เราขอเริ่มเลยนะคะ คือเราน่ะตอนนี้อายุ 16 ปี อยู่ชั้น ม.4 กำลังจะขึ้น ม.5 แล้วทีนี้สายที่เราเรียนอยู่คือสายวิทย์-คณิต เป็นห้องพิเศษแห่งนึงในจังหวัดน่าน ขอไม่เอ่ยชื่อนามของโรงเรียนที่เราอยู่นะคะ เราย้ายมาจากโรงเรียนเก่ามาเข้าโรงเรียนนี้
เราค่อยข้างมีปัญหากับคนในโรงเรียนเก่าค่ะ เป็นปัญหาที่ว่ามีคนไม่ชอบเรา คนที่เขาเกลียดเราอยู่ เวลาเราไปเรียนตอนม.ต้น เราไม่มีความสุข เราแบบว่าเครียดแล้วร้องไห้ตลอด แล้วก็พยายามอดทนเรียนต่อให้จบ แล้วจะเข้าโรงเรียนใหม่ แล้วเราก็สอบติดห้องเรียนพิเศษของโรงเรียนใหม่ เราดีใจมาก เราคิดว่าเราเลือกทางมาถูกแล้ว... แต่ทว่าสุดท้ายมันก็เป็นทางที่ผิด
ด้วยความที่โรงเรียนใหม่เราเป็นมันโรงเรียนในเมือง การเรียนการสอนมันก็จะต่างจากโรงเรียนเดิมของเราที่อยู่นอกเมืองมากค่ะ ทีนี่การแข่งขันค่อนข้างสูง แล้วตอนเทอมแรก เราก็ดัน..ขออนุญาตใช้คำไม่สุภาพนะคะ เราห้าวตีนค่ะ แบบว่าไม่สนใจการเรียนเลย จะว่าทิ้งการเรียนก็ว่าได้ จนเกรดของเราออกมาได้ 2.5 ซึ่งเป็นเกรดที่น้อยที่สุดที่เราเคยมีมา.. แล้วมันก็มีเกณฑ์ที่ ทั้งสองเทอมจะได้เฉลี่ยแล้วไม่เกิน 2.75 ถึงจะได้อยู่ห้องเดิมต่อ แต่เทอมสองเราได้ 2.86 ซึ่งความจริงแล้วมันจะต้องได้ 3.00+ ขึ้นไปค่ะ ถึงจะอยู่ต่อได้ แล้วที่เกรดเรามันต่ำ เป็นเพราะ ฟิสิกส์มันหน่วยกิต 2 แล้วเราได้แค่เกรด 1 ทั้งสองเทอมเลยค่ะ นันมันทำให้เราต้องหล่นห้องแน่นอนค่ะ
สำหรับเราในตอนนี้เราคิดว่าเราไปสายต่อ วิทย์-คณิตไม่ไหวแน่ค่ะ เราไม่ได้คณิต เคมี ฟิสิกส์ ชีวะ ดาราศาสตร์ หัวเรากับความชอบเรามันไปทางด้านภาษา แล้วเราก็ดันได้ภาษาไทย สังคม ประวัติศาสตร์ อังกฤษอะไรพวกนี้ได้มากกว่า แต่ภาษาอังกฤษเราไม่ได้เก่งขึ้นขนาดนั้น ระดับภาษาเราได้แค่ A2 เองค่ะ ตอนนี้กำลังจะคิดฝึกภาษาให้ได้อย่างน้อย C1 ก็พอใจมากแล้วสำหรับเรา เราอยากจะย้ายสายไปสายศิลป์ อ๋อค่ะ เราขอบอกดักไว้ตรงนี้เลยนะคะ เราไม่ได้จะเป็นพวกแพทย์ หมอ เราตั้งใจจะเข้าคณะมนุษยศาสตร์ แล้วเป็นแอร์โฮสเตส เพราะงั้นไม่ต้องมาบอกว่า ‘สายวิทย์-คณิต มันก็ดีอยู่แล้วน้องอย่าไปเปลียนสายเลยบลาๆ’ ขอโทษด้วยนะคะ แต่ว่า “นี่มันอนาคตของเรา ได้โปรดอย่าได้เบนอนาคตของเราไปตามแบบความคิดของคุณเลยนะคะ” ยิ่งรุ่นเรามันจะเป็นระบบการสอบ TCAS หรืออาจจะเป็นระบบอื่น แต่ถ้าเกิดว่ามันเป็น ระบบนี้ละก็ ในการสอบ GAT/PAT มันจะต้องมีแน่นอนค่ะ แล้วยิ่งทางของ PAT
PAT1 ความถนัดทางคณิตศาสตร์
PAT2 ความถนัดทางวิทยาศาสตร์ แล้วจะแบ่งแยกออกมาเป็น ชีวะ ฟิสิกส์ เคมี ดาราศาสตร์ ซึ่งทั้ง PAT1/2 สายวิทย์-คณิตจะต้องสอบค่ะแล้วแต่ว่าคณะนั้นๆจะต้องใช้PAT อื่นด้วยมั้ย อย่างเช่น ถ้าคุณเรียนสายวิทย์-คณิตมาแล้ว ต้องการจะเป็นครู ก็ต้องสอบ PAT1/PAT 2 และPAT5 ความถนัดทางวิชาชีพครู
ส่วนถ้าเป็นสายศิลป์ที่จะเข้าคณะพวกภาษา จะใช้เป็น
PAT7 ความถนัดทางภาษาต่างประเทศ (มีแบ่งย่อยเป็น 7.1-7.8 แล้วแต่ว่าจะสอบวิชาภาษาอะไร) อย่างเดียวค่ะ ไม่จำเป็นจะต้องใช้ PAT1/PAT2 อย่างสายวิทย์คณิต แค่โฟกัสทำคะแนนของ PAT 7 ให้สูงๆก็พอค่ะ
เห็นความแตกต่างและใช่ไหมคะ? เพราะแบบนั้น เราเลยคิดจะไปทางศิลป์ภาษาค่ะ เพราะยังไงภาษาสอบ ก็แค่ไปสอบของ PAT 7 ไปเลย ทำให้ได้คะแนนสูงๆ ถ้าถามเราว่าแล้ว O-net ที่จะยังไง วิชาที่จะสอบของ O-net ก็จะมีภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
(เด็ก ป.6 และ ม.3 สอบแค่ 4 วิชาเท่านั้น) แต่เราสามารถไปอ่านเพิ่มของพวกวิทย์ คณิต ได้ค่ะ เพราะยังไง O-net ก็จะสอบยากน้อยกว่าของ PAT อยู่ดี
จนถึงตอนนี้อาจจะมีหลายคนสงสัยว่า “เอ๊ะ แล้วทำไมไม่ย้ายสายภายในโรงเรียนละ?” เราจะบอกไว้ตรงนี้เลยนะคะว่า โรงเรียนที่เราอยู่มันมีแค่ ศิบป์จีน ส่วนโรงเรียนเดิมเรา มีแค่ ศิลป์-คำนวน ศิลป์-จีน ศิลป์-เกาหลี ศิลป์-ญี่ปุ่น แต่โรงเรียนเดิมว่า พวกสายศิลป์เขาจะไม่ใช่คนเก่งอะไรขนาดนั้น มันจะเป็นพวกรั้งท้าย ที่ก็แค่เรียนๆไป (เราไม่ได้ดูถูกหรือว่าเขานะคะ เราพูดตามความจริง เพราะเราเคยเห็น เราเลยพูดตามแบบที่เราเห็น) ถ้าเข้าไปเราบอกเลยค่ะ ว่าไม่รอดแน่นอน ส่วนทำไมไม่เข้าของโรงเรียนเดิม เราไม่ได้ชอบจีนค่ะ เรารู้ว่าจีนมันสำคัญ แต่สำหรับเราแล้วเราคิดว่าเราไปเรียนเสริมเอาก็ได้ค่ะ แล้วเราก็ไม่ได้ชอบภาษาจีนเท่าไหร่ ส่วนญี่ปุ่นกับเกาหลี เราก็คิดว่าจะไปเรียนเสริมเอาเอง ศิลป์ที่เราสนใจจะเป็นฝรั่งเศส และเยอรมัน ซึ่งในจังหวัดเราไม่มีโรงเรียนไหนที่มีศิลป์พวกนี้ ส่วนถ้าเป็นอีกรร. นึงในเมือง(รู้สึกว่าจะมีแค่ศิลป์ญี่ กับเกา กับคำนวน) เราไม่รู้ว่าเขาจะดูเกรดมั้ย
เราไม่แน่ใจค่ะว่าเราควรจะดรอปมั้ย แต่ถ้าเราได้ดรอปเราจะไปเตรียมตัวเองติวตัวเอง หรือหาเรียนออนไลน์ ทำยังไงก็ได้ให้เราสอบติดเตรียมอุดม หรือโรงเรียนที่เราจะหาข้อมูลที่มีพวกศิลป์ฝรั่งเศส กับศิลป์เยอรมันดูค่ะ พวกเอกชนพ่อแม่เราจ่ายไม่ไหวค่ะ ถึงทั้งคู่จะเป็นข้าราชการ แต่รายได้ที่พ่อแม่เราต้องจ่ายหนี้อีก เราคิดว่าเราจะเตรียมตัวเองให้สอบติดทุนเอาให้ได้ เราไม่อายที่เราจะมีอายุมากกว่ารุ่นน้องที่เรียนด้วยค่ะ เราสนใจและโฟกัสที่อนาคตของเรามากกว่า คำพูดคำปากของคนอื่น ใครจะพูดอะไร ใครจะทำอะไรสุดท้ายอนาคตของเรามันก็เป็นของเราอยู่ดีค่ะ มันไม่ใช่ของเขาเลยสักนิดเดียว เวลาเราไปสอบ เขาก็ไม่ได้ไปสอบกับเราด้วยถูกไหมคะ? คนมันมีปากมันจะพูดอะไรก็ย่อมพูดได้ค่ะ เราไม่ควรไปให้ค่าอะไรมากขนาดนั้น ยกเว้นพวกคำวิจารณ์ที่เขาพูดเพื่ออยากจะให้เราปรับปรุงตัวเองหรือพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น ส่วนคำพูดเสียดสี คำด่า คำเยาะเย้ย ดูถูก มันเป็นเรื่องที่คนบางคนถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติที่จะต้องพูดใส่คนอื่น เพื่อสนองความสะใจของตัวเอง ที่ตัวเองทำไม่ได้ ก็จะขัดขวางไม่ให้คนอื่นทำได้เหมือนกัน
พ่อแม่พี่เราไม่ค่อนข้างจะเห็นด้วย แต่เขาก็บอกว่าถ้าคิดว่าทำแล้วมันถูก มันดีก็แล้วแต่เราจะเลือก เราจะทำเลย
เรายอมรับว่าในอดีตเราเคยละทิ้งอนาคตตัวเองไปแล้ว จนทำให้ตอนนี้มันต้องกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว แต่ถ้าในตอนนั้นก่อนที่เราจะขึ้นม.4 ถ้าเรารู้ตัวเองเร็วกว่านี้แล้วพิสูจน์ตัวเองให้พวกเขายอมรับ มันอาจจะไม่ใช่แบบนี้ก็ได้ค่ะ แต่ทุกอย่างในอดีตเรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว สิ่งที่มีอยู่ตอนนี้มันคือปัจจุบันที่จะกลายเป็นอดีต และอนาคตที่จะกลายมาเป็นปัจจุบัน สิ่งที่เราผิดพลาดทำไปในตอนนั้น เราจะไม่ทำมันอีกแล้ว เรารู้แล้วว่าหลังจากนี้ควรจะทำยังไงไม่ให้อนาคตเรามันล่มสลายเป็นแบบนี้อีกแล้ว อนาคตทั้งชีวิตของเรา เราจะให้มันพังไม่ได้เด็ดขาดอีกต่อไปแล้วค่ะ
อยากจะขอความคิดเห็นจากผู้ที่เข้าอ่านมาจนถึงตอนนี้ ช่วยให้คำแนะนำกับเราด้วยคำสุภาพ และมีเหตุผลด้วยนะคะ เราขอขอบคุณทุกคำแนะนำของทุกคน เอาไว้ล่วงหน้าตรงนี้ด้วยจริงๆนะคะ
ควรจะดรอปเรียน 1 ปี ก่อนจะขึ้นม.5 สายวิทย์-คณิต แล้วไปเริ่มต้น ม.4 สายศิลป์ใหม่ดีไหมคะ?
เราค่อยข้างมีปัญหากับคนในโรงเรียนเก่าค่ะ เป็นปัญหาที่ว่ามีคนไม่ชอบเรา คนที่เขาเกลียดเราอยู่ เวลาเราไปเรียนตอนม.ต้น เราไม่มีความสุข เราแบบว่าเครียดแล้วร้องไห้ตลอด แล้วก็พยายามอดทนเรียนต่อให้จบ แล้วจะเข้าโรงเรียนใหม่ แล้วเราก็สอบติดห้องเรียนพิเศษของโรงเรียนใหม่ เราดีใจมาก เราคิดว่าเราเลือกทางมาถูกแล้ว... แต่ทว่าสุดท้ายมันก็เป็นทางที่ผิด
ด้วยความที่โรงเรียนใหม่เราเป็นมันโรงเรียนในเมือง การเรียนการสอนมันก็จะต่างจากโรงเรียนเดิมของเราที่อยู่นอกเมืองมากค่ะ ทีนี่การแข่งขันค่อนข้างสูง แล้วตอนเทอมแรก เราก็ดัน..ขออนุญาตใช้คำไม่สุภาพนะคะ เราห้าวตีนค่ะ แบบว่าไม่สนใจการเรียนเลย จะว่าทิ้งการเรียนก็ว่าได้ จนเกรดของเราออกมาได้ 2.5 ซึ่งเป็นเกรดที่น้อยที่สุดที่เราเคยมีมา.. แล้วมันก็มีเกณฑ์ที่ ทั้งสองเทอมจะได้เฉลี่ยแล้วไม่เกิน 2.75 ถึงจะได้อยู่ห้องเดิมต่อ แต่เทอมสองเราได้ 2.86 ซึ่งความจริงแล้วมันจะต้องได้ 3.00+ ขึ้นไปค่ะ ถึงจะอยู่ต่อได้ แล้วที่เกรดเรามันต่ำ เป็นเพราะ ฟิสิกส์มันหน่วยกิต 2 แล้วเราได้แค่เกรด 1 ทั้งสองเทอมเลยค่ะ นันมันทำให้เราต้องหล่นห้องแน่นอนค่ะ
สำหรับเราในตอนนี้เราคิดว่าเราไปสายต่อ วิทย์-คณิตไม่ไหวแน่ค่ะ เราไม่ได้คณิต เคมี ฟิสิกส์ ชีวะ ดาราศาสตร์ หัวเรากับความชอบเรามันไปทางด้านภาษา แล้วเราก็ดันได้ภาษาไทย สังคม ประวัติศาสตร์ อังกฤษอะไรพวกนี้ได้มากกว่า แต่ภาษาอังกฤษเราไม่ได้เก่งขึ้นขนาดนั้น ระดับภาษาเราได้แค่ A2 เองค่ะ ตอนนี้กำลังจะคิดฝึกภาษาให้ได้อย่างน้อย C1 ก็พอใจมากแล้วสำหรับเรา เราอยากจะย้ายสายไปสายศิลป์ อ๋อค่ะ เราขอบอกดักไว้ตรงนี้เลยนะคะ เราไม่ได้จะเป็นพวกแพทย์ หมอ เราตั้งใจจะเข้าคณะมนุษยศาสตร์ แล้วเป็นแอร์โฮสเตส เพราะงั้นไม่ต้องมาบอกว่า ‘สายวิทย์-คณิต มันก็ดีอยู่แล้วน้องอย่าไปเปลียนสายเลยบลาๆ’ ขอโทษด้วยนะคะ แต่ว่า “นี่มันอนาคตของเรา ได้โปรดอย่าได้เบนอนาคตของเราไปตามแบบความคิดของคุณเลยนะคะ” ยิ่งรุ่นเรามันจะเป็นระบบการสอบ TCAS หรืออาจจะเป็นระบบอื่น แต่ถ้าเกิดว่ามันเป็น ระบบนี้ละก็ ในการสอบ GAT/PAT มันจะต้องมีแน่นอนค่ะ แล้วยิ่งทางของ PAT
PAT1 ความถนัดทางคณิตศาสตร์
PAT2 ความถนัดทางวิทยาศาสตร์ แล้วจะแบ่งแยกออกมาเป็น ชีวะ ฟิสิกส์ เคมี ดาราศาสตร์ ซึ่งทั้ง PAT1/2 สายวิทย์-คณิตจะต้องสอบค่ะแล้วแต่ว่าคณะนั้นๆจะต้องใช้PAT อื่นด้วยมั้ย อย่างเช่น ถ้าคุณเรียนสายวิทย์-คณิตมาแล้ว ต้องการจะเป็นครู ก็ต้องสอบ PAT1/PAT 2 และPAT5 ความถนัดทางวิชาชีพครู
ส่วนถ้าเป็นสายศิลป์ที่จะเข้าคณะพวกภาษา จะใช้เป็น
PAT7 ความถนัดทางภาษาต่างประเทศ (มีแบ่งย่อยเป็น 7.1-7.8 แล้วแต่ว่าจะสอบวิชาภาษาอะไร) อย่างเดียวค่ะ ไม่จำเป็นจะต้องใช้ PAT1/PAT2 อย่างสายวิทย์คณิต แค่โฟกัสทำคะแนนของ PAT 7 ให้สูงๆก็พอค่ะ
เห็นความแตกต่างและใช่ไหมคะ? เพราะแบบนั้น เราเลยคิดจะไปทางศิลป์ภาษาค่ะ เพราะยังไงภาษาสอบ ก็แค่ไปสอบของ PAT 7 ไปเลย ทำให้ได้คะแนนสูงๆ ถ้าถามเราว่าแล้ว O-net ที่จะยังไง วิชาที่จะสอบของ O-net ก็จะมีภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
(เด็ก ป.6 และ ม.3 สอบแค่ 4 วิชาเท่านั้น) แต่เราสามารถไปอ่านเพิ่มของพวกวิทย์ คณิต ได้ค่ะ เพราะยังไง O-net ก็จะสอบยากน้อยกว่าของ PAT อยู่ดี
จนถึงตอนนี้อาจจะมีหลายคนสงสัยว่า “เอ๊ะ แล้วทำไมไม่ย้ายสายภายในโรงเรียนละ?” เราจะบอกไว้ตรงนี้เลยนะคะว่า โรงเรียนที่เราอยู่มันมีแค่ ศิบป์จีน ส่วนโรงเรียนเดิมเรา มีแค่ ศิลป์-คำนวน ศิลป์-จีน ศิลป์-เกาหลี ศิลป์-ญี่ปุ่น แต่โรงเรียนเดิมว่า พวกสายศิลป์เขาจะไม่ใช่คนเก่งอะไรขนาดนั้น มันจะเป็นพวกรั้งท้าย ที่ก็แค่เรียนๆไป (เราไม่ได้ดูถูกหรือว่าเขานะคะ เราพูดตามความจริง เพราะเราเคยเห็น เราเลยพูดตามแบบที่เราเห็น) ถ้าเข้าไปเราบอกเลยค่ะ ว่าไม่รอดแน่นอน ส่วนทำไมไม่เข้าของโรงเรียนเดิม เราไม่ได้ชอบจีนค่ะ เรารู้ว่าจีนมันสำคัญ แต่สำหรับเราแล้วเราคิดว่าเราไปเรียนเสริมเอาก็ได้ค่ะ แล้วเราก็ไม่ได้ชอบภาษาจีนเท่าไหร่ ส่วนญี่ปุ่นกับเกาหลี เราก็คิดว่าจะไปเรียนเสริมเอาเอง ศิลป์ที่เราสนใจจะเป็นฝรั่งเศส และเยอรมัน ซึ่งในจังหวัดเราไม่มีโรงเรียนไหนที่มีศิลป์พวกนี้ ส่วนถ้าเป็นอีกรร. นึงในเมือง(รู้สึกว่าจะมีแค่ศิลป์ญี่ กับเกา กับคำนวน) เราไม่รู้ว่าเขาจะดูเกรดมั้ย
เราไม่แน่ใจค่ะว่าเราควรจะดรอปมั้ย แต่ถ้าเราได้ดรอปเราจะไปเตรียมตัวเองติวตัวเอง หรือหาเรียนออนไลน์ ทำยังไงก็ได้ให้เราสอบติดเตรียมอุดม หรือโรงเรียนที่เราจะหาข้อมูลที่มีพวกศิลป์ฝรั่งเศส กับศิลป์เยอรมันดูค่ะ พวกเอกชนพ่อแม่เราจ่ายไม่ไหวค่ะ ถึงทั้งคู่จะเป็นข้าราชการ แต่รายได้ที่พ่อแม่เราต้องจ่ายหนี้อีก เราคิดว่าเราจะเตรียมตัวเองให้สอบติดทุนเอาให้ได้ เราไม่อายที่เราจะมีอายุมากกว่ารุ่นน้องที่เรียนด้วยค่ะ เราสนใจและโฟกัสที่อนาคตของเรามากกว่า คำพูดคำปากของคนอื่น ใครจะพูดอะไร ใครจะทำอะไรสุดท้ายอนาคตของเรามันก็เป็นของเราอยู่ดีค่ะ มันไม่ใช่ของเขาเลยสักนิดเดียว เวลาเราไปสอบ เขาก็ไม่ได้ไปสอบกับเราด้วยถูกไหมคะ? คนมันมีปากมันจะพูดอะไรก็ย่อมพูดได้ค่ะ เราไม่ควรไปให้ค่าอะไรมากขนาดนั้น ยกเว้นพวกคำวิจารณ์ที่เขาพูดเพื่ออยากจะให้เราปรับปรุงตัวเองหรือพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น ส่วนคำพูดเสียดสี คำด่า คำเยาะเย้ย ดูถูก มันเป็นเรื่องที่คนบางคนถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติที่จะต้องพูดใส่คนอื่น เพื่อสนองความสะใจของตัวเอง ที่ตัวเองทำไม่ได้ ก็จะขัดขวางไม่ให้คนอื่นทำได้เหมือนกัน
พ่อแม่พี่เราไม่ค่อนข้างจะเห็นด้วย แต่เขาก็บอกว่าถ้าคิดว่าทำแล้วมันถูก มันดีก็แล้วแต่เราจะเลือก เราจะทำเลย
เรายอมรับว่าในอดีตเราเคยละทิ้งอนาคตตัวเองไปแล้ว จนทำให้ตอนนี้มันต้องกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว แต่ถ้าในตอนนั้นก่อนที่เราจะขึ้นม.4 ถ้าเรารู้ตัวเองเร็วกว่านี้แล้วพิสูจน์ตัวเองให้พวกเขายอมรับ มันอาจจะไม่ใช่แบบนี้ก็ได้ค่ะ แต่ทุกอย่างในอดีตเรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว สิ่งที่มีอยู่ตอนนี้มันคือปัจจุบันที่จะกลายเป็นอดีต และอนาคตที่จะกลายมาเป็นปัจจุบัน สิ่งที่เราผิดพลาดทำไปในตอนนั้น เราจะไม่ทำมันอีกแล้ว เรารู้แล้วว่าหลังจากนี้ควรจะทำยังไงไม่ให้อนาคตเรามันล่มสลายเป็นแบบนี้อีกแล้ว อนาคตทั้งชีวิตของเรา เราจะให้มันพังไม่ได้เด็ดขาดอีกต่อไปแล้วค่ะ
อยากจะขอความคิดเห็นจากผู้ที่เข้าอ่านมาจนถึงตอนนี้ ช่วยให้คำแนะนำกับเราด้วยคำสุภาพ และมีเหตุผลด้วยนะคะ เราขอขอบคุณทุกคำแนะนำของทุกคน เอาไว้ล่วงหน้าตรงนี้ด้วยจริงๆนะคะ