พอเริ่มวิ่งได้สักพักก็มีรุ่นพี่ท่านนึงมาชวนไปงานวิ่งซึ่งเป็นงานวิ่งแรกของเอเลย พี่ท่านนี้ก็เลือกสนามเล็กๆ น่ารัก อบอุ่นที่ต.ลาดชะโด จังหวัดอยุธยาค่ะ เอลงวิ่ง 5 กิโล ตอนนั้นก็ตื่นเต้นมากกกเพราะไม่เคยไปงานแบบนี้มาก่อนเลยและไม่แน่ใจว่าตัวเองจะวิ่งได้ไหม (ตอนนั้นซ้อมได้ 3-4 กิโล ค่ะ)
 
แต่สุดท้ายก็วิ่งได้จบเป็นความรู้สึกที่ประทับใจมาก ดีใจที่ตัวเองทำได้ทั้งที่ไม่คิดว่าจะทำได้เลยจากวันแรกที่เดิน

จากนั้นเอก็กลับมาซ้อมวิ่งเรื่อยๆค่ะ ส่วนใหญ่จะวิ่งในหมู่บ้าน หลังจากกลับมาจากงานวิ่งนั้นก็เลยเริ่มขยับการซ้อมมาเป็นวันละ 5 กิโล เริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขกับการวิ่งมากขึ้นเรื่อยๆและได้เห็นพัฒนาการของตัวเอง ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต
 
จากนั้นเอก็ซ้อมและลงงานวิ่งมาเรื่อยๆ ค่อยๆเพิ่มระยะจาก 5K มาเป็น 6 – 10K ค่ะ

ภาพนี้คือ 10 K ที่บุรีรัมย์ค่ะ

ในความรู้สึกเอ จากเริ่มต้นวิ่งจนมาถึง 10K คิดว่ายังไม่ยากมากค่ะ วิ่งๆ เดินๆ จนมาถึงวันที่สมัครฮาฟล์มาราธอนไปและถึงวันแข่ง งานคือ ภูเก็ต ลากูน่า เป็นงานวิ่ง 21K งานแรกของเอ ความรู้สึกตื่นเต้นได้กลับเข้ามาอีกครั้งเพราะช่วงนั้นบาดเจ็บอยู่ด้วยและลุ้นว่าจะหายทันไหม

และวันนั้นก็มาถึงค่ะ เอได้ปรึกษากับนักกายภาพและคุณหมอที่ดูแลอาการบาดเจ็บว่าพอจะสามารถลงแข่งได้
แต่แล้วอาการบาดเจ็บก็มาเกิดขึ้นในช่วง 12 กิโลเมตร ตอนนั้นเอก็กัดฟันเดินมาเรื่อยๆค่ะ จนถึงกิโลเมตรที่ 15-16 อาการบาดเจ็บก็หายไปจนวิ่งได้ถึงเส้นชัย
 
เอมีคลิปวิดีโอบรรยากาศงานวันนั้นด้วยนะคะ
https://www.youtube.com/watch?v=dcNIWH6RIX4
 
หลังจากจบฮาล์ฟ อาการบาดเจ็บก็หายไปเลยค่ะไม่กลับมาอีก อาจจะเป็นเพราะการรักษาควบคู่กับการเวทเทรนนิ่งเพื่อสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ
 
ในระหว่างนี้ก็ซ้อมและลงงานวิ่งอย่างต่อเนื่องค่ะ การวิ่งสำหรับเอมันช่วยสร้างเป้าหมาย สร้างคุณค่า เปลี่ยนมุมมองให้เราเห็นตัวเองได้อยู่กับตัวเองมากขึ้นค่ะ

 
เป้าหมายของเอคือการพิชิตมาราธอนแรกให้ได้ค่ะ ซึ่งเอได้สมัครมาราธอนแรกไว้ที่ ฟูจิซัง มาราธอน ประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2019 แต่งานแข่งจริงจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนค่ะ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ทำให้เอได้ซ้อมอย่างจริงจังให้ได้เพราะเป็นสนามที่ค่อนข้างยาก เนินเยอะและเวลาคัตออฟคือ 6 ชั่วโมง สำหรับมาราธอนแรกนั้นถือว่าไม่ง่ายเลยค่ะ

ในงานฟูจิ แทบไม่ได้ถ่ายรูปเลยค่ะเพราะฉะนั้นเลยมีรูปมาฝากไม่มากนะคะ แต่มีคลิปมาให้ชมเช่นเคยค่ะ
https://www.youtube.com/watch?v=dAonu0Jmjyw
 
และในที่สุดเป้าหมายที่จะพิชิตมาราธอนแรกก็สำเร็จ ตอนเข้าเส้นชัยมาคือน้ำตาไหลเพราะว่าค่อนข้างเครียดกับเวลาคัตออฟ (เอเข้ามาประมาณ 5.45ชม. ค่ะ)
 
หลังจากจบมาราธอน เอก็คงยังวิ่งและตั้งเป้าหมายให้ตัวเองอยู่ตลอดค่ะ

 
ในส่วนของอุปกรณ์ของเอที่ใช้มานะคะ วันนี้เอจะคัดอันที่สำคัญๆ (สำหรับเอ) มานะคะ นอกจาก เสื้อ กางเกง แล้ว ก็จะมี 

1. นาฬิกา Smart Watch (Garmin 245 Music) ใช้สำหรับ ดู Heart Rate , ความเร็ว , เก็บบันทึก และเล่นเพลง 

2. หูฟัง เอจะสลับใช้ Airpods กับ Beat powerbeats pro ค่ะ ตัว AirPods จะใช้วันที่ซ้อมสบายๆ ไม่ผาดโผนมาก ส่วน Beat powerbeats pro จะใช้วันที่ซ้อมหนักหรือวันแข่ง ค่ะ เพราะ จะกระชับ มีที่คล้องหูหลุดยากกว่า Airpods 

ส่วนรองเท้า เอมีหลายคู่นะคะ แต่ส่วนใหญ่จะ ใช้ Nike Zoom fly 3 ค่ะ 
 
อย่างสุดท้ายนั่นก็คือ กันแดด Biore UV Athlizm ตัวนี้เอได้ทดลองใช้ ทั้งตอนซ้อมและตอนออกงานนะคะ
ถึงแม้ปกติ จะเริ่มวิ่งกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง หรือ ซ้อมกันตอนเย็นๆ ค่ำๆ แต่รังสี UV ก็มีนะคะ ฉะนั้นการทากันแดดจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากค่ะ

ด้วยกิจกรรมที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดและรังสี UV ด้วยความเป็นผู้หญิงที่ผิวแพ้ง่ายและกลัวผิวหมองคล้ำ เลยต้องใช้กันแดดที่สามารถปกป้องผิว ขออธิบายสภาพผิวเอก่อนนะคะ เอเป็นคนเหงื่อออกเยอะ ผิวมัน เอเลยไม่ค่อยชอบกันแดดแบบทั่วๆไปเนื้อสัมผัสที่มีความมัน ทาแล้วรู้สึกว่าเนื้อครีมหนาและเหนียวเหนอะ เยิ้ม บางทีเข้าตาทำให้เกิดอาการแสบตาตามมาและไม่ติดทนนานเลยทำให้บางครั้งเอทากันแดดบ้างไม่ทาบ้าง จึงเกิดปัญหาเกี่ยวกับผิวหมองคล้ำ เกิดฝ้า และสีผิวดูไม่สม่ำเสมอ แต่กันแดด Biore UV Athlizm SPF 50+ PA++++ สูตร Milk กันแดดสาย Sport ที่มีเนื้อเป็นน้ำนมบางเบา ทาง่าย ไม่เหนียวเหนอะหนะ ทาแล้วไม่รู้สึกไม่มัน มีความสบายตัว เคลื่อนไหวได้แบบสบายตัว และด้วยความพิเศษที่มาพร้อมกับ Tough Boost Technology ช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีได้สูงสุด แถมยังกันน้ำกันเหงื่อและในบางครั้งเผลอเอามือ เอาผ้าปาดเหงื่อ กันแดดก็ยังติดทนไม่หลุดด้วยค่ะ ไม่ว่าจะกีฬากลางแจ้งแบบไหนมั่นใจกล้าท้าแดด วิ่งงานกลางแจ้งที่ไหนเอก็ไม่หวั่นค่ะ

สุดท้ายนี้เอต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่าน ประสบการณ์การวิ่งและรีวิวนี้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ