CRC ยังเจ๋งแค่ไหน...ในวันที่เหลือแขนข้างเดียว?


จู่ๆราคาหุ้น CRC ก็ดีดขึ้นมาแตะซิลลิ่งและบวกต่อเนื่องในวันนี้ หลังช่วงที่ผ่านมาราคาดิ่งแรงตามภาวะตลาด ขณะที่พื้นฐานของบริษัทในช่วงนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง อย่างเช่น ห้างอย่างโรบินสัน ร้านค้าไทวัสดุ และร้านค้าอื่นๆในห้างบางสาขา ยังคงถูกปิดชั่วคราวอยู่ แต่การที่ราคาหุ้นพุ่งขนาดนี้ ย่อมมีความเจ๋งซ่อนอยู่! แต่เพียงพอที่จะดันราคาหุ้นสวนทางวิกฤตโควิด-19 ได้แค่ไหน?
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC เป็นเจ้าของธุรกิจห้างสรรพสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากการสั่งปิดพื้นที่เสี่ยงของรัฐบาลอยู่ในตอนนี้ก็จริง โดยเฉพาะการเป็นผู้มีส่วนแบ่งการตลาดห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่สุดของไทยและต่างประเทศด้วย อย่างเช่น ยอดขายในอิตาลีที่นักวิเคราะห์คาดจะหายไปถึง 75%  และ ยอดขายสาขาเดิม(SSSG)ของกลุ่ม Hardline น่าจะติดลบถึง 6.5%

แต่ราคาหุ้นกลับไม่เป็นไปตามนั้น เพราะวานนี้(25มี.ค.63) ราคาหุ้นดีดขึ้นไปแตะซิลลิ่งที่ 24.10 บาท และยังบวกต่อเนื่องอีกในวันนี้ โดยขึ้นไปทำจุดสูงสุดของวันที่ 26.75 บาท และมาปิดตลาดรอบเช้าที่ 26.25 บาท เพิ่มขึ้น 2.15 บาท หรือ +8.92%

แน่นอนว่าราคาหุ้นพุ่งแรงขนาดนี้ ย่อมมีความเจ๋งซ่อนอยู่

*** ธุรกิจอาหารกำลังได้รับอานิสงส์เต็มๆ ส่วนธุรกิจอื่นยังขายออนไลน์ได้อยู่ 
หลังจากที่บริษัทหลายแห่งเริ่มประกาศบังคับพนักงานให้ปฏิบัติงานจากที่บ้าน(Work From Home)เห็นได้ชัดเจนว่าธุรกิจส่งอาหาร(Delivery)กำลังเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งมาก ซึ่ง CRC ก็เป็นผู้ได้รับอานิสงส์ในส่วนนี้เต็มๆ โดยบล.บัวหลวง ระบุว่า CRC มีสัดส่วนธุรกิจอาหารมากถึง 40% ของรายได้รวมซึ่งปัจจุบันมี SSSG เป็นบวกคาดอยู่ที่ 4.2% ความได้เปรียบเหนือกว่าหุ้นขนาดใหญ่รายอื่นๆก็คือ ธุรกิจส่งอาหาร และขายสินค้าออนไลน์ มีรากฐานที่แกร่งกว่าเพราะทำมานานกว่า 3 ปีแล้ว

ขณะที่ธุรกิจอื่น ธุรกิจฮาร์ดไลน์ และ แฟชั่น ยังสามารถจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ได้ และด้วยค่าใช้จ่ายผันแปรที่สูงถึง 85% จะทำให้บริษัทสามารถปรับลดต้นทุนลงช่วยหนุนอัตรากำไรได้อีก

นอกจากนี้รายละเอียดเบื้องต้นของการประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ที่ระบุว่า จะไม่มีการปิดสถานประกอบการที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ยิ่งตอกย้ำความเชื่อมั่นให้กับธุรกิจอาหารและร้านสะดวกซื้อของ CRC ทันที เช่น แฟมิลี่มาร์ท(Family Mart) และ ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต(Tops)

*** ราคาหุ้นตอนนี้สะท้อนอะไรไปแล้วบ้าง มีอะไรที่ยังไม่รวม?
บล.บัวหลวง ประเมินกำไรสุทธิปี 63 ไว้ที่ 7,912 ล้านบาท หดตัว -25.6% YoY แม้จะได้ธุรกิจอาหารหนุน แต่ธุรกิจอื่นก็มีสัดส่วนรายได้ถึง 60% โดยประมาณการนี้สะท้อนผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ โควิด-19 เข้ามาโดยรวม SSSG ธุรกิจแฟชั่นในปี 63 ปรับตัวลดลง 25% (ยอดขายปรับตัวลงถึง 75% ในประเทศอิตาลี) และ SSSG ธุรกิจฮาร์ดไลน์ที่ปรับตัวลง 6.5% 

แต่มองว่าตลาดยังไม่สะท้อนผลบวกของธุรกิจอาหารที่ SSSG เป็นบวก 4.2% ในครั้งนี้เข้าไป นอกจากนี้ราคาหุ้นยังไม้ได้รวมผลประโยชน์จากค่าใช้จ่ายผันแปรสูง ที่มีโอกาสปรับลดลงได้ ที่สําคัญมีความโดดเด่นจากงบการเงินที่แข็งแกร่งด้วยอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนสุทธิในระดับต่ำที่ 0.2 เท่า ณ สิ้นปี 2563 (ต่ำที่สุดในผู้ประกอบการค้าปลีกไทย)

แนะนํา “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 42 บาท คำนวณด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสด (DCF) ณ สิ้นปี 63 (สมมติฐาน WACC ที่ 8.0% และ terminal growth ที่ 2%)

*** สำรวจความคุ้มค่า...P/E ต่ำกว่ากลุ่มค้าปลีกมาก
จากการสำรวจ P/E ของหุ้นในกลุ่มค้าปลีกที่มีธุรกิจใกล้เคียงกับ CRC ณ ราคาปิดตลาดช่วงเช้าวันที่ 26 มี.ค.63 พบว่าส่วนใหญ่ซื้อขายกันค่อนข้างสูง ดังนี้


ด้วย P/E ที่ต่ำมากในขณะนี้ นักวิเคราะห์จึงมองว่าราคาหุ้นควรจะกลับไปซื้อขายที่ราคาไอพีโอ 42 บาท โดย บล.บัวหลวง ระบุด้วย P/E ที่ถูกที่สุดในบรรดาบริษัทค้าปลีกไทยและจุดเด่นที่จะฟื้นตัวในปี 64 คาดการณ์กําไรเติบโตที่ 12% ดังนั้นถือว่ามูลค่าหุ้นอยู่ในระดับถูกมาก

ด้วยกำไรสุทธิปี 63 ที่นักวิเคราะห์มองว่าจะหดตัว -25.6% นั้นก็ถือว่าหนักหนาอยู่ แต่หากมองอีกมุมก็ถือว่าเอาตัวรอดได้ไม่เลวเหมือนกัน ในสถานการณ์ที่เหลือร้านอาหารเพียงธุรกิจเดียวที่ยังเติบโตอยู่ ขณะที่ P/E ตอนนี้ก็ถูกกว่าหุ้นที่ถูกปิดสาขาแต่ไม่มีร้านอาหารรองรับเสียอีก!

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่