นัยน์ตาปีศาจ ( Evil eye) เป็นการมองที่เชื่อกันในหลายวัฒนธรรมว่าสามารถทำให้ผู้ถูกมองได้รับการบาดเจ็บหรือโชคร้าย อันเกิดจากการจ้องมองด้วยความอิจฉาหรือความเดียดฉันท์ คำนี้มักจะหมายถึงอำนาจของบุคคลใดบุคคลหนึ่งในการก่อให้เกิดสิ่งที่เลวร้ายได้ด้วยการมองอย่างประสงค์ร้าย
หลักฐานทางลายลักษณ์อักษรและหลักฐานทางโบราณคดียืนยันว่าความเชื่อในเรื่องนัยน์ตาปีศาจทางตะวันออกของบริเวณเมดิเตอร์เรเนียนดำเนินมาเป็นเวลาหลายพันปี
นัยน์ตาปีศาจมีสัญลักษณ์ที่มีลักษณะเป็นรูปนัยน์ตาสีฟ้า เป็นความเชื่อในเรื่องของโชคลางที่พบเห็นได้ในหลายท้องที่ตั้งแต่สมัยกรีกและโรมันโบราณ ศาสนาอิสลาม ศาสนายูดาห์ แถบละตินอเมริกา อินเดีย อียิปต์ ฯลฯ ซึ่งเชื่อกันว่านัยน์ตาปีศาจจะนำโชคร้ายมาสู่ผู้อื่นด้วยการจ้องมอง เป็นดวงตาประสงค์ร้ายที่เกิดขึ้นจากความอิจฉาหรือความโลภในตัวผู้อื่น และเมื่อถูกจ้องมองด้วยนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉานี้แล้วผู้ถูกจ้องจะเกิดโชคร้าย ซึ่งอาจจะเป็นแค่การเจ็บป่วยหรือบางครั้งก็อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
ความเชื่อในเรื่องนัยน์ตาปีศาจในสมัยโบราณก็ต่างกันออกไปตามแต่ภูมิภาคและยุคสมัย และความกลัวนัยน์ตาปีศาจก็รุนแรงไม่เท่าเทียมกันไปทุกมุมเมืองในจักรวรรดิโรมัน บางท้องที่ก็อาจจมีความหวาดกลัวที่สูงกว่าท้องที่อื่น ในสมัยโรมันไม่แต่บุคคลเท่านั้นที่เชื่อกันว่าอาจจะเป็นผู้มีอำนาจในการใช้นัยน์ตาปีศาจ และ อาจจะเป็นกลุ่มชนทั้งกลุ่ม โดยเฉพาะประชากรชาวพอนทัส หรือ ซิทเธียที่เชื่อกันว่าเป็นกลุ่มชนที่มีอำนาจในการใช้นัยน์ตาปีศาจ
หลายคนคงเคยมีความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้น คือคุณอาจจะรู้สึกใด้โดยสัญชาตญาณว่ามีคนมองคุณอยู่โดยที่คุณไม่เห็นตัว เช่นเวลาที่มีเรื่องๆเกิดขึ้นกับตัวคุณ คุณก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาของใครซักคนจับจ้องมองคุณอยู่ข้างหลังซึ่งไม่ว่าความรู้สึกนั้นจะเกิดขึ้นโดยเจตนาหรือไม่ก็ตามมันก็มมักจะมีเรื่องโชคร้ายหรือเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นภายหลังกับคุณ ซึ่งเรื่องนี้แปลกตรงที่คนจะรู้สึกรับสัมผัสแบบนี้ได้เหมือนกันทั่วโลก ซึ่งกล่าวกันว่านัยน์ตาปีศาจนั้นมีด้วยกันสามรูปแบบ
1) มองแบบที่เราไม่รู้สึกตัว
2)เราจะรู้สึกระแวงตลอดเวลา
3 )เราจะมองไม่เห็น สัมผัสของนัยน์ตาปีศาจจะมุ่งตรงมาถึงเราโดยมาจากผู้ที่อิจฉาริษยามุ่งร้ายต่อเรา หรือมาจากผู้ที่มีอำนาจทางศาสตร์มืด หรือมนต์ดำ ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้ตัวคุณ ซึ่งทุกชาติศาสนาก็จะมีบทสวดและเครื่องรางไว้ป้องกันตัวจากดวงตาปีศาจนี้
การพยายามที่จะป้องกันจากนัยน์ตาปีศาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการใช้เครื่องรางกันหลายวัฒนธรรม เครื่องรางประเภทนี้จัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า “apotropaic” (ที่มาจากภาษากรีกว่า “prophylactic” หรือ “ป้องกัน”) ที่แปลตรงตัวว่าเครื่องรางที่ “หันเหไปทางอื่น” หรือปัดอันตรายไปทางอื่น
เครื่องรางนัยน์ตาปีศาจนี้ แม้จะมีชื่อเรียกน่ากลัวว่า ‘ปีศาจ’ แต่จริงๆแล้ว นัยน์ตาปีศาจ กลับเป็นเครื่องรางที่เชื่อกันว่าสามารถขจัดปัดเป่าความชั่วร้ายและช่วยในการปกป้องคุ้มครองผู้สวมใส่ให้พ้นจากอำนาจมืดชั่วร้ายนานาประการ และป้องกันภัยนัยน์ตาที่มุ่งร้ายคอยจับจ้องด้วยความอิจฉา
มือฮัมซา (The Hamsa)
“มือฮัมซา” (The Hamsa) ซึ่งมีรูปร่างเป็นมือที่มีตาอยู่บนฝ่ามือที่พบในตะวันออกกลาง นอกจากนั้นคำว่า “hamsa” อาจจะสะกดเป็น “khamsa” หรือ “hamesh” คือ “ห้า” ที่หมายถึงนิ้วห้านิ้ว ในฆราวัสวัฒนธรรมของชาวยิว ฮัมซาเรียกว่า “มือของมิเรียม” และในวัฒนธรรมมุสลิมเรียกว่า “มือของฟาติมะห์”
hamsa มักถูกปกคลุมด้วยสีฟ้าหรือสีน้ำเงินเนื่องจากเชื่อว่าสีเหล่านี้ ปกป้องจากตาของความชั่วร้าย.
หินซีบีด (dZi Bead)
หินทิเบต , หรือ หินดวงตาสวรรค์ หินตามความเชื่อของชาวทิเบตและภูมิภาคหิมาลัย ถือกันว่าเป็นเครื่องรางในการขจัดภัยจาก “นัยน์ตาปีศาจ” และเป็นเครื่องรางที่นำโชค ขึ้นอยู่กับลวดลายและจำนวนตา
หินซีบีดโบราณเป็นลูกปัดที่มีราคาสูงที่สุดเท่าที่ทราบกันมา หินซีเริ่มปรากฏขึ้นราว 2000 ถึง 1000 ปีก่อนคริสต์ศักราชในทิเบตโบราณ กล่าวกันว่าลูกปัดหลาแสนลูกถูกนำกลับมาโดยนักรบทิเบตจากภูมิภาคบัคเทรียเหนือเทือกเขาฮินดูกูชหรือทาจิกิสถานโบราณระหว่างที่ไปทำการปล้นรบ หรือ ต่อมายึดครอง ความกลัวอำนาจของ “นัยน์ตาปีศาจ” เป็นเรื่องที่จริงจังในหมู่ชนทิเบต ซึ่งทำให้เกิดการสร้างเครื่องรางในการป้องกันภัยอันเกิดจากอำนาจของ “นัยน์ตาปีศาจ” ขึ้นที่เป็นรูปตาเช่นกัน
(ที่มา วิกิพีเดีย)
Eye of Horus
เป็นสัญลักษณ์แทนดวงตาของเทพเจ้าของอียิปต์ที่มีความสำคัญมากองค์หนึ่ง คือ เทพฮอรัส เทพเจ้าแห่งท้องฟ้าที่มีศีรษะเป็นนกเหยี่ยว มีดวงตาข้างหนึ่งเป็นดวงอาทิตย์ และอีกข้างเป็นดวงจันทร์ เราจึงเรียกสัญลักษณ์นี้ว่า ดวงตาของฮอรัส (Eye of Horus หรือ wedjat) ที่แทนด้วยดวงตาของมนุษย์ที่มีหางตาเป็นแบบของเหยี่ยว และมีลวดลายสัญลักษณ์รอบๆ ตาซึ่งบางครั้งก็มีหยดน้ำตาด้วย โดยที่คนอียิปต์โบราณจะออกเสียงเรียกสัญลักษณ์นี้ว่า“udjat”
ชาวอียิปต์โบราณ นับถือดวงตาของฮอรัสเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องคุ้มครอง และ ยังได้รับการ เปรียบว่าเป็นสัญลักษณ์ของความรอบรู้ สุขภาพดี และความมั่งคั่ง นอกจากนี้ คนโบราณยังเคารพดวงตาของฮอรัสเสมือนตัวแทนของอาณาจักรใหม่อันเป็นนิรันดร์จากฟาโรห์องค์หนึ่งไปสู่ฟาโรห์อีกองคหนึ่ง
โดยชาวอียิปต์เชื่อว่า สัญลักษณ์นี้มีพลังอำนาจมหาศาลและมีเวทมนตร์ที่ส่งผลต่อการสร้างความเป็นอัน หนึ่งอันเดียวกันให้กับโลกที่ไม่มีความมั่นคง และแก้ไขสิ่งที่ไม่เที่ยงธรรม รวมทั้งยังเชื่อว่า สัญลักษณ์ของสิ่งที่ไม่มีสิ่งใดทำลายได้นี้จะช่วยในการเกิดใหม่อีกครั้งด้วย
นาซาร์ บองกุกู (Nazar Boncugu)
เป็นเครื่องรางที่มีประวัติความเป็นมากว่า 5,000 ปี ซึ่งเป็นเครื่องรางที่คนตุรกีเชื่อว่าถ้าตั้งไว้ที่ไหนแล้วจะช่วยป้องกันตัวเองจากสิ่งชั่วร้ายได้ ทำมาจาก กระจก แก้ว หรือลูกปัดประกอบด้วยวงสีน้ำเงินเข็ม สีฟ้า สีขาว และบางครั้งก็มีสีเหลืองอยู่บ้าง โดยซ้อนกันเป็นวงๆ มีรูปร่างหน้าตาคล้ายๆรูปดวงตา
เครื่องรางชนิดนี้นิยมใช้กันมากในประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียน ตะวันออก โดยเฉพาะประเทศตุรกีจะนิยมมากที่สุด เพราะนี่คือ สัญลักษณ์เครื่องรางอันศักดิ์สิทธิ์ ของประเทศตุรกีที่เชื่อถือกันมาอย่างยาวนานว่า “มีคุณสมบัติในการป้องกันอำนาจมืดจากสิ่งชั่วร้ายนานาประการ ป้องกันจากนัยน์ตาปีศาจ ที่มุ่งร้ายคอยจับจ้อง และป้องกันจากคำพูดเหยียดหยามจากผู้ไม่ประสงค์ดี” “ดวงตาปีศาจ มีชื่อเรียกมากมาย อาทิ ดวงตาสีฟ้าแห่งตุรกี หรือ ดวงตาสวรรค์ หรือ Evil Eye protector หรือ นาซาร์ บองกุกู (Nazar Boncugu ในภาษาตุรกี)
และในความเชื่อเรื่องนัย์ตาปีศาจในวัฒนธรรมของอินเดีย ผู้หญิงจะมีคติการระบายขอบรอบดวงตาให้เป็นวงสีดำที่เรียกกันว่า "โคห์ (Koh)" การเสริมความงามด้วยการวาดขอบตาดำจะนิยมทาปากสีแดงสดไปด้วย เพราะเชื่อว่าเป็นการทำให้นัยน์ตาปีศาจเบี่ยงเบนเป้าหมายและเลิกสนใจในตัวเธอ อีกทั้งยังช่วยให้ผู้หญิงอินเดียปลอดภัยจากความทุกข์ที่ต้องถูกจ้องมองจากดวงตาลึกลับที่มองไม่เห็นตัวตน
นัยน์ตาปีศาจ: สัญลักษณ์ที่แฝงอยู่รอบตัว
(Photo credit: moziru.com )
สัญลักษณ์นัยน์ตาปีศาจถูกพบเห็นได้บ่อยในชีวิตประจำวัน จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันนี้มีคนหยิบยกเอาสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับรูปนัยน์ตาออกมานำเสนอในหลายรูปแบบ นอกจากเครื่องรางของขลังที่พูดถึงกันไปก่อนหน้าแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่เราเห็นกันคือบนธนบัตรหนึ่งดอลล่าร์ของสหรัฐอเมริกา
ด้านหน้าธนบัตรหนึ่งดอลล่าร์ที่เราเห็นจะเป็นรูปของประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐฯ อย่างจอร์จ วอชิงตัน (George Washington) แต่เมื่อเราลองพลิกกลับไปดูด้านหลังจะพบว่านอกจากรูปนกอินทรีที่อยู่ทางขวามือแล้ว ทางซ้ายมือจะมีพีระมิดและสัญลักษณ์รูปนัยน์ตาลอยอยู่ด้านบนด้วย
(Photo credit: fr.jrrtolkien.wikia.com)
ในหนังสือไตรภาคที่โด่งดังอย่าง The Lord of the Rings ก็สามารถเห็นได้ว่ามีการใช้สัญลักษณ์รูปดวงตามาสื่อความหมายด้วยเหมือนกัน ดวงตาแห่งเซารอน (The Eye of Sauron) ที่ปรากฏในเรื่องถูกใช้แทนสัญลักษณ์ของพลังอำนาจชั่วร้าย เป็นสัญลักษณ์ของเจ้าแห่งความมืดที่มีรูปลักษณ์น่าสยดสยอง
(Photo credit: memoirsofaglobetrotter.com )
(Photo credit: riowang.blogspot.com )
ประเทศตุรกีเองถือเป็นประเทศที่มีความเกี่ยวพันกับสัญลักษณ์นัยน์ตาปีศาจมากอีกประเทศหนึ่ง ที่เมืองแคปพาโดเชียยังมีต้นไม้ที่ห้อยเครื่องรางนัยน์ตาปีศาจเอาไว้เต็มต้นเพื่อปัดเป่าโชคร้าย กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกหนึ่งแห่งที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเยือน กระทั่งเครื่องบินของตุรกียังมีลวดลายของนัยน์ตาปีศาจประดับอยู่
อ้างอิง
bbc.com / littlethings.com
theguideistanbul.com / flymetothemoontravel.com
racked.com / mosaicjewels.com
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
( Evil eye ) นัยน์ตาปีศาจ สัญลักษณ์รูปนัยน์ตา
หลักฐานทางลายลักษณ์อักษรและหลักฐานทางโบราณคดียืนยันว่าความเชื่อในเรื่องนัยน์ตาปีศาจทางตะวันออกของบริเวณเมดิเตอร์เรเนียนดำเนินมาเป็นเวลาหลายพันปี
นัยน์ตาปีศาจมีสัญลักษณ์ที่มีลักษณะเป็นรูปนัยน์ตาสีฟ้า เป็นความเชื่อในเรื่องของโชคลางที่พบเห็นได้ในหลายท้องที่ตั้งแต่สมัยกรีกและโรมันโบราณ ศาสนาอิสลาม ศาสนายูดาห์ แถบละตินอเมริกา อินเดีย อียิปต์ ฯลฯ ซึ่งเชื่อกันว่านัยน์ตาปีศาจจะนำโชคร้ายมาสู่ผู้อื่นด้วยการจ้องมอง เป็นดวงตาประสงค์ร้ายที่เกิดขึ้นจากความอิจฉาหรือความโลภในตัวผู้อื่น และเมื่อถูกจ้องมองด้วยนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉานี้แล้วผู้ถูกจ้องจะเกิดโชคร้าย ซึ่งอาจจะเป็นแค่การเจ็บป่วยหรือบางครั้งก็อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
ความเชื่อในเรื่องนัยน์ตาปีศาจในสมัยโบราณก็ต่างกันออกไปตามแต่ภูมิภาคและยุคสมัย และความกลัวนัยน์ตาปีศาจก็รุนแรงไม่เท่าเทียมกันไปทุกมุมเมืองในจักรวรรดิโรมัน บางท้องที่ก็อาจจมีความหวาดกลัวที่สูงกว่าท้องที่อื่น ในสมัยโรมันไม่แต่บุคคลเท่านั้นที่เชื่อกันว่าอาจจะเป็นผู้มีอำนาจในการใช้นัยน์ตาปีศาจ และ อาจจะเป็นกลุ่มชนทั้งกลุ่ม โดยเฉพาะประชากรชาวพอนทัส หรือ ซิทเธียที่เชื่อกันว่าเป็นกลุ่มชนที่มีอำนาจในการใช้นัยน์ตาปีศาจ
หลายคนคงเคยมีความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้น คือคุณอาจจะรู้สึกใด้โดยสัญชาตญาณว่ามีคนมองคุณอยู่โดยที่คุณไม่เห็นตัว เช่นเวลาที่มีเรื่องๆเกิดขึ้นกับตัวคุณ คุณก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาของใครซักคนจับจ้องมองคุณอยู่ข้างหลังซึ่งไม่ว่าความรู้สึกนั้นจะเกิดขึ้นโดยเจตนาหรือไม่ก็ตามมันก็มมักจะมีเรื่องโชคร้ายหรือเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นภายหลังกับคุณ ซึ่งเรื่องนี้แปลกตรงที่คนจะรู้สึกรับสัมผัสแบบนี้ได้เหมือนกันทั่วโลก ซึ่งกล่าวกันว่านัยน์ตาปีศาจนั้นมีด้วยกันสามรูปแบบ
1) มองแบบที่เราไม่รู้สึกตัว
2)เราจะรู้สึกระแวงตลอดเวลา
3 )เราจะมองไม่เห็น สัมผัสของนัยน์ตาปีศาจจะมุ่งตรงมาถึงเราโดยมาจากผู้ที่อิจฉาริษยามุ่งร้ายต่อเรา หรือมาจากผู้ที่มีอำนาจทางศาสตร์มืด หรือมนต์ดำ ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้ตัวคุณ ซึ่งทุกชาติศาสนาก็จะมีบทสวดและเครื่องรางไว้ป้องกันตัวจากดวงตาปีศาจนี้
การพยายามที่จะป้องกันจากนัยน์ตาปีศาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการใช้เครื่องรางกันหลายวัฒนธรรม เครื่องรางประเภทนี้จัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า “apotropaic” (ที่มาจากภาษากรีกว่า “prophylactic” หรือ “ป้องกัน”) ที่แปลตรงตัวว่าเครื่องรางที่ “หันเหไปทางอื่น” หรือปัดอันตรายไปทางอื่น
เครื่องรางนัยน์ตาปีศาจนี้ แม้จะมีชื่อเรียกน่ากลัวว่า ‘ปีศาจ’ แต่จริงๆแล้ว นัยน์ตาปีศาจ กลับเป็นเครื่องรางที่เชื่อกันว่าสามารถขจัดปัดเป่าความชั่วร้ายและช่วยในการปกป้องคุ้มครองผู้สวมใส่ให้พ้นจากอำนาจมืดชั่วร้ายนานาประการ และป้องกันภัยนัยน์ตาที่มุ่งร้ายคอยจับจ้องด้วยความอิจฉา
hamsa มักถูกปกคลุมด้วยสีฟ้าหรือสีน้ำเงินเนื่องจากเชื่อว่าสีเหล่านี้ ปกป้องจากตาของความชั่วร้าย.
หินซีบีดโบราณเป็นลูกปัดที่มีราคาสูงที่สุดเท่าที่ทราบกันมา หินซีเริ่มปรากฏขึ้นราว 2000 ถึง 1000 ปีก่อนคริสต์ศักราชในทิเบตโบราณ กล่าวกันว่าลูกปัดหลาแสนลูกถูกนำกลับมาโดยนักรบทิเบตจากภูมิภาคบัคเทรียเหนือเทือกเขาฮินดูกูชหรือทาจิกิสถานโบราณระหว่างที่ไปทำการปล้นรบ หรือ ต่อมายึดครอง ความกลัวอำนาจของ “นัยน์ตาปีศาจ” เป็นเรื่องที่จริงจังในหมู่ชนทิเบต ซึ่งทำให้เกิดการสร้างเครื่องรางในการป้องกันภัยอันเกิดจากอำนาจของ “นัยน์ตาปีศาจ” ขึ้นที่เป็นรูปตาเช่นกัน
(ที่มา วิกิพีเดีย)
ชาวอียิปต์โบราณ นับถือดวงตาของฮอรัสเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องคุ้มครอง และ ยังได้รับการ เปรียบว่าเป็นสัญลักษณ์ของความรอบรู้ สุขภาพดี และความมั่งคั่ง นอกจากนี้ คนโบราณยังเคารพดวงตาของฮอรัสเสมือนตัวแทนของอาณาจักรใหม่อันเป็นนิรันดร์จากฟาโรห์องค์หนึ่งไปสู่ฟาโรห์อีกองคหนึ่ง
โดยชาวอียิปต์เชื่อว่า สัญลักษณ์นี้มีพลังอำนาจมหาศาลและมีเวทมนตร์ที่ส่งผลต่อการสร้างความเป็นอัน หนึ่งอันเดียวกันให้กับโลกที่ไม่มีความมั่นคง และแก้ไขสิ่งที่ไม่เที่ยงธรรม รวมทั้งยังเชื่อว่า สัญลักษณ์ของสิ่งที่ไม่มีสิ่งใดทำลายได้นี้จะช่วยในการเกิดใหม่อีกครั้งด้วย
เครื่องรางชนิดนี้นิยมใช้กันมากในประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียน ตะวันออก โดยเฉพาะประเทศตุรกีจะนิยมมากที่สุด เพราะนี่คือ สัญลักษณ์เครื่องรางอันศักดิ์สิทธิ์ ของประเทศตุรกีที่เชื่อถือกันมาอย่างยาวนานว่า “มีคุณสมบัติในการป้องกันอำนาจมืดจากสิ่งชั่วร้ายนานาประการ ป้องกันจากนัยน์ตาปีศาจ ที่มุ่งร้ายคอยจับจ้อง และป้องกันจากคำพูดเหยียดหยามจากผู้ไม่ประสงค์ดี” “ดวงตาปีศาจ มีชื่อเรียกมากมาย อาทิ ดวงตาสีฟ้าแห่งตุรกี หรือ ดวงตาสวรรค์ หรือ Evil Eye protector หรือ นาซาร์ บองกุกู (Nazar Boncugu ในภาษาตุรกี)
bbc.com / littlethings.com
theguideistanbul.com / flymetothemoontravel.com
racked.com / mosaicjewels.com