังกฤษมาจะเข้า30 ปีแล้ว เคยเป็นพนักงานดูระบบคอมพ์ฯ ที่โรงพยาบาลมาหลายปี เข้าใจระบบการทำงานของ NHS ดี ความจริงไม่ต้องอยู่อังกฤษนานก็เข้าใจระบบได้โดยไม่ยากเลย (ซึ่งตัวน้องเองก็น่าจะเข้าใจระดับหนึ่ง) แม้ก่อนหน้านั้นภาครัฐก็ออกมาแถลงแล้วว่าถ้าป่วยก็ให้กักตัวที่บ้านอย่าเดินทางไปโรงพยาบาล แต่น้องก็เดินทางไปอยู่ดีและได้แจ้งให้กลับมากักตัวที่บ้าน ไม่รู้นะ...น้องอาจจะเคยชินการเข้าโรงพยาบาล (เอกชน) ที่เมืองไทยก็ได้ประเภทเข้ารพ. ปั๊บก็เจอหมอปุ๊บ ส่วนที่อังกฤษไม่ใช่เลย..น้องก็น่าจะรู้ตรงนี้ดี
เอาล่ะ...ถ้าน้องคิดว่าน้องไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างดีหรือตามที่น้องคาดหวัง ผมมีเคสจริงให้น้องได้รับทราบ อาทิตย์ที่ผ่านมาลูกชายของผมป่วยตัวร้อนผ่าว ถึงกับนอนซมอยู่สามวัน หัวอกผู้เป็นพ่ออย่างผมคิดได้อย่างเดียว "โควิด-19 แน่ๆ " ภรรยาของผม (ชาวอังกฤษ) ทำงานที่โรงพยาบาลประจำเมือที่เราอยู่ และเป็นหัวหน้าทีมพยาบาลในการรับมือโควิดที่รพ.ด้วย พวกเราพยายามติดต่อเจ้าหน้าที่รพ. แต่ก็ได้รับการแจ้งเหมือนที่น้องได้รับแจ้งนั่นแหละครับว่าให้กักตัวที่บ้านดูอาการก่อน (ตอนนั้นยังไม่มีคนติดเชื้อมากนะที่อังกฤษและเตียงก็มีพอที่จะรองรับลูกผม) แม้ผมจะรู้จักหมอหลายคนรวมทั้งผู้อำนวยการโรงพยาบาลด้วย ภรรยาผมเป็นหัวหน้าทีมพยาบาลรับมือโควิดด้วย กระนั้นเราก็ต้อง (กัดฟัน) เชื่อฟังและปฏิบัติตามกฏที่เขาให้มา ผมนี่น้ำตาคลอทุกวันอยากจะให้ลูกส่งไปโรงพยาบาล สุดท้ายลูกชายก็อาการดีขึ้น ถ้าน้องคิดว่าน้องถูกปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ NHS ไม่ดี แล้วลูกชายผมล่ะ? แม่เขาทำงานที่โรงพยาบาลมา 32 ปี และตอนนี้เสี่ยงอยู่ front line รับมือกับไวรัสร้ายตัวนี้ วันที่ลูกชายนอนซมที่บ้านก็ได้แต่ปฏิบัติตามที่กฏระเบียบของเขา ใครที่มองว่าที่น้องถูกบอกปัดนั้นเป็นเพราะน้องเป็นคนต่างชาติ !! ไม่ใช่เลย...ขอยืนยันว่าไม่ใช่
ทั้งยินดีทั้งขุ่นใจที่น้องดิ้นรนกลับเมืองไทยจนได้ ซึ่งตรงนี้สถานทูตไทยหรือผู้ที่รับผิดชอบในเรื่องออก certificate "fit to fly" ก็ตระหนักหรือเข้มงวดเรื่องคุณภาพด้วย ดีใจที่น้องอยู่ในมือหมอ ได้เจอหมอได้รับการวินิจฉัยตามที่น้องต้องการตั้งแต่เริ่มแรก ขุ่นใจที่น้องใจร้อนไม่ปฏิบัติตามที่ NHS แนะนำและตัดสินใจพลันแล่นว่าต้องกลับไปตรวจที่เมืองไทย ซึ่งได้ดึงเอาหลายชีวิตไม่ว่าจะบนเครื่องบิน โรงแรม เจ้าหน้าที่ตม. คนขับแท็กซี่ และอื่นๆ เข้ามาเสี่ยงกับน้องครั้งนี้ อังกฤษเองก็ใช่อยากจะให้มีการแพร่เชื้อเหมือนทุกประเทศทั่วโลก เขาทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในสถานการณ์อย่างนี้แล้วอยากให้เข้าใจตรงนี้
สุดท้าย ขอให้อาการของน้องฟื้นและหายป่วยในเร็ววัน น้องคงไม่ต้องห่วงและกังวลอีกต่อไปเพราะอยู่ในมือหมอแล้วครับ
ปล. มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ผมรู้จักทำงานใน NHS พนักงานทำความสะอาด ในโรงครัว ในสถานการณ์อย่านี้พวกเขาภูมิกับภาระที่อยู่ front line ตรงนั้นมาก
...สาวไทยติดเชื้อ โควิด-19 ที่อังกฤษ / ทั้งสงสารเห็นใจ ทั้งขุ่นใจ...
ผมอนุมานตามสถานการณ์ว่า น้องคงเกิดความไม่พอในบริการ NHS และไม่ได้รับการสนองตอบอย่างทันทีทันใด สุดท้ายน้องจึงต้องดิ้นรนหาทางกลับเมืองไทย หารู้ไม่ว่าการตัดสินตรงนั้นน้องได้ดึงเอาหลายต่อหลายชีวิตมาเสี่ยงกับเจ้าไวรัสร้ายตัวนี้
ผมอยู่อังกฤษมาจะเข้า30 ปีแล้ว เคยเป็นพนักงานดูระบบคอมพ์ฯ ที่โรงพยาบาลมาหลายปี เข้าใจระบบการทำงานของ NHS ดี ความจริงไม่ต้องอยู่อังกฤษนานก็เข้าใจระบบได้โดยไม่ยากเลย (ซึ่งตัวน้องเองก็น่าจะเข้าใจระดับหนึ่ง) แม้ก่อนหน้านั้นภาครัฐก็ออกมาแถลงแล้วว่าถ้าป่วยก็ให้กักตัวที่บ้านอย่าเดินทางไปโรงพยาบาล แต่น้องก็เดินทางไปอยู่ดีและได้แจ้งให้กลับมากักตัวที่บ้าน ไม่รู้นะ...น้องอาจจะเคยชินการเข้าโรงพยาบาล (เอกชน) ที่เมืองไทยก็ได้ประเภทเข้ารพ. ปั๊บก็เจอหมอปุ๊บ ส่วนที่อังกฤษไม่ใช่เลย..น้องก็น่าจะรู้ตรงนี้ดี
เอาล่ะ...ถ้าน้องคิดว่าน้องไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างดีหรือตามที่น้องคาดหวัง ผมมีเคสจริงให้น้องได้รับทราบ อาทิตย์ที่ผ่านมาลูกชายของผมป่วยตัวร้อนผ่าว ถึงกับนอนซมอยู่สามวัน หัวอกผู้เป็นพ่ออย่างผมคิดได้อย่างเดียว "โควิด-19 แน่ๆ " ภรรยาของผม (ชาวอังกฤษ) ทำงานที่โรงพยาบาลประจำเมือที่เราอยู่ และเป็นหัวหน้าทีมพยาบาลในการรับมือโควิดที่รพ.ด้วย พวกเราพยายามติดต่อเจ้าหน้าที่รพ. แต่ก็ได้รับการแจ้งเหมือนที่น้องได้รับแจ้งนั่นแหละครับว่าให้กักตัวที่บ้านดูอาการก่อน (ตอนนั้นยังไม่มีคนติดเชื้อมากนะที่อังกฤษและเตียงก็มีพอที่จะรองรับลูกผม) แม้ผมจะรู้จักหมอหลายคนรวมทั้งผู้อำนวยการโรงพยาบาลด้วย ภรรยาผมเป็นหัวหน้าทีมพยาบาลรับมือโควิดด้วย กระนั้นเราก็ต้อง (กัดฟัน) เชื่อฟังและปฏิบัติตามกฏที่เขาให้มา ผมนี่น้ำตาคลอทุกวันอยากจะให้ลูกส่งไปโรงพยาบาล สุดท้ายลูกชายก็อาการดีขึ้น ถ้าน้องคิดว่าน้องถูกปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ NHS ไม่ดี แล้วลูกชายผมล่ะ? แม่เขาทำงานที่โรงพยาบาลมา 32 ปี และตอนนี้เสี่ยงอยู่ front line รับมือกับไวรัสร้ายตัวนี้ วันที่ลูกชายนอนซมที่บ้านก็ได้แต่ปฏิบัติตามที่กฏระเบียบของเขา ใครที่มองว่าที่น้องถูกบอกปัดนั้นเป็นเพราะน้องเป็นคนต่างชาติ !! ไม่ใช่เลย...ขอยืนยันว่าไม่ใช่
ทั้งยินดีทั้งขุ่นใจที่น้องดิ้นรนกลับเมืองไทยจนได้ ซึ่งตรงนี้สถานทูตไทยหรือผู้ที่รับผิดชอบในเรื่องออก certificate "fit to fly" ก็ตระหนักหรือเข้มงวดเรื่องคุณภาพด้วย ดีใจที่น้องอยู่ในมือหมอ ได้เจอหมอได้รับการวินิจฉัยตามที่น้องต้องการตั้งแต่เริ่มแรก ขุ่นใจที่น้องใจร้อนไม่ปฏิบัติตามที่ NHS แนะนำและตัดสินใจพลันแล่นว่าต้องกลับไปตรวจที่เมืองไทย ซึ่งได้ดึงเอาหลายชีวิตไม่ว่าจะบนเครื่องบิน โรงแรม เจ้าหน้าที่ตม. คนขับแท็กซี่ และอื่นๆ เข้ามาเสี่ยงกับน้องครั้งนี้ อังกฤษเองก็ใช่อยากจะให้มีการแพร่เชื้อเหมือนทุกประเทศทั่วโลก เขาทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในสถานการณ์อย่างนี้แล้วอยากให้เข้าใจตรงนี้
สุดท้าย ขอให้อาการของน้องฟื้นและหายป่วยในเร็ววัน น้องคงไม่ต้องห่วงและกังวลอีกต่อไปเพราะอยู่ในมือหมอแล้วครับ
ปล. มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ผมรู้จักทำงานใน NHS พนักงานทำความสะอาด ในโรงครัว ในสถานการณ์อย่านี้พวกเขาภูมิกับภาระที่อยู่ front line ตรงนั้นมาก