ท่ามกลางสถานการณ์ฝุ่นควันพิษ PM 2.5
แตะระดับ 300-400 มคก./ลบ.ม.
ซึ่งทะลุค่ามาตราฐานไป 7 เท่า !
ส่งผลให้สภาพอากาศในเชียงรายเข้าขั้นอันตราย !!
และผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
ที่ขยายวงกว้างไปทั่วโลกและทั่วประเทศไทย
ผู้คนหวาดวิตกจนไม่รู้จะเดินหน้าไปทางใด
ทั้งเรื่องสุขภาพกาย สุขภาพใจ และสภาพติดขัดของเศรษฐกิจ
มู้ด แอนด์ โทน รอบตัวเป็นสีขะมุกขมัว
แต่ชีวิตยังต้องการแรงบันดาลใจจากอะไรบางอย่าง
เพื่อต่อลมหายใจแห่งความหวัง …
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้โพสต์โดย เอก CrossCutting Journey #ในที่ซึ่งรู้สึกดี ฝากติดตามและให้กำลังใจในการทำโพสต์ได้ที่
PAGE: https://www.facebook.com/thecrosscutting/
YOUTUBE: https://www.youtube.com/channel/UCxhpTomG0Tw0GG0vwJt7uaA
ในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2020 ก่อนที่อาจจะมีการ ‘ล็อกดาวน์’
ผมได้ตัดสินใจออกเดินทางอีกครั้ง ...
เป็นการเดินทางเพื่อ ‘ตามรอยกินรี’ ไปที่จังหวัดเชียงราย
เพราะส่วนหนึ่งในนิยามและความหมาย การเดินทางท่องเที่ยวของผม
คือ การได้เรียนรู้ และเข้าใจสิ่งที่เป็นไปด้วยตัวเอง
ในช่วงเวลาแบบนี้ เราคงได้พบเจอเรื่องราวมากมาย
จากการเดินทางทริปนี้ …
ปกติผมเดินทางภายในประเทศด้วยสายการบินราคาประหยัด
ที่บินจากสนามบินดอนเมือง
แต่ทริปนี้ เที่ยวบินที่จะพาพวกเราเดินทาง
จากกรุงเทพ สู่เชียงราย เป็นเที่ยวบินช่วงเช้ามืด
ของสายการบินเวียดเจ็ท (Vietjet Air) ซึ่งเทคออฟจากสุวรรณภูมิ
อาจเป็นเพราะเวลาที่ยังเช้าอยู่ หรืออาจเพราะสถานการณ์โควิด-19
ผู้คนในสุวรรณภูมิดูบางตาจนแปลกตา
อย่างไรก็ตาม เที่ยวบินของพวกเรา ซึ่งมีผู้โดยสารอยู่เต็มลำ
ออกบินตรงเวลา ไม่มีดีเลย์
และลงจอดตามกำหนดการที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย
หลังแวะกินข้าว ดื่มกาแฟแบบเบาๆ
พวกเราก็ไปแวะไปสำรวจบรรยากาศในเชียงรายที่แรก คือ วัดห้วยปลากั้ง
ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาในตำบลริมกก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
โดยมีสถาปัตยกรรมผสมผสานแบบจีนและล้านนา
หนึ่งในไฮไลท์วัดแห่งนี้ คือ รูปปั้นองค์เจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ซึ่งมีความสูงประมาณ 79 เมตร หรือเทียบเท่ากับตึกสูง 25-26 ชั้น
จากบริเวณลานจอดรถไปที่รูปปั้น สามารถที่จะเดินไปหรือจะนั่งรถที่ทางวัดจัดไว้ก็ได้
วันนี้ผู้มาเยี่ยมชมที่วัดน้อยมาก ซึ่งหากพิจารณาจากขนาดของลานจอดรถ
ผมคาดเดาดูว่า หากเป็นช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19
บริเวณวัดน่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวจีน และชาวไทยมาเที่ยวชมมากกว่านี้
จากวัดห้วยปลากั้ง พวกเราออกเดินทางไปยังจุดหมายที่สอง
คือ วัดร่องเสือเต้น ซึ่งอยู่ห่างกันราวๆ 6-7 กม.
หากให้พูดถึงแลนด์มาร์คเชิงศิลปะคู่แผ่นดิน ในจังหวัดเชียงราย
เราอาจนึกถึงพิพิธภัณฑ์บ้านดำของอาจารย์ถวัลย์ และวัดร่องขุ่นของอาจารย์เฉลิมชัย
แต่ราวๆ 4 ปีที่ผ่านมา เกิดสถาปัตยกรรมแห่งใหม่ที่น่าสะดุดตาขึ้นมาในเชียงราย
นั่นก็คือ วัดร่องเสือเต้น แห่งนี้
ซึ่งสร้างและออกแบบโดย อาจารย์พุทธา กาบแก้ว หรือสล่านก ศิลปินพื้นบ้านชาวเชียงราย
ผู้เป็นลูกศิษย์ช่วยงานสร้างวัดร่องขุ่นของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ จนได้ซึมซับ
ศิลปะแนวพุทธศิลป์จากอาจารย์เฉลิมชัย มาประยุกต์สร้างวิหารวัดร่องเสือเต้นขึ้น
โดยออกแบบมีเฉดสีน้ำเงินฟ้าตัดสีทอง จนโดดเด่นมีเอกลักษณ์
เป็นจุดหมายที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ต่างอยากมาเห็นด้วยตาตัวเอง
จากวัดร่องเสือเต้น ขยับต่อเข้ามาถึงใจกลางเมือง ที่วัดพระแก้วเชียงราย
ซึ่งเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของคนเชียงราย โดยเป็นวัดที่ค้นพบพระแก้วมรกต
ก่อนที่จะย้ายมาประดิษฐานอยู่ ที่วัดพระแก้ว กรุงเทพฯ ในปัจจุบัน
จากการเดินทางไปเยี่ยมชมวัดสำคัญทั้งสามแห่ง
ผมได้มีโอกาสพูดคุยสอบถามนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ถึงความรู้สึกของพวกเขาต่อสถานการณ์ระบาดของเชื้อโควิด-19
(เป็นช่วงเวลาก่อนการระบาดใหญ่ในยุโรป)
ซึ่งนักท่องเที่ยวได้พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แสดงความรู้สึกมั่นใจ
ในการเดินทางมาเที่ยวที่จังหวัดเชียงราย และมีความประทับใจในสถาปัตยกรรม
วัฒนธรรม อาหารประจำถิ่น และความเป็นมิตรของผู้คนจังหวัดเชียงราย
รวมถึงจังหวัดอื่นๆ ที่พวกเขาได้ไปเที่ยวมา
ในฐานะคนไทย ได้ยินแบบนี้ รู้สึกภูมิใจและมีความหวัง
ในการกอบกู้การท่องเที่ยวไทย หลังจากวิกฤตครั้งนี้
เผลอแป๊บเดียว เวลาเดินทางมาถึงช่วงเที่ยง ตรงเวลากับที่เสียงท้องเริ่มร้องส่งเสียง
ทริปนี้พวกเราเช็คอินเข้าพักที่ โรงแรม เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี
หลังจากเก็บกระเป๋าเสร็จ ก็รีบตรงไปที่ห้องอาหาร ไชน่า การ์เดนท์ (China Garden)
ซึ่งได้ยินชื่อเสียงมานาน ถึงรสชาติเลิศรส ของสูตรลับอาหารจีนต้นตำรับกวางตุ้ง
และติ่มซำกว่า 20 รายการที่ทำสดใหม่ทุกวัน
มาถึงแล้วจะรอช้าอยู่ทำไม รีบลิ้มลองพิสูจน์รสกันเลยดีกว่า
ว่ากันว่า ‘อาหารเลิศรสคือบ่อเกิดแห่งความสุข’
เป็นประโยคที่จริงแท้ปฏิเสธไม่ได้
โดยเฉพาะในเวลานี้
ติ่มซำเนื้อแน่น และของหวานตบท้าย
อย่างเนื้อพุทราจีนทอดนอนเรียงราย อยู่ในท้องเรียบร้อยแล้ว …
หลังจากอิ่มท้องกับอาหารจีนรสเลิศในมื้อเที่ยงกันแล้ว ก็ถึงเวลาออกเที่ยวกันต่อ
จากธุรกิจการเกษตร ในนามเดิม ‘ไร่บุญรอด’
เพื่อส่งเสริมการเพาะปลูกข้าวบาร์เลย์ ในภาคเหนือตอนบน
สู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์เพื่อการเรียนรู้ และส่งเสริมรายได้
ในนาม ‘สิงห์ปาร์ค (Singha Park) เชียงราย’
จนถึงรางวัล ‘กินรี’ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว (Thailand Tourism Awards) ประจำปี 2562
ประเภทแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
วันนี้ จึงเป็นโอกาสดีที่เราจะได้เรียนรู้แนวคิดและหลักการดำเนินงาน
ของภาคธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ในแบบฉบับของสิงห์ปาร์คด้วยกัน
แต่ก่อนที่จะไปนั่งรถฟาร์มชมวิว ผมขอแวะไปลองชิมชาที่ร้านเปิดใหม่ ‘ร้านชาไทย’
ที่อยู่ตรงจุดชมวิวไร่ชากันก่อน
ถ้ามีเวลาทั้งวัน ก็อยู่ที่นี่ได้นะ บรรยากาศดีจริงๆ
แต่รถฟาร์มทัวร์กำลังจะออกแล้ว แดดร่มลมตก ท้องฟ้าจะเข้าสู่ช่วงเวลาชั่วโมงสีทอง
อย่ารีรออยู่เลย !
จุดแรกแวะไปทักทาย น้องยีราฟกับน้องม้าลาย กันก่อน
เจ้าหน้าที่บอกว่า ก่อน 5 เย็นโมงพวกน้องๆ ก็จะกลับเข้าบ้านกันแล้ว
นึกถึงเด็กๆ ที่ได้มาเที่ยวที่นี้ คงมีความสุขมาก
ที่ได้อยู่ใกล้ๆ เหล่ายีราฟ ม้าลาย ม้าโพนี่ และวัววาตูซี่
ขอบคุณนะ ที่เดินทางไกลจากแอฟริกา มาให้พวกเราได้เห็นใกล้ๆ แบบนี้
ถัดจากจุดชมชีวิตสัตว์ เราไปชมแปลงผักออแกนิคกัน
ไม่รู้ว่าคุณจะชอบดูแปลงผักหรือเปล่า แต่ผมว่ามันดูแล้วสบายใจนะ
ยิ่งวิวรอบๆ สวยมากขนาดนี้ รีแลกซ์ได้มากเลย
รถฟาร์มพาพวกเรามาจอดที่ไร่ชาอู่หลง เพื่อให้เราได้ชิมชา และลงไปเก็บใบชา
ซึ่งแน่นอนว่าต้องไม่ลืมกดชัตเตอร์เก็บภาพสวยๆ แน่นอน
เพราะวิวรอบกายตอนนี้ สวยงามจริงๆ ครับ
แม้ทุกสิ่งอย่างจะวุ่นวาย โกลาหลเพียงใด แต่ธรรมชาติก็ไม่เคยจะเร่งรีบ
เมื่อเราได้อยู่กับธรรมชาติ จงเรียนรู้จักความสงบ
ใช้ความสงบเพื่อพบเห็นโลกที่งดงามอย่างแท้จริง
เรียนรู้ชีวิตจากพืชพันธุ์และสรรพสัตว์ และเรียนรู้จักตัวตน และคนรอบข้าง
ซึ่งนั่นคงทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นอีกเยอะเลย …
และเมื่อถึงเวลา แสงอาทิตย์สุดท้ายของวัน กำลังจะลาลับขอบฟ้า
รถฟาร์มทัวร์ของพวกเรามาจอดที่ Zipline Tower และกิจกรรมการเรียนรู้ฐานสุดท้าย
ซึ่งไม่ควรพลาดเลย นั่นก็คือ การโหนสลิง ซิปไลน์จากหอสูง 9 ชั้น !!
ยิ่งสูง ใจยิ่งสั่นไหว แต่พอได้ร้องตะโกนออกมา มันส์สะใจจริงๆ !!
[SR] เชียงราย สบายดี : รีวิวทริปเดินทาง เชียงราย 3 วัน 2 คืน ก่อนประกาศปิดสถานที่
ท่ามกลางสถานการณ์ฝุ่นควันพิษ PM 2.5
แตะระดับ 300-400 มคก./ลบ.ม.
ซึ่งทะลุค่ามาตราฐานไป 7 เท่า !
ส่งผลให้สภาพอากาศในเชียงรายเข้าขั้นอันตราย !!
และผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
ที่ขยายวงกว้างไปทั่วโลกและทั่วประเทศไทย
ผู้คนหวาดวิตกจนไม่รู้จะเดินหน้าไปทางใด
ทั้งเรื่องสุขภาพกาย สุขภาพใจ และสภาพติดขัดของเศรษฐกิจ
มู้ด แอนด์ โทน รอบตัวเป็นสีขะมุกขมัว
แต่ชีวิตยังต้องการแรงบันดาลใจจากอะไรบางอย่าง
เพื่อต่อลมหายใจแห่งความหวัง …
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2020 ก่อนที่อาจจะมีการ ‘ล็อกดาวน์’
ผมได้ตัดสินใจออกเดินทางอีกครั้ง ...
เป็นการเดินทางเพื่อ ‘ตามรอยกินรี’ ไปที่จังหวัดเชียงราย
เพราะส่วนหนึ่งในนิยามและความหมาย การเดินทางท่องเที่ยวของผม
คือ การได้เรียนรู้ และเข้าใจสิ่งที่เป็นไปด้วยตัวเอง
ในช่วงเวลาแบบนี้ เราคงได้พบเจอเรื่องราวมากมาย
จากการเดินทางทริปนี้ …
ปกติผมเดินทางภายในประเทศด้วยสายการบินราคาประหยัด
ที่บินจากสนามบินดอนเมือง
แต่ทริปนี้ เที่ยวบินที่จะพาพวกเราเดินทาง
จากกรุงเทพ สู่เชียงราย เป็นเที่ยวบินช่วงเช้ามืด
ของสายการบินเวียดเจ็ท (Vietjet Air) ซึ่งเทคออฟจากสุวรรณภูมิ
อาจเป็นเพราะเวลาที่ยังเช้าอยู่ หรืออาจเพราะสถานการณ์โควิด-19
ผู้คนในสุวรรณภูมิดูบางตาจนแปลกตา
อย่างไรก็ตาม เที่ยวบินของพวกเรา ซึ่งมีผู้โดยสารอยู่เต็มลำ
ออกบินตรงเวลา ไม่มีดีเลย์
และลงจอดตามกำหนดการที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย
หลังแวะกินข้าว ดื่มกาแฟแบบเบาๆ
พวกเราก็ไปแวะไปสำรวจบรรยากาศในเชียงรายที่แรก คือ วัดห้วยปลากั้ง
ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาในตำบลริมกก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
โดยมีสถาปัตยกรรมผสมผสานแบบจีนและล้านนา
หนึ่งในไฮไลท์วัดแห่งนี้ คือ รูปปั้นองค์เจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ซึ่งมีความสูงประมาณ 79 เมตร หรือเทียบเท่ากับตึกสูง 25-26 ชั้น
จากบริเวณลานจอดรถไปที่รูปปั้น สามารถที่จะเดินไปหรือจะนั่งรถที่ทางวัดจัดไว้ก็ได้
วันนี้ผู้มาเยี่ยมชมที่วัดน้อยมาก ซึ่งหากพิจารณาจากขนาดของลานจอดรถ
ผมคาดเดาดูว่า หากเป็นช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19
บริเวณวัดน่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวจีน และชาวไทยมาเที่ยวชมมากกว่านี้
จากวัดห้วยปลากั้ง พวกเราออกเดินทางไปยังจุดหมายที่สอง
คือ วัดร่องเสือเต้น ซึ่งอยู่ห่างกันราวๆ 6-7 กม.
หากให้พูดถึงแลนด์มาร์คเชิงศิลปะคู่แผ่นดิน ในจังหวัดเชียงราย
เราอาจนึกถึงพิพิธภัณฑ์บ้านดำของอาจารย์ถวัลย์ และวัดร่องขุ่นของอาจารย์เฉลิมชัย
แต่ราวๆ 4 ปีที่ผ่านมา เกิดสถาปัตยกรรมแห่งใหม่ที่น่าสะดุดตาขึ้นมาในเชียงราย
นั่นก็คือ วัดร่องเสือเต้น แห่งนี้
ซึ่งสร้างและออกแบบโดย อาจารย์พุทธา กาบแก้ว หรือสล่านก ศิลปินพื้นบ้านชาวเชียงราย
ผู้เป็นลูกศิษย์ช่วยงานสร้างวัดร่องขุ่นของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ จนได้ซึมซับ
ศิลปะแนวพุทธศิลป์จากอาจารย์เฉลิมชัย มาประยุกต์สร้างวิหารวัดร่องเสือเต้นขึ้น
โดยออกแบบมีเฉดสีน้ำเงินฟ้าตัดสีทอง จนโดดเด่นมีเอกลักษณ์
เป็นจุดหมายที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ต่างอยากมาเห็นด้วยตาตัวเอง
จากวัดร่องเสือเต้น ขยับต่อเข้ามาถึงใจกลางเมือง ที่วัดพระแก้วเชียงราย
ซึ่งเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของคนเชียงราย โดยเป็นวัดที่ค้นพบพระแก้วมรกต
ก่อนที่จะย้ายมาประดิษฐานอยู่ ที่วัดพระแก้ว กรุงเทพฯ ในปัจจุบัน
จากการเดินทางไปเยี่ยมชมวัดสำคัญทั้งสามแห่ง
ผมได้มีโอกาสพูดคุยสอบถามนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ถึงความรู้สึกของพวกเขาต่อสถานการณ์ระบาดของเชื้อโควิด-19
(เป็นช่วงเวลาก่อนการระบาดใหญ่ในยุโรป)
ซึ่งนักท่องเที่ยวได้พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แสดงความรู้สึกมั่นใจ
ในการเดินทางมาเที่ยวที่จังหวัดเชียงราย และมีความประทับใจในสถาปัตยกรรม
วัฒนธรรม อาหารประจำถิ่น และความเป็นมิตรของผู้คนจังหวัดเชียงราย
รวมถึงจังหวัดอื่นๆ ที่พวกเขาได้ไปเที่ยวมา
ในฐานะคนไทย ได้ยินแบบนี้ รู้สึกภูมิใจและมีความหวัง
ในการกอบกู้การท่องเที่ยวไทย หลังจากวิกฤตครั้งนี้
เผลอแป๊บเดียว เวลาเดินทางมาถึงช่วงเที่ยง ตรงเวลากับที่เสียงท้องเริ่มร้องส่งเสียง
ทริปนี้พวกเราเช็คอินเข้าพักที่ โรงแรม เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี
หลังจากเก็บกระเป๋าเสร็จ ก็รีบตรงไปที่ห้องอาหาร ไชน่า การ์เดนท์ (China Garden)
ซึ่งได้ยินชื่อเสียงมานาน ถึงรสชาติเลิศรส ของสูตรลับอาหารจีนต้นตำรับกวางตุ้ง
และติ่มซำกว่า 20 รายการที่ทำสดใหม่ทุกวัน
มาถึงแล้วจะรอช้าอยู่ทำไม รีบลิ้มลองพิสูจน์รสกันเลยดีกว่า
ว่ากันว่า ‘อาหารเลิศรสคือบ่อเกิดแห่งความสุข’
เป็นประโยคที่จริงแท้ปฏิเสธไม่ได้
โดยเฉพาะในเวลานี้
ติ่มซำเนื้อแน่น และของหวานตบท้าย
อย่างเนื้อพุทราจีนทอดนอนเรียงราย อยู่ในท้องเรียบร้อยแล้ว …
หลังจากอิ่มท้องกับอาหารจีนรสเลิศในมื้อเที่ยงกันแล้ว ก็ถึงเวลาออกเที่ยวกันต่อ
จากธุรกิจการเกษตร ในนามเดิม ‘ไร่บุญรอด’
เพื่อส่งเสริมการเพาะปลูกข้าวบาร์เลย์ ในภาคเหนือตอนบน
สู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์เพื่อการเรียนรู้ และส่งเสริมรายได้
ในนาม ‘สิงห์ปาร์ค (Singha Park) เชียงราย’
จนถึงรางวัล ‘กินรี’ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว (Thailand Tourism Awards) ประจำปี 2562
ประเภทแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
วันนี้ จึงเป็นโอกาสดีที่เราจะได้เรียนรู้แนวคิดและหลักการดำเนินงาน
ของภาคธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ในแบบฉบับของสิงห์ปาร์คด้วยกัน
แต่ก่อนที่จะไปนั่งรถฟาร์มชมวิว ผมขอแวะไปลองชิมชาที่ร้านเปิดใหม่ ‘ร้านชาไทย’
ที่อยู่ตรงจุดชมวิวไร่ชากันก่อน
ถ้ามีเวลาทั้งวัน ก็อยู่ที่นี่ได้นะ บรรยากาศดีจริงๆ
แต่รถฟาร์มทัวร์กำลังจะออกแล้ว แดดร่มลมตก ท้องฟ้าจะเข้าสู่ช่วงเวลาชั่วโมงสีทอง
อย่ารีรออยู่เลย !
จุดแรกแวะไปทักทาย น้องยีราฟกับน้องม้าลาย กันก่อน
เจ้าหน้าที่บอกว่า ก่อน 5 เย็นโมงพวกน้องๆ ก็จะกลับเข้าบ้านกันแล้ว
นึกถึงเด็กๆ ที่ได้มาเที่ยวที่นี้ คงมีความสุขมาก
ที่ได้อยู่ใกล้ๆ เหล่ายีราฟ ม้าลาย ม้าโพนี่ และวัววาตูซี่
ขอบคุณนะ ที่เดินทางไกลจากแอฟริกา มาให้พวกเราได้เห็นใกล้ๆ แบบนี้
ถัดจากจุดชมชีวิตสัตว์ เราไปชมแปลงผักออแกนิคกัน
ไม่รู้ว่าคุณจะชอบดูแปลงผักหรือเปล่า แต่ผมว่ามันดูแล้วสบายใจนะ
ยิ่งวิวรอบๆ สวยมากขนาดนี้ รีแลกซ์ได้มากเลย
รถฟาร์มพาพวกเรามาจอดที่ไร่ชาอู่หลง เพื่อให้เราได้ชิมชา และลงไปเก็บใบชา
ซึ่งแน่นอนว่าต้องไม่ลืมกดชัตเตอร์เก็บภาพสวยๆ แน่นอน
เพราะวิวรอบกายตอนนี้ สวยงามจริงๆ ครับ
แม้ทุกสิ่งอย่างจะวุ่นวาย โกลาหลเพียงใด แต่ธรรมชาติก็ไม่เคยจะเร่งรีบ
เมื่อเราได้อยู่กับธรรมชาติ จงเรียนรู้จักความสงบ
ใช้ความสงบเพื่อพบเห็นโลกที่งดงามอย่างแท้จริง
เรียนรู้ชีวิตจากพืชพันธุ์และสรรพสัตว์ และเรียนรู้จักตัวตน และคนรอบข้าง
ซึ่งนั่นคงทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นอีกเยอะเลย …
และเมื่อถึงเวลา แสงอาทิตย์สุดท้ายของวัน กำลังจะลาลับขอบฟ้า
รถฟาร์มทัวร์ของพวกเรามาจอดที่ Zipline Tower และกิจกรรมการเรียนรู้ฐานสุดท้าย
ซึ่งไม่ควรพลาดเลย นั่นก็คือ การโหนสลิง ซิปไลน์จากหอสูง 9 ชั้น !!
ยิ่งสูง ใจยิ่งสั่นไหว แต่พอได้ร้องตะโกนออกมา มันส์สะใจจริงๆ !!
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้
ข้อมูลเพิ่มเติม