เมื่อ Twitter ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างลูกสาวกับผม

กระทู้นี้ ไมได้ต้องการสื่อหรือตอกย้ำว่า Social Media เป็นสิ่งที่เลวร้าย ทุกคนต่างมีไว้เพื่อติดตามข่าวสารหรือติดต่อพูดคุยแบ่งปันเรื่องราวกัน แต่ก็ต้องยอมรับว่า จากสิ่งที่ได้พบเจอนั้น มันทำให้รู้ว่า สังคมในบางที่ที่ถูก 'เจาะจง' ไว้นั้น มันก็กลายเป็นสิ่งเลวร้ายได้เหมือนกัน ดังนั้นกระทู้นี้จึงต้องการเพียงแค่เตือนพ่อแม่ผู้ปกครอง ที่ยังมีความเป็นห่วงลูก ให้ลองอ่านกันดูบ้าง

ผมมีลูกสาวคนหนึ่ง ปัจจุบันปีนี้ก็อายุประมาณ 23 ปี ก่อนที่เขาจะเริ่มโตเป็นสาว เขาก็เป็นคนที่เรียบร้อย ไม่ค่อยเอาแต่ใจ ก็คือเลี้ยงง่ายสำหรับพ่อแม่ทั่วๆ ไป แต่เนื่องจากตัวเองทำงานและไม่ค่อยอยู่บ้าน เขาก็เลยสนิทกับแม่เขามากกว่า แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นสาเหตุของเรื่องราวดังกล่าวหรือเปล่า แต่เรื่องมันเกิดขึ้นตอนที่เขาอยู่ ม.4 ผมทะเลาะกับเขาเรื่องที่เขาจะไปสอบต่อโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งแต่ผมไม่เห็นด้วยเพราะเราอยู่ต่างจังหวัดกันและอยากให้เขาอยู่เรียนต่อโรงเรียนเดิมของเขามากกว่า ตอนนั้น ผมไม่ได้อยากทะเลาะกับลูกแต่ก็ต้องปรามไว้เพราะไม่เห็นด้วย เขาทำได้แต่ร้องไห้ ผมก็เลยค่อยๆ หยุด และคิดว่าทุกอย่างจะจบเพราะเขาไม่ได้พูดถึงอีก ผ่านไปหลายเดือน ด้วยความเป็นพ่อ ต้องการอยากรู้เรื่องของลูก ก็เลยลองค้นหาชื่อลูกใน Google ก็เห็น Tweet ของลูกที่ไปสั่งซื้อของมาในนั้น ก็เลยลองดู Twitter ของเขาจนพบว่า เขาแอบระบายน้อยใจเรื่องในตอนนั้นลงใน Twitter ของเขา แต่ก็แอบตกใจเล็กน้อยเหมือนกันที่มีคนใน Twitter มาระบายเรื่องราวด้วยกัน (ก็คือ Share เรื่องราวที่พบเจอคล้ายๆ กัน) ก็เลยลองสมัคร Twitter มาเพื่อติดตามลูกอยู่เงียบๆ อยู่หลายปี

ช่วงเวลาดังกล่าว ตั้งแต่ประมาณช่วงที่เขาเรียน ม.ปลาย สิ่งที่พบเห็นและน่าตกใจก็คือ ต่อหน้าเราพ่อแม่ เขาทำตัวเรียบร้อย ไม่ได้ทำตัวเอาแต่ใจ แต่ลับหลังเรา ก็มักจะระบายเรื่องในบ้าน ในโรงเรียน หรือแม้แต่วิจารณ์ศิลปิน ไอดอล ทะเลาะและดราม่ากัน ซึ่งมันยิ่งเจ็บปวดใจที่บางครั้ง เขามักจะเออออไปกับคนใน Twitter มากกว่าพ่อแม่อย่างเรา เช่น ช่วงที่เรามีปัญหากันเรื่องเงิน เขามาขอเงินเพื่อไปคอนเสิร์ตไอดอลของเขา ผมก็บอกว่าไม่มีเงินให้ไป พอกลับมาดู Twitter ผมก็ต้องเจ็บปวดใจเพราะลูกสาวระบายในทำนองที่ว่า พ่อแม่มีเงินเดือนเป็นหมื่นเป็นแสน แต่แค่ให้ลูกไม่กี่พันไม่ได้เลยเหรอ แล้วก็มีคนมาแสดงความคิดเห็นในทำนองว่าเราเป็นผู้ใหญ่หัวโบราณ ผู้ใหญ่เข้มงวด ซึ่งก็ต้องยอมรับความผิดส่วนหนึ่งเองว่า เราคงไม่ได้บอกลูกเอง เพราะเขาอาจจะมาแสดงความไม่พอใจได้ แต่นั้นก็ไม่ได้ช่วยให้เราพ้นจากการที่ถูกตำหนิไปได้เลย

สิ่งที่ทำให้เกิดจุดแตกหักก็คือ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เขาเริ่ม Tweet หรือ Retweet การเมืองขึ้นมา บอกก่อนว่าผมไม่ได้หมกมุ่นการเมืองเหมือนหลายๆ คน และไม่ได้สนใจและเข้าข้างใครในทางการเมือง (ไม่ว่าฝ่ายไหน) แต่ผมไม่ค่อยชอบกับการที่เห็นลูกถูกชักจูงเข้าการเมือง เพราะผมรู้ดีระดับหนึ่งอยู่แล้วว่าการเมืองบ้านเราเป็นอย่างไร และแน่นอนว่าผมก็ต้องทนอ่าน Tweet ที่มาในแนวแตกแยกความคิดระหว่างพ่อแม่ลูกไปด้วย (ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ผมก็ไม่ได้ทะเลาะกับเขาเรื่องการเมืองเลย) ผมพยายามอดทนมานาน จนกระทั่งช่วงหลังมา เมื่อเริ่มรู้สึกว่าลูกสาวของตัวเองเริ่มใกล้จะเสี่ยงเข้าข่ายผิดกฎหมายเข้าไปทุกที ไม่กี่วันมานี้ จึงต้องตัดสินใจเข้าไปโทรปรามว่าเห็น Twitter ของเขาแล้ว (ตอนนี้เขาอยู่หอพักในมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ แล้ว) เขาทั้งตกใจและรู้สึกไม่พอใจผม เลยเกิดปากเสียงกับผมขึ้นว่าผมเข้าไปแทรกแซงชีวิตเขา ผมได้แต่รู้สึกละอายใจ จึงได้วางสายไป ส่วนเขาก็ปิด Twitter ที่ผมติดตามไป แต่ก็ไม่รู้ว่าจะแอบไปเปิดที่ไหนอีกหรือเปล่า ผมตั้งใจไว้ว่า หลังหมดช่วงวิกฤตนี้ จะลองทำความเข้าใจ ปรับความเข้าใจกันใหม่ว่าทิศทางควรจะเป็นอย่างไร

ที่เขียนเรื่องราวทั้งหมดลงในกระทู้ เพราะต้องการอยากให้เป็นอุทาหรณ์ถึงพ่อแม่ของหลายๆ คน เพราะเข้าใจว่า Twitter เป็นสื่อ Social สำหรับวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งไปแล้ว และก็ได้เห็นแล้วว่า สังคมเขาค่อนข้าง Anti-social และมี Manner ที่ค่อนข้างก้าวร้าวพอควร จะโทษการเลี้ยงดูก็คงไม่ใช่ เพราะทั้งผมกับภรรยา ต่างก็เลี้ยงลูกกันอย่างดี อบรมสั่งสอนกันมาโดยตลอด เพิ่งจะเริ่มดุด่าว่ากล่าวหนักๆ ตอนที่เขาอยู่ ม.ปลาย ด้วยซ้ำ แต่ก็เข้าใจว่ามันเหมือนเป็นการเสี่ยงดวง บางคนเลี้ยงลูกมาตามใจ ลูกยังเป็นเด็กดีได้ก็มี บางคนดุด่าว่ากล่าวหนักๆ มา ลูกเป็นเด็กก้าวร้าวก็มี ส่วนใครจะคิดว่าผมอาจจะหัวโบราณ บอกก่อนว่าผมไม่ได้หัวโบราณ ผมค่อนข้างเป็นคนเปิดโลกทัศน์ด้วยซ้ำ และผมเคยทำงานอยู่ต่างประเทศมาหลายปีในช่วงหนึ่ง จึงพอเข้าใจว่า สังคมบ้านเขา มีทั้งที่เปิดกว่าบ้านเรา และปิดกว่าบ้านเรา คงจะเทียบกันไม่ได้ในบางเรื่อง แต่ที่แน่ๆ ก็คือ อย่าให้ใครมาชักจูงลูกเราเลยครับ ต่อให้คุณเป็นพ่อแม่ที่อาจจะ Liberal แต่ถ้าคุณรักเขา ก็อย่าให้เขาหลงทางเหมือนลูกผมเลย ไม่อย่างนั้น คุณเองอาจจะต้องมาเสียใจเหมือนผม
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 36
ว่าจะไม่พูดเยอะแล้ว แต่เห็นมาแสดงความเห็นกันในเชิงที่ดูถูกแอบกัดแอบแขวะเขาเนี่ย มันจะช่วยให้เขามองทวิตในแง่ดีขึ้นจริงเหรอ

บางคนที่มาตอบเขาในกระทู้ บอกว่าเขาอย่างงั้นอย่างงี้เนี่ย เชื่อเถอะว่า ส่วนหนึ่งก็ชาวทวิตที่โดนผลกระทบหรือถูกพาดพิงจากกระทู้นี้ทั้งนั้นแหละ ถามว่าทำไมเขาต้องทำกับลูกแบบนั้น เพราะเขาคงไม่อยากให้ลูกตัวเองโดน save อีกคนนี้แหละ พ่อแม่คนไหนบ้าง อยากเห็นลูกต้องมีชะตากรรมเป็นแบบนั้น ยิ่งเห็นแต่ละคน มาตอกกลับในเชิงที่ว่า เป็นพ่อประสาอะไรบ้าง สงสารลูกบ้าง หรืออะไรที่มันบอกว่าเขาเป็นพ่อที่แย่เนี่ย ก็เหมือนตอกย้ำเขามากขึ้นเท่านั้นแหละ ถ้ามันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูดจริง พวกคุณคงไม่ตอบกลับเขาแรงๆ กันแบบนี้หรอกครับ แต่เพราะอดรั้นทนไม่ไหว เลยปลดปล่อยแสดงสิ่งที่เขาเคยพบเห็นมาเลย ส่วน จขกท. คุณไม่ต้องไปฟังเสียงของคนที่เขามาตำหนิคุณ เพียงเพราะว่าคุณพยายามดึงไม่ให้ลูกคุณหลงไปกับเรื่องเสี่ยงๆ ทั้งหลายหรอก คุณทำถูกแล้ว

ส่วนเรื่องคนรุ่นใหม่คิดเองได้อะไรเนี่ย ผมแนะนำว่าอย่าอ้างตรงนี้เยอะเลยครับ ถ้ามาดูกับตา เห็นกับตา จะพบว่าไอ้ที่เขาคิดแบบนั้นแบบนี้กันเนี่ย มาจากในมหาลัยทั้งนั้น ขนาดพวกนักกิจกรรม ทั้งพวกที่ทำกิจกรรมในมหาลัยกับทำกิจกรรมกับพวก NGO ทั้งหลายเนี่ย ก็ยังมีผู้ใหญ่คอยเป็นที่ปรึกษาอะไรให้เลย เรื่องอื่นจะคิดเองจริงเหรอ นี้ยังไม่รวมที่มีอาจารย์ในหลายๆ คณะ หลายๆ มหาลัย สอนนักศึกษาแบบนั้นแบบนี้ สอนกันมาแต่ไหนแต่ไรจนหนีไปต่างประเทศกันแล้วบ้าง ยังแอบสอนกันอยู่เงียบๆ บ้าง พวกนักศึกษาที่รับแนวคิดมา ก็เลยมาเผยแพร่ต่อกันในโซเชียล เห็นมาตั้งแต่เริ่มเผยแพร่ลงโซเชียลเงียบๆ เฉพาะกลุ่ม จนตอนนี้เริ่มกระจายกันไปทั่วโลกออนไลน์แล้ว ถ้าคุณบริสุทธิ์ใจกับความคิดเขาจริงๆ คุณจะไม่พูดใส่หูเขาไว้เยอะๆ แล้วตบท้ายว่า ไปคิดเองนะ อาจารย์ไม่บังคับเชื่อหรอก สุดท้าย คนรับกรรมก็คือคนรุ่นใหม่  ส่วนผู้ใหญ่เบื้องหลัง เอาประเด็นนั้นมาเรียกร้องกันต่อ

จขกท. เขาอาจจะผิด ที่เขาตักเตือนลูกกันเกินเหตุ แต่เขาไม่ผิด ที่เขาดึงลูกมา ในขณะที่ลูกกำลังตกอยู่ในภวังค์ของกลุ่มการเมือง ถ้าเป็นยุคสมัยก่อน แทบไม่มีอาจารย์คนไหน สนับสนุนอยากให้นักศึกษาแสดงออกทางการเมืองกัน มีแต่นักศึกษาที่อยากแสดงออกกันเองด้วยซ้ำ แถมยุคนั้น เขายังเห็นแก่บ้านเมือง เห็นแก่ส่วนรวม ไม่ใช่ยุคนี้ เอะอะก็จะแก้ปัญหาด้วยการหนีออกจากประเทศ หรือด่าทอสาปแช่งประเทศชาติสังคมรายวัน ยอมรับซะเถอะ สังคมทวิตน่ะ ไม่ใช่สังคมพึงประสงค์ของครอบครัวที่ดีหรอก จะอ้างว่ามันเป็นสิทธิเสรีภาพ ไม่ได้แย่อะไรแบบนั้นก็ได้ แต่ความจริงมันเป็นแบบนั้นไปแล้ว หรือคุณจะพูดว่า มันไม่มีคนที่ปั่นแท็กการเมือง ปั่นแท็กเสี่ยงๆ หรือบอกว่าเกลียดพ่อแม่ตัวเองเข้าไส้เพียงเพราะเขาไม่เห็นด้วยกับความคิดที่เขารู้สึกว่าดูก้าวร้าวสำหรับเขา

*สำหรับใครที่สงสัยว่า เรื่องอะไรที่ทำให้ จขกท. ถึงกับต้องต่อว่าลูกกันขนาดนั้น ลองหาในเทรนด์ทวิตเตอร์ดูนะครับ วันดีคืนดี มันก็ขึ้นมาเอง*

เพิ่มเติม เพิ่มเพลงให้กำลังใจน้องๆ นะครับ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
เชื่อไหมครับ
ต้นเหตุจริงๆของคุณกับลูกไม่ใช่เรื่อง ทวิตเตอร์ ไม่ใช่เรื่องลูกติดเพื่อน ไม่ใช่เรื่องคนอื่นเลย

สาเหตุหลักๆ คือคุณและลูกขาดการสื่อสาร คุณได้ยินลูกพูดแต่คุณไม่ได้ฟัง
แล้วไอ้พฤติกรรม"ได้ยินแต่ไม่ได้ฟัง" มันเป็นพฤติกรรมที่ถ่ายทอดกันในครอบครัวครับ ลูกคุณจึงติดนิสัยไม่ได้ฟังคุณ
คุณจะพบได้เลยว่าในวัยรุ่นที่มีพฤติกรรมไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ส่วนใหญ่มาจากการที่พ่อแม่ไม่รับฟังสิ่งที่เขาคิดเขาพูด

พ่อแม่หลายคนปากหนัก(ผมใช้คำนี้เลย) เช่นเวลาจะปฏิเสธตอนลูกขอเงินก็จะพูดแค่ "ไม่มีให้ ไร้สาระ"
ไอ้คำว่า "ไม่มีให้" กับ "ไร้สาระ" มันมีองค์ประกอบ 2 อย่าง คือ
ไม่มีให้ =  คือตัดบท และปากหนักเกินกว่าที่จะให้คำอธิบายลูกเข้าใจ
ไร้สาระ(คำติดปากคนเป็นพ่อเป็นแม่) = คือลดทอนความเป็นคนของผู้เป็นลูก

ในพ่อแม่ที่มีความสัมพันธ์กับลูกดี หลายครอบครัวเป็นทั้งพ่อแม่และเป็นทั้งเพื่อนกับลูก
กล้าที่จะพูดความบกพร่องของพ่อแม่ต่อหน้าลูก, และเปิดใจพอที่จะฟังลูก และขอฟังเหตุผลที่ลูกคิด

สิ่งหนึ่งที่เป็นความย้อนแย้งที่สุดของคนเป็นพ่อเป็นแม่สมัยนี้คือ
พ่อแม่ยุคนี้ เกือบ 100% ที่ผมรู้จักมักจะพูดว่า "เด็กสมัยนี้ฉลาดกว่ารุ่นตนเอง"
แต่ในสิ่งที่ลูกเชื่อ ลูกสนใจกับตราหน้าทันทีว่า "ลูกโง่ และถูกชักจูงสนตะพาย"

ถ้าจะเอาแค่ประเด็นการเมือง ผมมองว่า การเมืองเป็นเรื่องของคนทุกคนและคนทุกวัย
การแลกเปลี่ยนความคิดกันเรื่องการเมืองในครอบครัว จริงๆ เป็นเรื่องน่าสนใจ
แต่ครอบครัวไทย(และกลุ่มคนเอเซีย) เวลาคุยการเมืองในครอบครัว คนเป็นพ่อเป็นแม่กลับมักจะมีลักษณะ "ยกตนข่มท่าน(เพราะฉันเกิดก่อน)"
โดยจะเลือกพูดเพื่อ"บังคับให้ลูกเชื่อตาม" และลดทอนสิ่งที่ลูกเชื่อว่า"โง่" อันนี้ผมเจอในหลายครอบครัว

"เราเลี้ยงลูกได้คือร่างกายครับ, และเราหยดเมล็คพันธ์แห่งความดี ความรู้  ให้แก่ลูก
, แต่เราบังคับความปรารถนา ความศรัทธาของลูกไม่ได้
, ที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทำได้คือสนับสนุน เฝ้าดู และเสนอคำแนะนำให้ลูก โดยให้โอกาสลูกเลือกว่าจะรับหรือไม่"
ความคิดเห็นที่ 11
ข้าพเจ้าไม่เล่น twitter facebook line หรือโซเชียลอื่นใด
วันๆ ก็ง่วนอยู่ในพันทิปนี่แหละ

ความเห็นบนๆ ทั้งหมด เติอนไปในทางเดียวกัน
แต่ จขกท ก็ยังรับฟังไม่ได้ เพราะไม่ถูกใจ
อยากจะเชื่อว่า อิทธิพลภายนอก เป็นตัวทำให้พ่อลูกผิดใจกัน

ข้าพเจ้าโตมาในครอบครัวยุคไดโน (เสาร์) เป็นวัยรุ่นเมื่อ 50 ปีก่อนโน้น
พ่อแม่ข้าพเจ้าทำเหมือน จขกท เปี๊ยบ
ตามดูตามคุมลูกๆ อยากจะให้ได้ทุกฝีก้าว กลัวลูก ไม่ได้ดี
ข้าพเจ้าแทบไม่ไปเถึยงไปอธิบายอะไรให้เสียเวลาอันมีค่าของชีวิตตน เงียบๆ ไป

แต่เมื่ออายุถึงวัยบรรลุนิติภาวะ จึงออกจากบ้านไป รบราฆ่าฟัน กับโลกด้วยตัวเอง
ไม่สนใจฟัง คำตักเตือนดุด่าว่ากล่าว อะไรของใครอีกต่อไป
พ่อแม่ข้าพเจ้าต้องยอมรับในที่สุด ว่า ลูกที่ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ก็ได้ดี มีชีวิตที่มีความสุขสบายได้

อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ (ทุลักทุเล) ในวัยรุ่นนี้ ก็มีประโยชน์
ข้าพเจ้ามาเลี้ยงลูกของตัวเอง แบบ ผู้ใหญ่ ให้เขาคิดเขาลองทำอะไรๆ ได้ตามที่เขาต้องการ
ลูกไม่เคยมีความลับ สามารถเล่าและขอคำแนะนำจากแม่ได้ทุกเรื่อง
เขาเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุขในชีวิต ทั้งเรื่องการงาน ครอบครัว (ของเขา)

คุณ จขกท ก็คงยังไม่เข้าใจ
มองไม่เห็นว่าแต่ละคนที่มาตอบๆ กันนั้น เขามองแบบ คนนอก จึงเห็นปัญหาชัดเจน

คุณจะให้ลูกที่คุณรัก ออกไปต่อสู้โลกภายนอก อย่างแข็งแรง และมีภูมิคุ้มกัน มีความสุข
หรือจะยังง่วนอยู่กับการต่อสู้ในบ้าน กับพ่อ ผู้ไม่เคยเข้าใจลูกจริงๆ เลย ?
ความคิดเห็นที่ 18
จขกท ไม่ฟังใครเลย

ไม่อยากโทษตัวเอง

คิดว่าตัวเองเลี้ยงลูกดีแล้ว

ตลกอ่ะ

ไม่มีศิลปะในการเลี้ยงลูก สอดรู้สอดเห็นมาได้ตั้งนานทำไม ไม่ใช้สิ่งที่รู้ทำเนียนๆ มาพูดคุยมาสอนเค้า เหมือนคุยเรื่องทั่วๆไปตอนดินเนอร์

คนทุกคน มีด้านมืด ด้านที่เค้าไม่อยากให้ใครเห็น
ถ้าจขกท อยู่ในที่ของตัวเอง
เป็นบ้านที่อบอุ่นของเค้า

ถ้าวันนึงเค้ามีปห เค้าจะกลับมาพึ่งพิง
แต่ตอนนี้ ต่อไปนี้ ด้วยอายุของลูกคุณ
อย่าหวังเลยว่าเค้าจะฟังคุณอีกต่อไป
ต่อไปนี้สิ่งที่ลูกคุณจะทำ คือแค่ให้เสียงคุณผ่านหูไป แต่ไม่ได้ฟัง
ความคิดเห็นที่ 3
ปัญหาคือจขกทเองแหละค่ะ ลูกจขกทโตแล้วค่ะ จขกทบอกไม่อยากให้ใครมาจูงจมูกลูก แต่ตัวเองนั่นแหละอยากจะจูงจมูกลูก พอทำไม่ได้ก็มาโทษอย่างอื่น

ลูกจขกทเค้าต้องโตเป็นตัวเองค่ะ เค้ามีชีวิตของเค้า เค้าไม่ได้มาทะเลาะกับจขกทเรื่องการเมืองเลย จขกทนั่นแหละไปพยายามหาตัวเค้าในโลกโซเชียลแล้วเอามาประเด็น เค้าอายุ 23 ค่ะ ไม่ใช่ 13 อย่าเป็นความเป็นเด็กดีตอนเล็กๆมาคาดหวัง เค้าไม่ใช่เด็กคนนั้นแล้วและไม่มีวันเหมือนเดิมได้อีก จขกทเลิกเป็นพ่อของเด็กเล็กๆได้แล้วค่ะ จขกทเป็นพ่อของผู้ใหญ่คนหนึ่ง ฝึกที่จะวางตัวรับฟังให้พื้นที่ส่วนตัวเหมือนผู้ใหญ่ด้วยกันพึงกระทำด้วย
ความคิดเห็นที่ 21
สรุป ตอนนี้พ่อหัวร้อนเพราะการเมือง

ที่ทนมาตั้งแต่ มอ 4 (อายุ 17) ถึง อายุ 23 รวม 7 ปี

มาของขึ้นเพราะเรื่องการเมือง ........ ก็แค่นั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่