เรื่องสั้น
มรดก กระทู้นี้ มีจุดเริ่มต้นจากงานเขียน ของคุณ
รัชต์สารินท์ นำทาง ปูทาง สร้างงานมาก่อนเป็ยอย่างดี และ Psycho G มาต่อเติมเสริมแต่งแบบกึ่ง ๆ อิมโพรไวส์บ้าง เท่านั้น จากนั้น ได้รับความร่วมมืออย่างดี จากการอ่านเสียงไพเราะ ๆ แบบ เมซโซโซปราโน ของคุณ
zionzany ทำให้ท่าน ฟัง อ่าน หรือ ทั้งฟังทั้งอ่าน เลือกได้ตามใจชอบ ครับผม^^
มรดก
ไอร้อนระอุของแดดกล้าพร้อมอุณหภูมิสูงกว่าสี่สิบองศ ในวันท้องฟ้ากระจ่างไร้เงาเมฆ ทำเอาความเหนื่อยล้าในการดั้นด้นเดินทางมายังหมู่บ้านที่ไม่เคยมา แต่จำเป็นต้องมาครั้งนี้เพิ่มทวีมากขึ้น ความร้อนแรงแห่งไอแดด จะแผดเผาสามัญสำนึกของคนเรา ให้ระเหิดหายกลายเป็นไอด้วยไหมนะ เป็นสิ่งที่ผมพยายามหาคำตอบมาหลายวัน
ก่อนหน้านี้สามเดือน ผมได้รับพินัยกรรมชนิดไม่คาดฝันว่าจะเป็นไปได้ เป็นบ้านหลังหนึ่งจากคุณลุง ที่เคยโกรธแค้นรุนแรงชนิดประกาศตัดเป็นตัดตายกับพ่อ มาตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้ว มีจดหมายฉบับยาวเหยียดแนบมาด้วย เขียนระบายเล่าถึงความทุกข์ระทมของการอาศัยร่วมกับเพื่อนบ้าน ที่ล้วนแต่เพิ่มความเจ็บใจเสียใจ จนทำให้อาการของลุงแย่ลงเรื่อยๆ
บ้านตกเป็นของผมแบบบุญหล่นทับ พร้อมประโยคฝากฝัง...แก้แค้นแทนลุงด้วย!
บอกตามตรง ผมยังไม่กล้าตัดสินอะไรจากการฟังความข้างเดียว ขอเวลาให้ผมอีกหน่อยเถอะนะ แต่แล้ว เมื่อได้เห็นบ้านของคุณลุง ถึงกับทำให้ผมตกตะลึง ต้องก้มลงเช็คเลขที่บ้านตรงหน้า กับข้อมูลในจดหมายซ้ำอีกครั้ง เพื่อความแน่ใจ บ้านหลังนี้ดูดีกว่าที่คิดและน่าอยู่มาก ตั้งอยู่บนเนินสูง ดูโดดเด่นเป็นสง่ากว่าบ้านอื่นในละแวกนั้น คงมีการถมที่เผื่อน้ำท่วม ผมเดาเล่น ๆ หลังคาทรงปั้นหยา รับกับแบบบ้านที่ดูโอ่อ่ามีรสนิยม บานประตูและหน้าต่างสวยงามแปลกตา อาจเป็นของนำเข้าจากต่างประเทศก็เป็นได้ ต้นไม้ในบ้านปลูกอย่างมีชั้นเชิง บ่งบอกฝีมือการออกแบบระดับมืออาชีพของผู้เชี่ยวชาญ แม้ตอนนี้ออกจะดูรกหูรกตาไปบ้าง และต้องการการตัดแต่งก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้ลดความดูดีมีราคาของบ้านให้ลดลงเท่าไหร่ ตามความเห็นของผม บ้านหลังนี้สวยที่สุดตั้งแต่เดินเข้ามาจากปากทางหมู่บ้าน แล้วเหตุใดเล่า ลุงของผมถึงอยู่บ้านหลังงามกับความทุกข์ระทม ทั้ง ๆ ที่ควรจะมีความสุขและภูมิใจมากกว่า
ผมเหลียวมองสำรวจไปรอบข้าง หมู่บ้านแห่งนี้น่าจะเป็นหมู่บ้านขายที่ดินจัดสรร บ้านน้อยใหญ่ล้วนปลูกด้วยรูปแบบและขนาดต่างกันตามใจชอบ หากมองเผิน ๆ สิ่งแวดล้อมรอบบ้านลุงดูปกติเป็นอย่างมาก ผมเดินไปเรื่อย ๆ ผ่านบ้านหลังแล้วหลังเล่าเพื่อเป็นการสำรวจเบื้องต้น สายตากวาดหาร้านขายของชำ หรือไม่ก็ร้านอาหารตามสั่ง ซึ่งอาจมีอะไรให้ผมดื่มกิน คลายความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง และเติมพลัง หลังจากไม่ได้มีอาหารตกถึงท้องมาตั้งแต่เช้า
โชคเป็นของผม ทางซ้ายมืออีกประมาณสองร้อยเมตรด้านหน้า ผมมองเห็นป้าย "นุช อาหารตามสั่ง" พร้อมด้วยโต๊ะคลุมผ้าพลาสติกลายสก็อตและเก้าอี้จัดวางเป็นชุด เว้นระยะวางเรียงรายบริเวณพื้นที่ว่างหน้าบ้าน
กะเพราไข่ดาวเป็นอาหารที่ผมสั่งไป พลางนั่งพักให้หายเหนื่อย ผมเหลียวเวลาจากนาฬิกาข้อมือ บ่ายสอง...มิน่าเล่า ไม่มีลูกค้าสักคน คงเพราะเลยเวลาทานอาหารเที่ยงมานานแล้ว
ในขณะที่ผมนั่งรออยู่ด้านในร้านอย่างเงียบ ๆ ก็มียายแก่คนหนึ่งเดินโขยกเขยกมา พร้อมถุงใส่มะม่วง แกมองหาเจ้าของร้าน พลางยิ้มเผื่อแผ่มาให้คนแแปลกหน้าอย่างผมด้วย ทำท่าเหมือนจะเดินเข้ามาทัก แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ค่อย ๆ หย่อนตัวลงบนเก้าอี้ไม่ไกลจากโต๊ะผมนัก ถุงมะม่วงถูกวางลงบนโต๊ะ พอดีกับที่แม่ค้านำข้าวมาเสิร์ฟให้ผม ยายแก่พยักหน้าทักทายเจ้าของร้าน พูดเสียงดัง
"พอดีแวะกับคุยกับบ้านป้าแหววมา คุยติดลมไปหน่อย เอ้า..นี่มะม่วงบ้านแหวว มามามา มาแบ่งไปกินสิ" พูดจบ ยายแก่หยิบมะม่วงสองสามลูกส่งให้เจ้าของร้าน
สมาคมนิยมนินทามักเริ่มกิจกรรม เมื่อมีสมาชิกรวมตัวตั้งแต่สองคนขึ้นไป แม้ผมจะอยากฟังเรื่องราวด้วย แต่เสียงซุบซิบนินทาที่แสนแผ่วเบาปิดกั้นการรับรู้ของผม ...ไม่เป็นไร...ผมยังมีเวลาอยู่ที่นี่อีกนาน
เมื่อปัญหาเรื่องปากเรื่องท้องผ่านไป ผมเดินกลับมาที่บ้านของลุง ประตูลูกกรงเหล็กยังคงปิดสงบนิ่ง หลังจากควานหากุญแจในกระเป๋าครู่ใหญ่ ผมก็เจอพวงกุญแจที่รับมาจากทนาย มีลูกกุญแจอยู่หลายลูก แต่ไม่ว่าผมจะลองพยายามไขเท่าไหร่ ไม่มีเลยสักลูกที่สามารถเปิดประตูรั้วได้
จู่ ๆ ผมได้ยินเสียงเข้มแกมดุร้องทักว่า "พ่อหนุ่ม..ทำอะไรน่ะ !"
เสียงนั้นทำเอาผมสะดุ้งโหยง เผลอทำพวงกุญแจในมือหล่นพื้นดังเคร้ง เมื่อหันไปตามทิศทางของเสียง เป็นยายแก่ที่เจอตรงร้านค้า มือหนึ่งถือถุงพลาสติกใส่มะม่วง อีกมือถือไม้เท้า กำลังจ้องมองอย่างเอาเรื่อง แกมาแบบผมไม่ทันสังเกต
"คะ..คะ..คือผม" ทำไมไม่รู้ผมรู้สึกตกใจกลัว ปากสั่น ลิ้นพันกัน ทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรผิด ยายแก่ค่อย ๆ เดินกระย่องกระแย่งตรงเข้ามา สีหน้าแววตามีความเป็นมิตรมากขึ้น จากนั้นยักแย่ยักยันก้มหยิบพวงกุญแจที่ตกพื้นส่งให้ บอกตามตรงว่าผมทำตัวไม่ถูก การเคลื่อนไหวเหมือนอัตโนมัติ มือค่อย ๆ ยื่นไปรับพวงกุญแจมาจากยายแก่ แบบสมองไม่ต้องสั่งการ
ถึงแม้ว่าไม่ได้พูดอะไรให้ชัดเจน แต่การกระทำของผมคงบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า ผมต้องมีบางอย่างเกี่ยวพันกับบ้านหลังนี้ ยายแก่หรี่ตาเพ่งพินิจใบหน้าผมพลางบ่นพึมพำ "ก็คล้ายอยู่นะ...เราน่ะเป็นหลานลุงเดชหรือ"
ช่างเป็นคำถามจี้ใจดำตรงจุดเหลือเกิน อันที่จริงผมไม่อยากเปิดเผยตัวนัก อย่างที่บอก ผมมาที่นี่พร้อมกับบัญชีแค้นที่ลุงฝากมาสะสาง นั่นทำให้ผมทำตัวไม่ถูก นอกจากไปตามน้ำถามเสียงอ่อยว่า "คุณลุงเคยพูดถึงผมด้วยหรือครับ"
"ใช่...ตอนที่ยังดี ๆ กันอยู่นะ" เสียงตอบของยายแก่แผ่วเบา มีความเจ็บปวดระคนทุกข์ใจแฝงอยู่ในเนื้อเสียง ทำท่าจะเดินกลับบ้าน แต่จู่ ๆ ท่าทียายแก่เปลี่ยนไป เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ หันกลับมาพูดดังว่า "พ่อหนุ่มรอตรงนี้ก่อน อย่าเพิ่งเข้าบ้าน ฉันมีอะไรจะให้"
แม้ร่างจะดูชรา แต่แกก็สามารถขยับเขยื้อนตัวเข้าไปในบ้านฝั่งตรงข้ามได้อย่างคล่องแคล่ว ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวก เร่งให้ลูกสาวที่กำลังเดินออกมาหน้าบ้าน หยิบอะไรบางอย่างมาให้
และแล้วผมก็ต้องอึ้ง เมื่อยายแก่คนนั้นส่งของสองสิ่งให้ผม
เป็นอุปกรณ์สำหรับอุดหู กับสมุดบันทึกเล่มหนึ่ง
แกสบตาผม กล่าวเสียงสั่นเครือ "ถ้าคุณเดชรับน้ำใจของพวกเราตั้งแต่แรก บางทีเรื่องราวขัดแย้งทั้งหลายคงไม่บานปลายจนมาถึงวันนี้ วันที่คุณเดชตาย พ่อหนุ่มคงพอรู้เรื่องราวความขัดแย้งรุนแรงในหมู่บ้าน เขาเว้นระยะห่าง แยกตัวไม่ยอมสุงสิงสมาคมกับใคร ตอนมีเรื่องอารมณ์ของทุกฝ่ายมันก็ร้อนด้วยกันทั้งนั้น แต่สุดท้ายแล้ว ไม่มีใครหรอกที่อยากมีปัญหากับเพื่อนบ้าน"
ยายแก่เว้นระยะนิดหนึ่ง ตาเหม่อลอยเหมือนทบทวนความทรงจำ ก่อนพูดต่อไป
"สมุดบันทึกเล่มนี้ บันทึกความในใจ เรื่องราวของชาวหมู่บ้านแสนสุข แม้มันจะถูกเขียนขึ้นในวันที่สายเกินไป แต่ฉันก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าต้องฝากให้ลูกหลานลุงเดชอ่าน แล้วส่งกระแสจิตบอกลุงเดชให้รับรู้ ว่าทุกคนเสียใจกับการตายของลุงเดชนะ นี่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะอยู่อีกนานเท่าไหร่ ได้แต่ฝากเรื่องนี้กับลูกสาวและหลานไว้ ว่าอย่าลืม...ต้องส่งต่อให้ได้"
ผมรับรู้ได้ถึงความปรารถนาดีจากน้ำเสียง แต่ยังมีข้อสงสัยบางอย่าง "แล้วยายแน่ใจได้ยังไงล่ะครับว่าผมเป็นหลานลุงเดช อาจเป็นคนอื่นที่ซื้อบ้านต่อจากลุงก็ได้"
"แหม...ฮ่า ๆ ๆ ๆ ตาตก ดั้งแหมบ ปากหนา คางสั้น ฟันยื่น...รับมรดกจากลุงมาเต็ม ๆ แบบนี้ เห็นที่จะไม่ผิดตัวละ ว่าจะทักตั้งแต่เห็นครั้งแรกในร้านข้าวแล้ว...แต่เกรงใจไงล่ะ" ยายแก่ยิ้มตาหยีแบบคนอารมณ์ดีจนมองเห็นฟันหลอ พูดได้อย่างไม่เคอะเขิน
พูดจบก็ทำท่าจะเดินจากไป แต่แล้วเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ ก็หันมาพูดอีกครั้งว่า "อ้อ...แล้วอย่าลืมตัดต้นวาสนาหน้าบ้านให้มันเตี้ยลงบ้างนะ ใครไปใครมาจะได้ช่วยสอดส่อง ตอนนี้ต้นมันใหญ่ใบทึบ...มองเห็นข้างในไม่ค่อยถนัด มันรกหูรกตาจริง ๆ อีกอย่าง..อย่าลืมเปลี่ยนผ้าม่านเป็นสีเขียวด้วย ไม่เห็นรึพ่อหนุ่ม บ้านทุกหลังแถบนี้เขาก็เปลี่ยนมาใช้ผ้าม่านสีเขียวตามคำแนะนำของฉันทั้งนั้นแหละ...มันสบายตาดี หุหุหุ"
ว่าแล้วแกก็เดินจากไป ผมมองที่อุดหูกับสมุดบันทึกในมืออีกครั้ง ก่อนถอนใจรำพึงกับตัวเอง ท่าทางการมีชีวิตร่วมกับคนผู้คนในหมู่บ้านแสนสุขแห่งนี้ คงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เสียแล้ว
ที่อุดหู...วัตถุนุ่มนิ่ม บีบแล้วจะแบนบู้บี้ แต่สามารถคลายตัวกลับรูปทรงเดิมได้ในเวลาไม่นาน ลักษณะคล้ายลูกกระสุนอวบอ้วนสองอันในกล่องพลาสติกขนาดเล็กสีขาวขุ่น ผมเข้าใจความหมายของมันดี รีบเข้าบ้าน ปิดหน้าต่างประตู นั่งอ่านสมุดบันทึกทันทีด้วยความอยากรู้
สมุดบันทึกบรรยายเรื่องราวทั้งหมด จะให้เดาคงมีหลายคนช่วยกันเขียน สังเกตจากลักษณะลายมือมีหลายแบบ แต่เนื้อหาต่อเนื่องกัน ผมเริ่มต้นอ่านจับใจ ความอย่างไม่รีบร้อน
สมุดบันทึกเล่าถึงปัญหาใหญ่ของหมู่บ้าน ที่เริ่มต้นขึ้นไม่นานนัก หลังจากลุงเดช สมาชิกใหม่ของหมู่บ้าน ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังงาม ทุกอย่างเหมือนจะเรียบร้อยดีไม่มีปัญหา แต่แล้วลุงเดชก็เริ่มค้นพบความจริงอันน่าตระหนกว่า ทุก ๆ คืน พอเวลาเที่ยงคืน แกมักจะได้ยินเสียงประหลาดดัง แต่ก แต่ก แต่ก แต่ก...แว่วเข้าหู ฟังแล้วระบุไม่ได้ว่าเป็นเสียงอะไร แต่ที่แน่ ๆ มันรบกวนเหลือเกิน แรก ๆ ลุงเดชใช้ความอดทน ปิดกระจกทั้งหมด เปิดแอร์เพื่อป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอก แต่เสียงดังกล่าวก็ดังเล็ดลอดเข้ามาได้อยู่ดี แทบทุกคืนจะมีเสียงประหลาดให้ได้ยินเป็นประจำ บางคืนเลยเวลาตีสองไปนานแล้ว แกยังไม่สามารถข่มตาให้หลับ เพราะเสียงดัง แต่ก แต่ก แต่ก แต่ก... ต่อเนื่องเป็นจังหวะ ยังคงรบกวนจนนอนไม่ได้ จากนั้นเสียงประหลาดจะหยุดไปสักพัก แล้วเริ่มต้นขึ้นใหม่เช่นเดิม เป็นแบบนี้จนเกือบรุ่งสาง
เสียงนั้นฟังดูประหลาดมาก บางครั้งดังใกล้ บางครั้งดังไกล บางครั้งคล้ายดังประสานกัน จากต้นกำเนิดเสียงหลายแหล่ง ลุงเดชสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่า ใครในหมู่บ้านทำเสียงประหลาดนี้ กลางวันก็พยายามเลียบเคียงถามผู้คนละแวกนั้นว่า เวลากลางคืนเคยได้ยินเสียงอะไรแปลก ๆ บ้างไหม ทุกคนมองหน้ากัน ส่ายหน้าปฏิเสธ ยืนยันเสียงแข็งว่าไม่ได้ยินอะไรเลย ลุงเดชคิดว่า คำพูดของชาวบ้านเหมือนพยายามปกปิดอะไรบางอย่าง รวมทั้งสีหน้าท่าทางมีพิรุธชอบกล
ว่ากันว่าสุดท้ายลุงเดชเข้าตาจน ต้องจ้างนักสืบมาหาต้นตอของเสียง
เมื่อได้คำตอบของปัญหา แกถึงกับตะลึงเพราะนึกไม่ถึง
เสียงที่ได้ยินคือ "เสียงตอกฉลุแผ่นหนัง"
ความจริงของเรื่องคือผู้คนเกือบทั้งหมู่บ้าน ล้วนเป็นลูกหลานสืบทอดเชื้อสายจากชาวคณะหนังใหญ่มาตั้งแต่สมัยโบราณ พวกเขาเชื่อถือในพิธีกรรมประหลาด นั่นคือการตอกฉลุแผ่นหนังวัวพรายตาย วิชาไสยเวทย์ที่ได้รับสืบทอดกันมา บ้านใครบ้านมัน เพื่อสักการะพ่อครูศักดิ์สิทธิ์ โดยเชื่อกันว่าการกระทำดังกล่าว จะช่วยให้ลูกหลานอยู่เย็นเป็นสุข มีเงินมีทองใช้ไม่ขาดมือ รอดพ้นจากโรคระบาดทั้งหลายทั้งปวง
แน่นอน...ในครั้งนั้นลุงเดชก็ได้รับการเสนอ รับอุปกรณ์อุดหูจากเพื่อนบ้านเพื่อแก้ปัญหา แต่นั่นยิ่งทำให้ลุงแกโกรธเกรี้ยวมากขึ้นกับการแก้ปัญหาปลายเหตุ เขารู้ดี...ที่อุดหูอันกระจ้อยร่อย มันก็แค่บรรเทาเสียงรบกวนดังกล่าวให้เบาลงบ้างเท่านั้น เขายังบอกชาวบ้านว่า ได้ยินเสียงอันแสนทรมานความรู้สึกอยู่ดี
.
.
เรื่องสั้น : มรดก
เรื่องสั้น มรดก กระทู้นี้ มีจุดเริ่มต้นจากงานเขียน ของคุณ รัชต์สารินท์ นำทาง ปูทาง สร้างงานมาก่อนเป็ยอย่างดี และ Psycho G มาต่อเติมเสริมแต่งแบบกึ่ง ๆ อิมโพรไวส์บ้าง เท่านั้น จากนั้น ได้รับความร่วมมืออย่างดี จากการอ่านเสียงไพเราะ ๆ แบบ เมซโซโซปราโน ของคุณ zionzany ทำให้ท่าน ฟัง อ่าน หรือ ทั้งฟังทั้งอ่าน เลือกได้ตามใจชอบ ครับผม^^
มรดก
ไอร้อนระอุของแดดกล้าพร้อมอุณหภูมิสูงกว่าสี่สิบองศ ในวันท้องฟ้ากระจ่างไร้เงาเมฆ ทำเอาความเหนื่อยล้าในการดั้นด้นเดินทางมายังหมู่บ้านที่ไม่เคยมา แต่จำเป็นต้องมาครั้งนี้เพิ่มทวีมากขึ้น ความร้อนแรงแห่งไอแดด จะแผดเผาสามัญสำนึกของคนเรา ให้ระเหิดหายกลายเป็นไอด้วยไหมนะ เป็นสิ่งที่ผมพยายามหาคำตอบมาหลายวัน
ก่อนหน้านี้สามเดือน ผมได้รับพินัยกรรมชนิดไม่คาดฝันว่าจะเป็นไปได้ เป็นบ้านหลังหนึ่งจากคุณลุง ที่เคยโกรธแค้นรุนแรงชนิดประกาศตัดเป็นตัดตายกับพ่อ มาตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้ว มีจดหมายฉบับยาวเหยียดแนบมาด้วย เขียนระบายเล่าถึงความทุกข์ระทมของการอาศัยร่วมกับเพื่อนบ้าน ที่ล้วนแต่เพิ่มความเจ็บใจเสียใจ จนทำให้อาการของลุงแย่ลงเรื่อยๆ
บ้านตกเป็นของผมแบบบุญหล่นทับ พร้อมประโยคฝากฝัง...แก้แค้นแทนลุงด้วย!
บอกตามตรง ผมยังไม่กล้าตัดสินอะไรจากการฟังความข้างเดียว ขอเวลาให้ผมอีกหน่อยเถอะนะ แต่แล้ว เมื่อได้เห็นบ้านของคุณลุง ถึงกับทำให้ผมตกตะลึง ต้องก้มลงเช็คเลขที่บ้านตรงหน้า กับข้อมูลในจดหมายซ้ำอีกครั้ง เพื่อความแน่ใจ บ้านหลังนี้ดูดีกว่าที่คิดและน่าอยู่มาก ตั้งอยู่บนเนินสูง ดูโดดเด่นเป็นสง่ากว่าบ้านอื่นในละแวกนั้น คงมีการถมที่เผื่อน้ำท่วม ผมเดาเล่น ๆ หลังคาทรงปั้นหยา รับกับแบบบ้านที่ดูโอ่อ่ามีรสนิยม บานประตูและหน้าต่างสวยงามแปลกตา อาจเป็นของนำเข้าจากต่างประเทศก็เป็นได้ ต้นไม้ในบ้านปลูกอย่างมีชั้นเชิง บ่งบอกฝีมือการออกแบบระดับมืออาชีพของผู้เชี่ยวชาญ แม้ตอนนี้ออกจะดูรกหูรกตาไปบ้าง และต้องการการตัดแต่งก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้ลดความดูดีมีราคาของบ้านให้ลดลงเท่าไหร่ ตามความเห็นของผม บ้านหลังนี้สวยที่สุดตั้งแต่เดินเข้ามาจากปากทางหมู่บ้าน แล้วเหตุใดเล่า ลุงของผมถึงอยู่บ้านหลังงามกับความทุกข์ระทม ทั้ง ๆ ที่ควรจะมีความสุขและภูมิใจมากกว่า
ผมเหลียวมองสำรวจไปรอบข้าง หมู่บ้านแห่งนี้น่าจะเป็นหมู่บ้านขายที่ดินจัดสรร บ้านน้อยใหญ่ล้วนปลูกด้วยรูปแบบและขนาดต่างกันตามใจชอบ หากมองเผิน ๆ สิ่งแวดล้อมรอบบ้านลุงดูปกติเป็นอย่างมาก ผมเดินไปเรื่อย ๆ ผ่านบ้านหลังแล้วหลังเล่าเพื่อเป็นการสำรวจเบื้องต้น สายตากวาดหาร้านขายของชำ หรือไม่ก็ร้านอาหารตามสั่ง ซึ่งอาจมีอะไรให้ผมดื่มกิน คลายความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง และเติมพลัง หลังจากไม่ได้มีอาหารตกถึงท้องมาตั้งแต่เช้า
โชคเป็นของผม ทางซ้ายมืออีกประมาณสองร้อยเมตรด้านหน้า ผมมองเห็นป้าย "นุช อาหารตามสั่ง" พร้อมด้วยโต๊ะคลุมผ้าพลาสติกลายสก็อตและเก้าอี้จัดวางเป็นชุด เว้นระยะวางเรียงรายบริเวณพื้นที่ว่างหน้าบ้าน
กะเพราไข่ดาวเป็นอาหารที่ผมสั่งไป พลางนั่งพักให้หายเหนื่อย ผมเหลียวเวลาจากนาฬิกาข้อมือ บ่ายสอง...มิน่าเล่า ไม่มีลูกค้าสักคน คงเพราะเลยเวลาทานอาหารเที่ยงมานานแล้ว
ในขณะที่ผมนั่งรออยู่ด้านในร้านอย่างเงียบ ๆ ก็มียายแก่คนหนึ่งเดินโขยกเขยกมา พร้อมถุงใส่มะม่วง แกมองหาเจ้าของร้าน พลางยิ้มเผื่อแผ่มาให้คนแแปลกหน้าอย่างผมด้วย ทำท่าเหมือนจะเดินเข้ามาทัก แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ค่อย ๆ หย่อนตัวลงบนเก้าอี้ไม่ไกลจากโต๊ะผมนัก ถุงมะม่วงถูกวางลงบนโต๊ะ พอดีกับที่แม่ค้านำข้าวมาเสิร์ฟให้ผม ยายแก่พยักหน้าทักทายเจ้าของร้าน พูดเสียงดัง
"พอดีแวะกับคุยกับบ้านป้าแหววมา คุยติดลมไปหน่อย เอ้า..นี่มะม่วงบ้านแหวว มามามา มาแบ่งไปกินสิ" พูดจบ ยายแก่หยิบมะม่วงสองสามลูกส่งให้เจ้าของร้าน
สมาคมนิยมนินทามักเริ่มกิจกรรม เมื่อมีสมาชิกรวมตัวตั้งแต่สองคนขึ้นไป แม้ผมจะอยากฟังเรื่องราวด้วย แต่เสียงซุบซิบนินทาที่แสนแผ่วเบาปิดกั้นการรับรู้ของผม ...ไม่เป็นไร...ผมยังมีเวลาอยู่ที่นี่อีกนาน
เมื่อปัญหาเรื่องปากเรื่องท้องผ่านไป ผมเดินกลับมาที่บ้านของลุง ประตูลูกกรงเหล็กยังคงปิดสงบนิ่ง หลังจากควานหากุญแจในกระเป๋าครู่ใหญ่ ผมก็เจอพวงกุญแจที่รับมาจากทนาย มีลูกกุญแจอยู่หลายลูก แต่ไม่ว่าผมจะลองพยายามไขเท่าไหร่ ไม่มีเลยสักลูกที่สามารถเปิดประตูรั้วได้
จู่ ๆ ผมได้ยินเสียงเข้มแกมดุร้องทักว่า "พ่อหนุ่ม..ทำอะไรน่ะ !"
เสียงนั้นทำเอาผมสะดุ้งโหยง เผลอทำพวงกุญแจในมือหล่นพื้นดังเคร้ง เมื่อหันไปตามทิศทางของเสียง เป็นยายแก่ที่เจอตรงร้านค้า มือหนึ่งถือถุงพลาสติกใส่มะม่วง อีกมือถือไม้เท้า กำลังจ้องมองอย่างเอาเรื่อง แกมาแบบผมไม่ทันสังเกต
"คะ..คะ..คือผม" ทำไมไม่รู้ผมรู้สึกตกใจกลัว ปากสั่น ลิ้นพันกัน ทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรผิด ยายแก่ค่อย ๆ เดินกระย่องกระแย่งตรงเข้ามา สีหน้าแววตามีความเป็นมิตรมากขึ้น จากนั้นยักแย่ยักยันก้มหยิบพวงกุญแจที่ตกพื้นส่งให้ บอกตามตรงว่าผมทำตัวไม่ถูก การเคลื่อนไหวเหมือนอัตโนมัติ มือค่อย ๆ ยื่นไปรับพวงกุญแจมาจากยายแก่ แบบสมองไม่ต้องสั่งการ
ถึงแม้ว่าไม่ได้พูดอะไรให้ชัดเจน แต่การกระทำของผมคงบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า ผมต้องมีบางอย่างเกี่ยวพันกับบ้านหลังนี้ ยายแก่หรี่ตาเพ่งพินิจใบหน้าผมพลางบ่นพึมพำ "ก็คล้ายอยู่นะ...เราน่ะเป็นหลานลุงเดชหรือ"
ช่างเป็นคำถามจี้ใจดำตรงจุดเหลือเกิน อันที่จริงผมไม่อยากเปิดเผยตัวนัก อย่างที่บอก ผมมาที่นี่พร้อมกับบัญชีแค้นที่ลุงฝากมาสะสาง นั่นทำให้ผมทำตัวไม่ถูก นอกจากไปตามน้ำถามเสียงอ่อยว่า "คุณลุงเคยพูดถึงผมด้วยหรือครับ"
"ใช่...ตอนที่ยังดี ๆ กันอยู่นะ" เสียงตอบของยายแก่แผ่วเบา มีความเจ็บปวดระคนทุกข์ใจแฝงอยู่ในเนื้อเสียง ทำท่าจะเดินกลับบ้าน แต่จู่ ๆ ท่าทียายแก่เปลี่ยนไป เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ หันกลับมาพูดดังว่า "พ่อหนุ่มรอตรงนี้ก่อน อย่าเพิ่งเข้าบ้าน ฉันมีอะไรจะให้"
แม้ร่างจะดูชรา แต่แกก็สามารถขยับเขยื้อนตัวเข้าไปในบ้านฝั่งตรงข้ามได้อย่างคล่องแคล่ว ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวก เร่งให้ลูกสาวที่กำลังเดินออกมาหน้าบ้าน หยิบอะไรบางอย่างมาให้
และแล้วผมก็ต้องอึ้ง เมื่อยายแก่คนนั้นส่งของสองสิ่งให้ผม
เป็นอุปกรณ์สำหรับอุดหู กับสมุดบันทึกเล่มหนึ่ง
แกสบตาผม กล่าวเสียงสั่นเครือ "ถ้าคุณเดชรับน้ำใจของพวกเราตั้งแต่แรก บางทีเรื่องราวขัดแย้งทั้งหลายคงไม่บานปลายจนมาถึงวันนี้ วันที่คุณเดชตาย พ่อหนุ่มคงพอรู้เรื่องราวความขัดแย้งรุนแรงในหมู่บ้าน เขาเว้นระยะห่าง แยกตัวไม่ยอมสุงสิงสมาคมกับใคร ตอนมีเรื่องอารมณ์ของทุกฝ่ายมันก็ร้อนด้วยกันทั้งนั้น แต่สุดท้ายแล้ว ไม่มีใครหรอกที่อยากมีปัญหากับเพื่อนบ้าน"
ยายแก่เว้นระยะนิดหนึ่ง ตาเหม่อลอยเหมือนทบทวนความทรงจำ ก่อนพูดต่อไป
"สมุดบันทึกเล่มนี้ บันทึกความในใจ เรื่องราวของชาวหมู่บ้านแสนสุข แม้มันจะถูกเขียนขึ้นในวันที่สายเกินไป แต่ฉันก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าต้องฝากให้ลูกหลานลุงเดชอ่าน แล้วส่งกระแสจิตบอกลุงเดชให้รับรู้ ว่าทุกคนเสียใจกับการตายของลุงเดชนะ นี่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะอยู่อีกนานเท่าไหร่ ได้แต่ฝากเรื่องนี้กับลูกสาวและหลานไว้ ว่าอย่าลืม...ต้องส่งต่อให้ได้"
ผมรับรู้ได้ถึงความปรารถนาดีจากน้ำเสียง แต่ยังมีข้อสงสัยบางอย่าง "แล้วยายแน่ใจได้ยังไงล่ะครับว่าผมเป็นหลานลุงเดช อาจเป็นคนอื่นที่ซื้อบ้านต่อจากลุงก็ได้"
"แหม...ฮ่า ๆ ๆ ๆ ตาตก ดั้งแหมบ ปากหนา คางสั้น ฟันยื่น...รับมรดกจากลุงมาเต็ม ๆ แบบนี้ เห็นที่จะไม่ผิดตัวละ ว่าจะทักตั้งแต่เห็นครั้งแรกในร้านข้าวแล้ว...แต่เกรงใจไงล่ะ" ยายแก่ยิ้มตาหยีแบบคนอารมณ์ดีจนมองเห็นฟันหลอ พูดได้อย่างไม่เคอะเขิน
พูดจบก็ทำท่าจะเดินจากไป แต่แล้วเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ ก็หันมาพูดอีกครั้งว่า "อ้อ...แล้วอย่าลืมตัดต้นวาสนาหน้าบ้านให้มันเตี้ยลงบ้างนะ ใครไปใครมาจะได้ช่วยสอดส่อง ตอนนี้ต้นมันใหญ่ใบทึบ...มองเห็นข้างในไม่ค่อยถนัด มันรกหูรกตาจริง ๆ อีกอย่าง..อย่าลืมเปลี่ยนผ้าม่านเป็นสีเขียวด้วย ไม่เห็นรึพ่อหนุ่ม บ้านทุกหลังแถบนี้เขาก็เปลี่ยนมาใช้ผ้าม่านสีเขียวตามคำแนะนำของฉันทั้งนั้นแหละ...มันสบายตาดี หุหุหุ"
ว่าแล้วแกก็เดินจากไป ผมมองที่อุดหูกับสมุดบันทึกในมืออีกครั้ง ก่อนถอนใจรำพึงกับตัวเอง ท่าทางการมีชีวิตร่วมกับคนผู้คนในหมู่บ้านแสนสุขแห่งนี้ คงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เสียแล้ว
ที่อุดหู...วัตถุนุ่มนิ่ม บีบแล้วจะแบนบู้บี้ แต่สามารถคลายตัวกลับรูปทรงเดิมได้ในเวลาไม่นาน ลักษณะคล้ายลูกกระสุนอวบอ้วนสองอันในกล่องพลาสติกขนาดเล็กสีขาวขุ่น ผมเข้าใจความหมายของมันดี รีบเข้าบ้าน ปิดหน้าต่างประตู นั่งอ่านสมุดบันทึกทันทีด้วยความอยากรู้
สมุดบันทึกบรรยายเรื่องราวทั้งหมด จะให้เดาคงมีหลายคนช่วยกันเขียน สังเกตจากลักษณะลายมือมีหลายแบบ แต่เนื้อหาต่อเนื่องกัน ผมเริ่มต้นอ่านจับใจ ความอย่างไม่รีบร้อน
สมุดบันทึกเล่าถึงปัญหาใหญ่ของหมู่บ้าน ที่เริ่มต้นขึ้นไม่นานนัก หลังจากลุงเดช สมาชิกใหม่ของหมู่บ้าน ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังงาม ทุกอย่างเหมือนจะเรียบร้อยดีไม่มีปัญหา แต่แล้วลุงเดชก็เริ่มค้นพบความจริงอันน่าตระหนกว่า ทุก ๆ คืน พอเวลาเที่ยงคืน แกมักจะได้ยินเสียงประหลาดดัง แต่ก แต่ก แต่ก แต่ก...แว่วเข้าหู ฟังแล้วระบุไม่ได้ว่าเป็นเสียงอะไร แต่ที่แน่ ๆ มันรบกวนเหลือเกิน แรก ๆ ลุงเดชใช้ความอดทน ปิดกระจกทั้งหมด เปิดแอร์เพื่อป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอก แต่เสียงดังกล่าวก็ดังเล็ดลอดเข้ามาได้อยู่ดี แทบทุกคืนจะมีเสียงประหลาดให้ได้ยินเป็นประจำ บางคืนเลยเวลาตีสองไปนานแล้ว แกยังไม่สามารถข่มตาให้หลับ เพราะเสียงดัง แต่ก แต่ก แต่ก แต่ก... ต่อเนื่องเป็นจังหวะ ยังคงรบกวนจนนอนไม่ได้ จากนั้นเสียงประหลาดจะหยุดไปสักพัก แล้วเริ่มต้นขึ้นใหม่เช่นเดิม เป็นแบบนี้จนเกือบรุ่งสาง
เสียงนั้นฟังดูประหลาดมาก บางครั้งดังใกล้ บางครั้งดังไกล บางครั้งคล้ายดังประสานกัน จากต้นกำเนิดเสียงหลายแหล่ง ลุงเดชสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่า ใครในหมู่บ้านทำเสียงประหลาดนี้ กลางวันก็พยายามเลียบเคียงถามผู้คนละแวกนั้นว่า เวลากลางคืนเคยได้ยินเสียงอะไรแปลก ๆ บ้างไหม ทุกคนมองหน้ากัน ส่ายหน้าปฏิเสธ ยืนยันเสียงแข็งว่าไม่ได้ยินอะไรเลย ลุงเดชคิดว่า คำพูดของชาวบ้านเหมือนพยายามปกปิดอะไรบางอย่าง รวมทั้งสีหน้าท่าทางมีพิรุธชอบกล
ว่ากันว่าสุดท้ายลุงเดชเข้าตาจน ต้องจ้างนักสืบมาหาต้นตอของเสียง
เมื่อได้คำตอบของปัญหา แกถึงกับตะลึงเพราะนึกไม่ถึง
เสียงที่ได้ยินคือ "เสียงตอกฉลุแผ่นหนัง"
ความจริงของเรื่องคือผู้คนเกือบทั้งหมู่บ้าน ล้วนเป็นลูกหลานสืบทอดเชื้อสายจากชาวคณะหนังใหญ่มาตั้งแต่สมัยโบราณ พวกเขาเชื่อถือในพิธีกรรมประหลาด นั่นคือการตอกฉลุแผ่นหนังวัวพรายตาย วิชาไสยเวทย์ที่ได้รับสืบทอดกันมา บ้านใครบ้านมัน เพื่อสักการะพ่อครูศักดิ์สิทธิ์ โดยเชื่อกันว่าการกระทำดังกล่าว จะช่วยให้ลูกหลานอยู่เย็นเป็นสุข มีเงินมีทองใช้ไม่ขาดมือ รอดพ้นจากโรคระบาดทั้งหลายทั้งปวง
แน่นอน...ในครั้งนั้นลุงเดชก็ได้รับการเสนอ รับอุปกรณ์อุดหูจากเพื่อนบ้านเพื่อแก้ปัญหา แต่นั่นยิ่งทำให้ลุงแกโกรธเกรี้ยวมากขึ้นกับการแก้ปัญหาปลายเหตุ เขารู้ดี...ที่อุดหูอันกระจ้อยร่อย มันก็แค่บรรเทาเสียงรบกวนดังกล่าวให้เบาลงบ้างเท่านั้น เขายังบอกชาวบ้านว่า ได้ยินเสียงอันแสนทรมานความรู้สึกอยู่ดี
.
.