เผยผลวิจัยยืนยันชัด! ผลึกน้ำ สภาพแวดล้อม (ดีหรือเลว) สิ่งมีชีวิต มีความสัมพันธ์กัน อย่างคาดไม่ถึง
ดร.มาซารุ ได้ทำการทดลองการเปลี่ยนไปของผลึกน้ำต่อสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ด้วย อย่างเช่น การเปิดบทสวดมนต์ เพลงคลาสสิก การเปิดเพลงร็อค และเพลงแนวอื่น ๆ จากนั้นก็ใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูผลึกน้ำ ปรากฏว่า น้ำที่ได้ฟังบทสวดมนต์ เพลงบรรเลงคลาสสิกที่ไพเราะจะมีผลึกน้ำที่สวยงาม ส่วนน้ำที่ฟังเพลงร็อค Heavy Metal ผลึกน้ำจะไม่สวยงาม ไม่เป็นรูปทรง
ดร.มาซารุ ยังบอกอีกว่า ไม่ใช่แค่เสียงเพลงเท่านั้น ตัวอักษรก็สามารถส่งผลต่อผลึกน้ำได้ ทดลองโดยการนำข้อความดีๆ และข้อความหยาบคาย เขียนใส่กระดาษและนำไปแปะที่หลอดทดลอง โดยหันด้านที่เขียนติดกับหลอดทดลอง ผลปรากฏว่า ผลึกน้ำที่ติดข้อความดี ๆ มีลักษณะที่สวยงามเป็นรูปทรง ต่างจากผลึกน้ำที่ติดกับคำหยาบผลึกน้ำจะไม่เป็นรูปร่างและยังดูน่ากลัวด้วย
ในร่างกายมนุษย์ประกอบไปด้วยน้ำถึง 70% แน่นอนว่าหากเราอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหน ผลึกน้ำในร่างกายก็จะเปลี่ยนไปได้เช่นนั้น เพราะฉะนั้นผลของการได้ยินหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ก็จะส่งผลต่ออารมณ์ จิตใจของมนุษย์ได้
https://www.winnews.tv/news/14906
ผลึกน้ำสะท้อนอารมณ์และคำพูด
https://youtu.be/UQH8bfJzPHU
การสวดมนต์เป็นพลังงานที่วัดค่าออกมาได้จริง โดย น.พ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์
http://www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=2089
เมื่อเราได้สวดมนต์แล้ว ก็จะก่อให้เกิดพลังงานที่ดีออกไปกระจายออกไปในบรรยากาศ พลังงานที่ดีนี้เองที่เข้าไปช่วยชำระล้างพลังงานที่สกปรก พลังงานที่ไม่ดี เหมือนน้ำที่สะอาดไปชำระสิ่งสกปรกให้หลุดไป ให้หายไปได้
และถ้ามีผู้ถามว่า สวดมนต์แล้วช่วยให้สุขภาพดี ทำไมพระยังต้องเข้าโรงพยาบาล ขอเปรียบเทียบอย่างนี้ว่า
คนที่เรียนหมอจบมา มีวิชาดูแลรักษาสุขภาพตัวเองเยอะแยะมากมาย ดูแลรักษาสุขภาพตัวเองดีอยู่แล้ว สามารถเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลเองได้มั้ย
คำตอบคือ ก็ได้เหมือนกัน แต่คนที่เป็นหมอเมื่อมีเหตุต้องเข้าโรงพยาบาล ต้องรักษาตัวเอง เขาจะสามารถรักษาตัวเองให้พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บได้เร็วกว่าคนปกติ เพราะเขามีความรู้และวิธีการรักษาตัวเองที่ดีอยู่แล้ว เป็นมืออาชีพอยู่แล้ว
พระเองก็เช่นเดียวกับหมอ สามารถเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลได้ ถึงแม้จะมีการสวดมนต์เพื่อรักษาสุขภาพกายและใจ
แต่เมื่อพระรูปใดเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล พระก็สามารถสวดมนต์ปรับเปลี่ยนพลังงานที่ดีๆในร่างกาย ช่วยให้สุขภาพฟื้นฟูกลับมาได้เร็ว เช่นเดียวกันกับหมอที่ป่วยแต่ก็มีวิชาความรู้ทางการแพทย์ที่เรียนมา แล้วสามารถฟื้นฟูตัวเองได้เร็วนั่นแหละ
จะใช้บทสวดอะไรในสถานการณ์ไหน ก็ศึกษาในพระไตรปิฎก แต่ละบทสวดมีความหมายไม่เหมือนกัน สวดในสถานการณ์ที่ต่างกันออกไป ให้ผลต่างกันออกไป เหมือนกับน้ำในเวลาที่รับคำพูดหรืออักษรที่ต่างกัน ก็ย่อมแสดงผลในโมเลกุลที่ต่างกันนั่นแหละ
เพราะฉะนั้น ก็สวดมนต์ไปตามพระสูตรที่พระไตรปิฎกกล่าวไว้ นั่นแหละดี แต่ถ้าหวังว่าจะสวดให้ได้ผลเร็วๆเหมือนในสมัยพุทธกาลคงเป็นเรื่องยาก เพราะการปฏิบัติธรรมของพระในยุคนี้ส่วนมากห่างชั้นจากพระในสมัยพุทธกาลมาก ให้พระยุคนี้สวด คงต้องสวดกันหลายรอบ ถึงพอมีหวังจะได้ผล
ถ้ามีใครสามารถเอาขวดน้ำและกล้องจุลทรรศน์มาส่องน้ำในช่วงเวลาที่พระท่านสวดรัตนสูตรได้ยิ่งดี ถือเป็นการพิสูจน์ผลให้ทุกคนได้ประจักษ์ตาด้วยยิ่งดี
ส่วนที่มีคนบอกว่า การปิดเมืองให้ดีสำคัญกว่าการสวดมนต์ จริงๆแล้วทั้ง 2 อย่างก็ทำให้ดีควบคู่กันไปก็ได้
อย่างในพุทธกาล หากมีพระภิกษุอาพาธ ก็มีทั้งการฉันยาที่หมอให้และการประพฤติปฏิบัติธรรมควบคู่กันไปทั้ง 2 ทาง ไม่ใช่ว่าประพฤติธรรมแล้ว ไม่ต้องฉันยาก็ได้
และยังมีเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวกับการป้องกันโรคติดต่ออีก ยกตัวอย่างเช่น เรื่องส้วม ในพระวินัยมีบทบัญญัติละเอียดลออมาก แสดงว่าพระพุทธเจ้าทรงตระหนักถึงความสำคัญของส้วม มีการห้ามถ่ายอุจจาระเปรอะเปื้อน กำชับให้ถ่ายให้ลงช่อง ให้รักษาส้วมให้สะอาด ให้ระวังให้มีน้ำอยู่ในส้วมเสมอ ผู้ใดใช้น้ำหมดแล้ว ไม่หามาเติมก็ถูกปรับอาบัติ ทั้งนี้ก็เพราะน้ำเป็นอุปกรณ์สำคัญในการทำความสะอาด ทั้งแก่ร่างกายและแก่สถานที่
เพราะฉะนั้น ใครที่คิดว่า พระพุทธศาสนาสอนแต่เรื่องการสวดมนต์เพื่อรักษากาย,ใจอย่างเดียวนี่ เป็นความคิดที่ผิด
พระพุทธเจ้าสอนวิธีการชำระกายและใจไว้อย่างรอบด้าน อยู่ที่คนจะเรียนรู้ตามแค่ไหนและนำไปใช้จริงได้ขนาดไหนเท่านั้น
การสวดมนต์ก็เป็นการปรับเปลี่ยนชำระล้างสิ่งที่ไม่ดีออกไปได้ ผลวิจัยยืนยัน
ดร.มาซารุ ได้ทำการทดลองการเปลี่ยนไปของผลึกน้ำต่อสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ด้วย อย่างเช่น การเปิดบทสวดมนต์ เพลงคลาสสิก การเปิดเพลงร็อค และเพลงแนวอื่น ๆ จากนั้นก็ใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูผลึกน้ำ ปรากฏว่า น้ำที่ได้ฟังบทสวดมนต์ เพลงบรรเลงคลาสสิกที่ไพเราะจะมีผลึกน้ำที่สวยงาม ส่วนน้ำที่ฟังเพลงร็อค Heavy Metal ผลึกน้ำจะไม่สวยงาม ไม่เป็นรูปทรง
ดร.มาซารุ ยังบอกอีกว่า ไม่ใช่แค่เสียงเพลงเท่านั้น ตัวอักษรก็สามารถส่งผลต่อผลึกน้ำได้ ทดลองโดยการนำข้อความดีๆ และข้อความหยาบคาย เขียนใส่กระดาษและนำไปแปะที่หลอดทดลอง โดยหันด้านที่เขียนติดกับหลอดทดลอง ผลปรากฏว่า ผลึกน้ำที่ติดข้อความดี ๆ มีลักษณะที่สวยงามเป็นรูปทรง ต่างจากผลึกน้ำที่ติดกับคำหยาบผลึกน้ำจะไม่เป็นรูปร่างและยังดูน่ากลัวด้วย
ในร่างกายมนุษย์ประกอบไปด้วยน้ำถึง 70% แน่นอนว่าหากเราอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหน ผลึกน้ำในร่างกายก็จะเปลี่ยนไปได้เช่นนั้น เพราะฉะนั้นผลของการได้ยินหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ก็จะส่งผลต่ออารมณ์ จิตใจของมนุษย์ได้
https://www.winnews.tv/news/14906
ผลึกน้ำสะท้อนอารมณ์และคำพูด
https://youtu.be/UQH8bfJzPHU
การสวดมนต์เป็นพลังงานที่วัดค่าออกมาได้จริง โดย น.พ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์
http://www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=2089
เมื่อเราได้สวดมนต์แล้ว ก็จะก่อให้เกิดพลังงานที่ดีออกไปกระจายออกไปในบรรยากาศ พลังงานที่ดีนี้เองที่เข้าไปช่วยชำระล้างพลังงานที่สกปรก พลังงานที่ไม่ดี เหมือนน้ำที่สะอาดไปชำระสิ่งสกปรกให้หลุดไป ให้หายไปได้
และถ้ามีผู้ถามว่า สวดมนต์แล้วช่วยให้สุขภาพดี ทำไมพระยังต้องเข้าโรงพยาบาล ขอเปรียบเทียบอย่างนี้ว่า
คนที่เรียนหมอจบมา มีวิชาดูแลรักษาสุขภาพตัวเองเยอะแยะมากมาย ดูแลรักษาสุขภาพตัวเองดีอยู่แล้ว สามารถเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลเองได้มั้ย
คำตอบคือ ก็ได้เหมือนกัน แต่คนที่เป็นหมอเมื่อมีเหตุต้องเข้าโรงพยาบาล ต้องรักษาตัวเอง เขาจะสามารถรักษาตัวเองให้พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บได้เร็วกว่าคนปกติ เพราะเขามีความรู้และวิธีการรักษาตัวเองที่ดีอยู่แล้ว เป็นมืออาชีพอยู่แล้ว
พระเองก็เช่นเดียวกับหมอ สามารถเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลได้ ถึงแม้จะมีการสวดมนต์เพื่อรักษาสุขภาพกายและใจ
แต่เมื่อพระรูปใดเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล พระก็สามารถสวดมนต์ปรับเปลี่ยนพลังงานที่ดีๆในร่างกาย ช่วยให้สุขภาพฟื้นฟูกลับมาได้เร็ว เช่นเดียวกันกับหมอที่ป่วยแต่ก็มีวิชาความรู้ทางการแพทย์ที่เรียนมา แล้วสามารถฟื้นฟูตัวเองได้เร็วนั่นแหละ
จะใช้บทสวดอะไรในสถานการณ์ไหน ก็ศึกษาในพระไตรปิฎก แต่ละบทสวดมีความหมายไม่เหมือนกัน สวดในสถานการณ์ที่ต่างกันออกไป ให้ผลต่างกันออกไป เหมือนกับน้ำในเวลาที่รับคำพูดหรืออักษรที่ต่างกัน ก็ย่อมแสดงผลในโมเลกุลที่ต่างกันนั่นแหละ
เพราะฉะนั้น ก็สวดมนต์ไปตามพระสูตรที่พระไตรปิฎกกล่าวไว้ นั่นแหละดี แต่ถ้าหวังว่าจะสวดให้ได้ผลเร็วๆเหมือนในสมัยพุทธกาลคงเป็นเรื่องยาก เพราะการปฏิบัติธรรมของพระในยุคนี้ส่วนมากห่างชั้นจากพระในสมัยพุทธกาลมาก ให้พระยุคนี้สวด คงต้องสวดกันหลายรอบ ถึงพอมีหวังจะได้ผล
ถ้ามีใครสามารถเอาขวดน้ำและกล้องจุลทรรศน์มาส่องน้ำในช่วงเวลาที่พระท่านสวดรัตนสูตรได้ยิ่งดี ถือเป็นการพิสูจน์ผลให้ทุกคนได้ประจักษ์ตาด้วยยิ่งดี
ส่วนที่มีคนบอกว่า การปิดเมืองให้ดีสำคัญกว่าการสวดมนต์ จริงๆแล้วทั้ง 2 อย่างก็ทำให้ดีควบคู่กันไปก็ได้
อย่างในพุทธกาล หากมีพระภิกษุอาพาธ ก็มีทั้งการฉันยาที่หมอให้และการประพฤติปฏิบัติธรรมควบคู่กันไปทั้ง 2 ทาง ไม่ใช่ว่าประพฤติธรรมแล้ว ไม่ต้องฉันยาก็ได้
และยังมีเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวกับการป้องกันโรคติดต่ออีก ยกตัวอย่างเช่น เรื่องส้วม ในพระวินัยมีบทบัญญัติละเอียดลออมาก แสดงว่าพระพุทธเจ้าทรงตระหนักถึงความสำคัญของส้วม มีการห้ามถ่ายอุจจาระเปรอะเปื้อน กำชับให้ถ่ายให้ลงช่อง ให้รักษาส้วมให้สะอาด ให้ระวังให้มีน้ำอยู่ในส้วมเสมอ ผู้ใดใช้น้ำหมดแล้ว ไม่หามาเติมก็ถูกปรับอาบัติ ทั้งนี้ก็เพราะน้ำเป็นอุปกรณ์สำคัญในการทำความสะอาด ทั้งแก่ร่างกายและแก่สถานที่
เพราะฉะนั้น ใครที่คิดว่า พระพุทธศาสนาสอนแต่เรื่องการสวดมนต์เพื่อรักษากาย,ใจอย่างเดียวนี่ เป็นความคิดที่ผิด
พระพุทธเจ้าสอนวิธีการชำระกายและใจไว้อย่างรอบด้าน อยู่ที่คนจะเรียนรู้ตามแค่ไหนและนำไปใช้จริงได้ขนาดไหนเท่านั้น