"ชุดาภา จันทเขตต์" ยอมรับ...แจ้งเกิดบทหวือหวา
ig : fashion_in_memory
ขึ้นชื่อว่านักแสดงไม่ว่าบทไหนต้องเล่นได้ จะเป็นบท "อย่างหนา" ท้าทายฟ้าดิน หรือบท "นิ่ม ๆ" อย่างกุลสตรี รวมทั้งบท "บ้า" บท "ร้าย" ถ้าขึ้นชื่อว่านักแสดงแล้ว คำว่า "ไม่ได้" ไม่มีในพจนานุกรม ทว่าบางคนยอมลงทุนมากกว่านี้ ยังไม่มีโอกาส "แจ้งเกิด"
คอลัมน์ "หน้านี้ดารา...พูด" จึงขอให้โฟกัสชีวิตนักแสดงของดาราสาวเจ้าบทบาท "ชุดาภา จันทเขตต์" ที่กำลังได้รับการกล่าวขาน หลาย ๆ คนยอมรับในความสามารถของเธอ ในขณะเดียวกันบทบาทอย่างหนา แม้จะประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่ก็มีผลสะท้อนกลับที่ทำให้เธอไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก ส่วนจะเป็นอย่างไร ยังไง ลองฟัง "หนูชุ" ร่ายยาวให้ฟัง
"อย่างที่ชุเล่นบทหวือหวาจัดจ้านเลย ก็อย่างผลงานแรกเลยคือเรื่อง 'ทองประกายแสด' เป็นบทหวือหวาจัดจ้านที่ทำให้ชุเกิดขึ้นมาเลย ในลักษณะที่ว่าคนรู้จัก 'ชุดาภา' จากทองประกายแสด และก้อ...ชุ ก็เลิกรับบทนี้เลย แล้วหันมาเล่นละคร เล่นหนังในบทอื่น ก้อ...คือทำให้คนรู้จักชุในแง่ที่ว่าเกิดจากบทนี้ แต่ก็มีผลกระทบกลับมาคือว่า เขาอาจจะมองว่าเราจะเป็นอย่างในหนังหรือเปล่า เซ็กซี่อะไรอย่างนี้ หรือว่าเป็นอย่างในบทหรือเปล่า แต่ว่าจริง ๆ แล้วเราไม่ได้ทำตัวอย่างนั้น และไม่ได้ยึดอยู่กับบทอย่างนั้น เราก็เปลี่ยนบทอยู่เรื่อย ๆ ผลกระทบเหล่านี้ก็จะลบหายไป แต่ก็เป็นเพราะบทอย่างนี้ทำให้ชุเกิดขึ้นมา"
https://bit.ly/2UChip6
"หลังจากนั้นชุก็หันมาเล่นไปเรื่อย ๆ ตัวเอก นางเอก หรือ ตัวที่เล่นออกมาค่อนข้างที่จะร้ายก็มี อย่างเรื่อง 'สุดแต่ใจจะไขว่คว้า' นี่ก็เล่นเป็นเด็กสาวที่เรียนเก่ง แต่ค่อนข้างที่จะเป็นสาวร้ายเอาความที่ตนเป็นผู้หญิงที่สวย และมีความสวยล่อผู้ชาย แต่ตอนหลังก็พลาด คือบทค่อนข้างจะหวือหวาหน่อยสำหรับเด็ก ๆ น่ะค่ะ ในเรื่อง สุดแต่ใจฯ และก็มีผลกระทบกลับมาคือผู้ชมเกลียดมากเลย เวลาเดินไปที่ไหนมักจะมีคนบอกว่า...อีนี่ไง...อีวันแรม แต่ชุก็ดีใจในลักษณะที่ว่าเขาเกลียด แสดงว่าเราเล่นได้ดีถึงทำให้ผู้ชมเกลียดได้ หลังจากที่ชุหันมาเล่นเรื่องอื่น ภาพพจน์เก่าก็จะเลือนหายไป แต่ภาพพจน์ใหม่จะเข้ามาแทนที่ อย่างเช่นเรื่อง 'วิมานไฟ' แสดงเป็นพี่สาวคนโตที่ค่อนข้างดุ ดุน้องสาวมาก และเป็นคนเชื่อมั่นในตนเอง คนก็เริ่มเกลียดมักจะเรียกคุณนิด ๆ อะไรอย่างนี้ คือว่าบทนี้มิใช่นางเอกที่แสนดี แต่ไม่ใช่บทที่เป็นคนเลว คือว่าเป็นบทที่คล้ายชีวิตจริง ๆ เป็นคนที่ดีและไม่ดีในตัวเองอะไรอย่างนี้"
เพจบันเทิงไทย ในวัยเยาว์
"แต่ว่าบทในละครเรื่อง 'ปาก' ที่กำลังแพร่ภาพอยู่เป็นบทที่ชุเล่นร้ายที่สุดในชีวิตในความคิดของชุนะคะ ร้ายยิ่งกว่า 'ทองประกายแสด' เพราะว่าคือจากการที่เราแสดงไปแล้วเรารู้ บทนี้เป็นผู้หญิงที่ร้ายแบบประสาทด้วย คือได้รับเชื้อฮิสทีเรียทางกรรมพันธุ์ ฮิสทีเรียนี่มิใช่แบบเซ็กส์อะไรนะ แต่เป็นแบบว่าได้รับเชื้อมาจากกรรมพันธุ์ แล้วเวลาที่เครียดอะไรมาก ๆ จะมีอาการคลั่งทำให้อาละวาดแบบกรี๊ดรวมทั้งมีอาการปวดหัวมาก เป็นในลักษณะนั้นและแบบว่าเป็นนักเรียนนอกฟรีเซ็กส์นอนกับใครก็ได้ แถมพูดจาไม่สุภาพ ซึ่งมีผลสะท้อนให้เห็นว่าทำไมผู้หญิงคนนี้จึงเป็นแบบนี้ เพราะอะไรมิใช่ตัวเขาเองอย่างเดียวโอเค.เธอได้รับฮิสทีเรียมาจากพ่อ แต่จริง ๆ แล้วสภาพแวดล้อม สภาพสังคมที่เติบโตมน เขาเป็นเด็กเรียนเก่ง แต่สภาพแวดล้อมที่อยู่กับพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงอะไรอย่างนี้ คือพ่อรัก แต่ว่าแม่เกลียด และแบบเกลียดโดยที่ตัวเองไม่รู้สาเหตุ ว่าทำไมเป็นอย่างนี้ จนสุดท้ายเจ้าตัวรับไม่ไหวจึงกลายเป็นบ้าเลย"
เพจ Magazine&Book
"ส่วนเรื่อง...'สุดถนนบนทางเปลี่ยว' ชุต้องเล่นเป็นสาวปากจัด บทนี้มิใช่คนเลวหรือคนดี พูดง่าย ๆ เหมือนกับละครเรื่องวิมานไฟ เพียงแต่ว่าเป็นคนละสังคมกัน คือเป็นสังคมที่ชุเป็นเด็กเหมือนกับว่าเพิ่งจบม.3 หรือไม่จบด้วยซ้ำ และมาแต่งงานกันมีลูกกับนายทหารยศไม่สูงมากแค่นายร้อยอะไรอย่างนี้ และก็แบบว่าเป็นผู้หญิงปากจัด ต้องช่วยเหลือตัวเองและมีความเชื่อมั่นตนเอง พ่อแม่สอนอะไรจึงไม่ค่อยรับฟัง คือแม่ที่ดาริน กรสกุล เขาก็จะเอาแต่รักสวยรักงามมัวแต่แต่งตัว แล้วไม่มีปัญญาสอนลูก เพราะเขาก็โตมาในสภาพอย่างเดียวกันคือว่า โตเป็นสาวปุ๊บก็แต่งงานเลย ประกวดได้ตำแหน่งนางงามแล้วแต่งงานเลย จึงเลี้ยงลูกไม่ค่อยเป็น ลูกจึงมีลักษณะคล้ายกัน ด้วยเหตุที่ว่าไม่มีใครอบรมสั่งสอน ซึ่งตอนหลังเกือบจะแยกทางกับสามี และเป็นคนที่ค่อนข้างจะปากจัดด้วย อันนี้ก็มีที่มาคือเขาจะเดินบทตัวแม่ แต่ว่าตัวลูกเขาอยากให้เห็นว่าลูกที่ขาดการอบรมสั่งสอน ซึ่งตอนหลังเกือบจะแยกทางกับสามี และเป็นคนที่ค่อนข้างจะปากจัดด้วย อันนี้ก็มีที่มาคือเขาจะเดินบทตัวแม่ แต่ว่าตัวลูกเขาอยากให้เห็นว่าลูกที่ขาดการอบรมสั่งสอน ไม่มีใครคอยเอาใจใส่ ซึ่งเขาจะมีความดีและไม่ดีในตัว เมื่อถูกชักชวนนำไปทางไหน ก็จะไปทางนั้น ลูกทุกคนจึงเสียเกือบทั้งหมด"
เพจย้อนเวลา ในความทรงจำ
"สรุปแล้ว 'ชุ' คิดว่าเรื่องนี้เป็นละครสะท้อนชีวิต และชุรู้สึกว่าชอบกับบทนี้น่ะค่ะ คือว่าเราไม่ได้เล่นเป็นอย่างผู้หญิงเรียบร้อย แต่เป็นบทที่สามารถสอนผู้ชมไปในตัวและก็ยังมีความสนุกสนานในเรื่อง ไม่ใช่ละครซีเรียส แรกชุยังคิดว่าเป็นละครซีเรียสเลย แต่พอเล่น ๆ ไปจึงรู้ว่าเป็นละครที่ดูเพลินและมีสาระด้วย"
เพจชมรมคมดูหนังฟังเพลงแห่งประเทศไทย
"อย่างข่าวที่ว่าทางภาพยนตร์ชุไม่ค่อยอยากเล่นบทหวือหวาหรือเช้งกระเดะอะไรอย่างนั้น จริง ๆ แล้วภาพยนตร์ก็มีติดต่อชุเข้ามาเรื่อย ๆ แต่ว่าบางทีชุยอมรับว่าชุพลาดไป อย่างน้อยก็พลาดไป 2-3 เรื่องที่แบบว่าเราเล่นโดยที่เราไม่รู้เท่าการณ์ อย่าให้พูดดีกว่า เพราะว่ามันไม่ดี ไหน ๆ เราก็เล่นไปแล้ว คือว่าบางทีไม่คิดว่าเขาจะทำออกมา และบางทีแบบเรื่องเงินก็มีปัญหาตลอด คือเราทำงานให้เขา เราคิดว่าเราทำให้เต็มที่แล้ว แต่เวลาที่เขาตกลงกับเราเช่นเรื่องค่าตัว แต่พอเสร็จแล้วมาเบี้ยวเอาดื้อ ๆ และปิดกล้องไปดื้อ ๆ ชุจึงไม่ค่อยออากจะเล่นหนังที่ครึ่งเรื่องปิดกล้อง ซึ่งทำให้เสียถึงเราด้วย ถ้าจะให้เล่นหนังก็ขอให้เป็นหนังที่มีคุณภาพและเป็นหนังที่ดีหน่อย ตัวอะไรก็ได้ที่น่าสนใจชุเล่น แต่ถ้าเป็นหนังข้างนอกที่ติดต่อเข้ามาชุไม่เอาแล้ว ไม่เอาจริง ๆ ติดต่อมาก็ปฏิเสธแล้ว"
เพจลูกกวาดมอมแมม
ครับ...ช่วงก่อนหน้านี้มีหนังดีจากค่ายใหญ่ ๆ หลายเรื่องติดต่อเข้ามา ทว่าบังเอิญเหลือเกินที่ประจวบเหมาะกับหนูชุติดงานละครของช่อง 3 จึงขาดโอกาสที่จะแสดงความสามารถฉีกแนวออกไป และก่อนที่จะจากกัน เธอยังได้ทิ้งท้ายว่าละครโทรทัศน์เล่นมาเกือบทุกบทบาท แต่ละครแนวพีเรียดสไตล์ไทย ๆ ยังไม่เคยสัมผัส เก๊าะ...คิดว่าเธอยัลดีดดิ้นอยู่ถนนสายนี้ คงไม่นานที่เธอจะมีโอกาสได้สัมผัสกับสิ่งที่ "ชุดาภา จันทเขตต์" ไขว่คว้า...
ขอขอบพระคุณบทสัมภาษณ์จากนิตยสารดาราไทย ฉบับปี 2534
ด้วยรักเป็นอย่างยิ่ง.
สวัสดี.
ig : fashion_in_memory
"ชุดาภา จันทเขตต์" ยอมรับ...แจ้งเกิดจากบทหวือหวา สัมภาษณ์จากนิตยสารดาราไทย ฉบับปี 2534