การบนบานศาลกล่าว คืออะไร?
การบน คือ การขอให้ช่วยแล้วมีการตอบแทน การบนนี้แตกต่างจากการติดสินบน ซึ่งแตกต่างกันตรงที่ การตอบแทนก่อนและตอบแทนทีหลัง
หากเราทำมาค้าขายต้องการให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือเราเท่านั้นเท่านี้ เราก็ไปบนไว้ให้ท่านช่วยเหลือเรา เมื่อท่านช่วยเหลือเราแล้ว เราได้ตามสิ่งที่ปรารถนา เราซึ้งในน้ำใจที่ท่านช่วยเหลือเรา เราจึงแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อท่าน อาจจะเป็นการนำสิ่งของไปถวายท่าน ซึ่งเป็นการตอบแทนหลังจากท่านช่วยเหลือเราแล้ว
ส่วนการติดสินบน คือ การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน เช่น เราจะนำสิ่งของให้กับผู้ที่เราร้องขอให้เขาช่วยก่อน ให้เขามั่นใจว่าเขาได้สิ่งของตามที่ตกลงกันไว้แล้วจริงๆ เป็นการตอบแทนให้ของก่อนที่จะทำ
การบนบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราจะบนสิ่งใดก็ได้แต่ควรดูจารีต ประเพณีนั้นๆ ด้วย เช่น หากไปบนกับหลวงพ่อโสธร ส่วนมากจะบนด้วยไข่ หากบนกับพระพรหมเอราวัณก็จะบนด้วยการรำถวาย
เมื่อเราบนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว เราขอ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ท่านให้มา ๑๐ เปอร์เซ็นต์ เราก็ต้องถวายสิ่งที่บนไว้ให้ครบถ้วน แต่บางครั้งเราขอ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ แต่เราได้มาแค่ ๖ เปอร์เซ็นต์ หายไปตั้ง ๔ เปอร์เซ็นต์ อย่างนี้เราก็ควรทำตามสิ่งที่เราบนไว้อย่างครบถ้วนเช่นเดียวกัน
เพราะเหตุใดท่านจึงให้เราไม่ครบถ้วน เป็นเพราะสิทธิกายะเราสมควรได้เท่าไหร่เราก็จะได้เท่านั้น อย่าลืมว่าเรามีกรรมเป็นของของตน คนเราจะหลีกหนีเวรกรรมไม่พ้น เพราะท่านจะพิจารณาว่าคนนี้มีสิทธิกายะ สมควรได้เท่าไหร่ ถ้าท่านให้เกินท่านก็จะเกิดโทษกับท่าน หากให้น้อยเกินไปก็จะเกิดโทษกับท่านเช่นเดียวกัน
สมมติหากเราไปบนกับท่านขอให้ท่านช่วย ๑๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ท่านให้มาแค่ ๕ เปอร์เซ็นต์ ท่านพิจารณาแล้วว่าเรามีสิทธิกายะ สมควรให้แค่ ๕ เปอร์เซ็นต์ หากท่านให้เกิน ท่านจะต้องนำบุญของท่านมาให้เรา บุญของท่านที่มีอยู่ก็จะหายไปส่วนหนึ่งที่นำมาให้เรา หากท่านทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ กับทุกๆ คนที่มาร้องขอต่อท่าน ในไม่ช้าท่านก็จะหมดบุญและก็ท่านเองจะต้องตกที่นั่งลำบากจากช่วยเหลือเรา ท่านจะถูกลงอาญาสวรรค์ หรืออาญาโดยธรรม บางทีอาจโดนย้ายตำแหน่งหลุดออกจากการทำหน้าที่ตรงนั้น
ฉะนั้น เราต้องเห็นใจท่านด้วย
ส่วนอีกกรณีหนึ่ง ท่านให้เราน้อยเกินควร ท่านก็จะได้รับโทษเช่นเดียวกัน เพราะว่าท่านเกิดความอคติ ฉะนั้นท่านจึงต้องยุติธรรม เมื่อเราบนสิ่งใดไว้แล้ว ท่านให้เรามาเท่าไหร่เราจะต้องยอมรับ ในสิทธิที่ควรได้ เพราะว่า มีกฎของธรรมที่คอยควบคุม บริหาร จัดการ แม้กระทั่งพระพุทธเจ้าก็ตามที ก่อนที่ท่านจะปรินิพพาน พระองค์ท่านยังต้องเสวยกรรม คือ พระองค์ท่านกระหายน้ำ ให้พระอานนท์ไปตักน้ำ แต่ไม่ได้น้ำกลับมา ถึง ๒ ครั้ง ครั้งที่ ๓ พระองค์จึงกำชับให้พระอานนท์ตักน้ำมาให้ได้แม้ว่าน้ำนั้นจะเป็นเช่นใดก็ตาม ถึง ๓ ครั้งพระองค์จึงได้เสวยน้ำ สาเหตุเป็นเพราะอดีตชาติของพระองค์เคยเกิดเป็นคนเลี้ยงโค พระองค์เห็นโคกำลังกินน้ำที่โสกปรก พระองค์ไล่ไม่ให้กินน้ำ ผลเศษกรรมนี้จึงทำให้พระองค์เป็นเช่นดังกล่าว
หากจะถามว่า "การบน" นี้เป็นสิ่งที่ดีควรทำหรือไม่ ขอตอบว่าเป็นสิ่งควรทำ แต่ทำด้วยความเข้าใจ และการบนเป็นการให้กำลังใจ และการบนนี้ขึ้นอยู่กับบุคคลและความเชื่อ ความศรัทธามากกว่า หากใครศรัทธาก็จะเกิดผล หากใครไม่ศรัทธายังขืนทำลงไปก็มีแต่จะเกิดโทษ และการบนนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่ดีอย่างหนึ่ง ซึ่งช่วยเหลือหรือเป็นที่พึ่งทางใจได้ให้บุคคลได้มีสรณะที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เหมือนกับเราจะขึ้นบนบ้านชั้นสอง เดินขึ้นบันได บันไดจะมีราวเกาะไว้ คนที่ร่างกายแข็งแรงกำยำดีก็จะเดินขึ้นโดยไม่ต้องมีราวเกาะ แต่หากเป็นบางคนหรือเด็ก คนชรา ต้องใช้ราวเกาะจึงเดินขึ้นบันไดไปถึงจุดหมายโดยไม่เกิดอันตรายได้ เช่นเดียวกับเรา บางครั้งเราทำมาค้าขายหรือมีความประสงค์สิ่งใด แล้วเรามีที่พึ่งก็ทำให้เรามีที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยว เราจะทำอะไรก็เกิดความมั่นใจในการทำสิ่งนั้นๆ เมื่อเราทำอะไรด้วยความมั่นใจ สิ่งนั้นย่อมเกิดผลดีตามมา
แต่บางคนได้แต่บนแต่ไม่ปฏิบัติ ต่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าแน่ๆ ก็ย่อมช่วยไม่ได้
ฉะนั้น เมื่อเราบนสิ่งใด เราก็จงทำสิ่งเหล่านั้นด้วยความหมั่นใจ เต็มใจ ถูกต้อง และกระทำด้วยสติปัญญา สิ่งเหล่านั้นย่อมเกิดผลแน่นอน
การบนบานศาลกล่าว คืออะไร?
การบน คือ การขอให้ช่วยแล้วมีการตอบแทน การบนนี้แตกต่างจากการติดสินบน ซึ่งแตกต่างกันตรงที่ การตอบแทนก่อนและตอบแทนทีหลัง
หากเราทำมาค้าขายต้องการให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือเราเท่านั้นเท่านี้ เราก็ไปบนไว้ให้ท่านช่วยเหลือเรา เมื่อท่านช่วยเหลือเราแล้ว เราได้ตามสิ่งที่ปรารถนา เราซึ้งในน้ำใจที่ท่านช่วยเหลือเรา เราจึงแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อท่าน อาจจะเป็นการนำสิ่งของไปถวายท่าน ซึ่งเป็นการตอบแทนหลังจากท่านช่วยเหลือเราแล้ว
ส่วนการติดสินบน คือ การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน เช่น เราจะนำสิ่งของให้กับผู้ที่เราร้องขอให้เขาช่วยก่อน ให้เขามั่นใจว่าเขาได้สิ่งของตามที่ตกลงกันไว้แล้วจริงๆ เป็นการตอบแทนให้ของก่อนที่จะทำ
การบนบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราจะบนสิ่งใดก็ได้แต่ควรดูจารีต ประเพณีนั้นๆ ด้วย เช่น หากไปบนกับหลวงพ่อโสธร ส่วนมากจะบนด้วยไข่ หากบนกับพระพรหมเอราวัณก็จะบนด้วยการรำถวาย
เมื่อเราบนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว เราขอ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ท่านให้มา ๑๐ เปอร์เซ็นต์ เราก็ต้องถวายสิ่งที่บนไว้ให้ครบถ้วน แต่บางครั้งเราขอ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ แต่เราได้มาแค่ ๖ เปอร์เซ็นต์ หายไปตั้ง ๔ เปอร์เซ็นต์ อย่างนี้เราก็ควรทำตามสิ่งที่เราบนไว้อย่างครบถ้วนเช่นเดียวกัน
เพราะเหตุใดท่านจึงให้เราไม่ครบถ้วน เป็นเพราะสิทธิกายะเราสมควรได้เท่าไหร่เราก็จะได้เท่านั้น อย่าลืมว่าเรามีกรรมเป็นของของตน คนเราจะหลีกหนีเวรกรรมไม่พ้น เพราะท่านจะพิจารณาว่าคนนี้มีสิทธิกายะ สมควรได้เท่าไหร่ ถ้าท่านให้เกินท่านก็จะเกิดโทษกับท่าน หากให้น้อยเกินไปก็จะเกิดโทษกับท่านเช่นเดียวกัน
สมมติหากเราไปบนกับท่านขอให้ท่านช่วย ๑๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ท่านให้มาแค่ ๕ เปอร์เซ็นต์ ท่านพิจารณาแล้วว่าเรามีสิทธิกายะ สมควรให้แค่ ๕ เปอร์เซ็นต์ หากท่านให้เกิน ท่านจะต้องนำบุญของท่านมาให้เรา บุญของท่านที่มีอยู่ก็จะหายไปส่วนหนึ่งที่นำมาให้เรา หากท่านทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ กับทุกๆ คนที่มาร้องขอต่อท่าน ในไม่ช้าท่านก็จะหมดบุญและก็ท่านเองจะต้องตกที่นั่งลำบากจากช่วยเหลือเรา ท่านจะถูกลงอาญาสวรรค์ หรืออาญาโดยธรรม บางทีอาจโดนย้ายตำแหน่งหลุดออกจากการทำหน้าที่ตรงนั้น
ฉะนั้น เราต้องเห็นใจท่านด้วย
ส่วนอีกกรณีหนึ่ง ท่านให้เราน้อยเกินควร ท่านก็จะได้รับโทษเช่นเดียวกัน เพราะว่าท่านเกิดความอคติ ฉะนั้นท่านจึงต้องยุติธรรม เมื่อเราบนสิ่งใดไว้แล้ว ท่านให้เรามาเท่าไหร่เราจะต้องยอมรับ ในสิทธิที่ควรได้ เพราะว่า มีกฎของธรรมที่คอยควบคุม บริหาร จัดการ แม้กระทั่งพระพุทธเจ้าก็ตามที ก่อนที่ท่านจะปรินิพพาน พระองค์ท่านยังต้องเสวยกรรม คือ พระองค์ท่านกระหายน้ำ ให้พระอานนท์ไปตักน้ำ แต่ไม่ได้น้ำกลับมา ถึง ๒ ครั้ง ครั้งที่ ๓ พระองค์จึงกำชับให้พระอานนท์ตักน้ำมาให้ได้แม้ว่าน้ำนั้นจะเป็นเช่นใดก็ตาม ถึง ๓ ครั้งพระองค์จึงได้เสวยน้ำ สาเหตุเป็นเพราะอดีตชาติของพระองค์เคยเกิดเป็นคนเลี้ยงโค พระองค์เห็นโคกำลังกินน้ำที่โสกปรก พระองค์ไล่ไม่ให้กินน้ำ ผลเศษกรรมนี้จึงทำให้พระองค์เป็นเช่นดังกล่าว
หากจะถามว่า "การบน" นี้เป็นสิ่งที่ดีควรทำหรือไม่ ขอตอบว่าเป็นสิ่งควรทำ แต่ทำด้วยความเข้าใจ และการบนเป็นการให้กำลังใจ และการบนนี้ขึ้นอยู่กับบุคคลและความเชื่อ ความศรัทธามากกว่า หากใครศรัทธาก็จะเกิดผล หากใครไม่ศรัทธายังขืนทำลงไปก็มีแต่จะเกิดโทษ และการบนนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่ดีอย่างหนึ่ง ซึ่งช่วยเหลือหรือเป็นที่พึ่งทางใจได้ให้บุคคลได้มีสรณะที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เหมือนกับเราจะขึ้นบนบ้านชั้นสอง เดินขึ้นบันได บันไดจะมีราวเกาะไว้ คนที่ร่างกายแข็งแรงกำยำดีก็จะเดินขึ้นโดยไม่ต้องมีราวเกาะ แต่หากเป็นบางคนหรือเด็ก คนชรา ต้องใช้ราวเกาะจึงเดินขึ้นบันไดไปถึงจุดหมายโดยไม่เกิดอันตรายได้ เช่นเดียวกับเรา บางครั้งเราทำมาค้าขายหรือมีความประสงค์สิ่งใด แล้วเรามีที่พึ่งก็ทำให้เรามีที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยว เราจะทำอะไรก็เกิดความมั่นใจในการทำสิ่งนั้นๆ เมื่อเราทำอะไรด้วยความมั่นใจ สิ่งนั้นย่อมเกิดผลดีตามมา
แต่บางคนได้แต่บนแต่ไม่ปฏิบัติ ต่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าแน่ๆ ก็ย่อมช่วยไม่ได้
ฉะนั้น เมื่อเราบนสิ่งใด เราก็จงทำสิ่งเหล่านั้นด้วยความหมั่นใจ เต็มใจ ถูกต้อง และกระทำด้วยสติปัญญา สิ่งเหล่านั้นย่อมเกิดผลแน่นอน