สวัสดีครับ ผมเคยเป็นครูอยู่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งใน จังหวัดชัยภูมิ ก่อนที่ผมจะเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์ในโรงเรียนแห่งนี้ ผมขอเท้าความถึง สาเหตุที่ผมได้มาทำงานอยู่โรงเรียนแห่งนี้ก่อนนะครับ ผมเป็น ครูจบใหม่ หลังจากเรียนจบได้ 1 เดือนก็ย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านนอกในตัวอำเภอเกษตรสมบูรณ์ แรก ๆ แม่ผมก็ให้ผมอยู่บ้านอ่านหนังสือรอสอบครูผู้ช่วย แต่ปัญหามันเกิดตรงที่ในปีนั้นเขาไม่เปิดสอบ ผ่านไป 2 เดือนผมจึงคิดที่จะหางานทำ ตอนแรกผมคิดจะเข้าไปทำงานในเมือง แต่แม่เราก็ไม่อยากให้ไปผมจึงพยายามหางานทำในตัวอำเภอซึ่งเป็นชนบท ผมหางานอยู่ประมาณ 1 เดือน และก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ ผมหางานไม่ได้เลย วันหนึ่งก็มี ครู ที่เคยสอนผมมาแนะนำว่ามีโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งเขาเปิดรับครูผมจึงไปสมัคร ผมสมัครได้ประมาณ 2 อาทิตย์ เขาก็โทรมา โดยตอนสัมภาษณ์นั้นเขาบอกว่าเงินเดือน ตามวุฒิ แต่ตอนโทรมาเรียกเขาบอกเงินเดือน 8,500 บาท ผมเลยตอบตกลงไป เพราะตอนนั้นก็ยังหางานไม่ได้ และก็คิดว่างานอยู่ใกล้บ้าน ไม่ได้มีค่าใช้จ่ายอะไร เงินเดือนแค่นี้คงอยู่ได้
เริ่มงานวันแรก เข้างานก่อน 7.15 เลิก 17.30 ผมไปถึงโรงเรียน 6.40 ไปถึงผมก็นั่งรอ ผอ อยู่สักพัก ก็มีป้าคนหนึ่ง เป็นแม่ของผู้จัดการ ตะโกนบอกครูให้มาสอนงานผม(ตอนแรกคิดในใจว่าป้านี่ใครว่ะ มาสั่งครู) ครูคนนั้นก็มาพาผมไปหยิบไม้กวาดมากวาดโรงเรียน ในตอนนั้นผมไม่ได้พูดอะไรก็ทำ ๆ ไป แต่ในใจคือไม่โอเคสุด ๆ เพราะโรงเรียนนี้ไม่จ้างภารโรง ให้ครูช่วยกันทำ ทั้งรดน้ำต้นไม้ กวาดโรงเรียน รวมถึงการล้างห้องน้ำ
ในช่วงแรกนั้นผมอยากลาออกมาก แต่ติดตรงเงินประกันกว่า 3,000 บาท(ประกันทั้งหมด 5,000 จ่ายวันแรก 3,000 อีก 2,000 ผ่อนจ่ายเดือนละ 500 ต้องอยู่ให้ครบ 1 เทอมถึงได้คืน) ตอนมาทำงานวันแรกจ่ายค่าประกัน ผมก็ไม่รู้ว่ามันคือประกันอะไร ไม่ได้ถามรายละเอียดด้วยครับ ทำงานแต่ละวันคือเหนื่อยมาก ปกติแค่สอนเด็กก็เหนื่อยมากแล้ว(ผมสอนคอมพิวเตอร์ตั้งแต่อนุบาลถึง ป.6) ยังต้องมาทำงานภารโรงอีก(ตอนเช้ากวาด ส่วนตอนเย็นรดน้ำต้นไม้) คือเหนื่อยก่อนสอนและหลังสอน
1 เดือนต่อมาผมก็เริ่มปรับตัวได้ และเริ่มสนิทกับครูในโรงเรียน ผมก็เริ่มเห็นอะไรหลาย ๆ อย่างที่ผิดปกติในโรงเรียนนี้ เรื่องแรกคือครูเข้าและลาออกบ่อยมาก ครูบางคนมาทำงานได้แค่วันเดียว วันต่อมาก็ลาออกเลย(คิดในใจไม่เสียดายเงินประกันหรอว่ะ) เรื่องที่สองคือ ผู้บริหารใช้คำพูดไม่สุภาพ และชอบเหยียดและดูถูกครู ไม่เคารพ หรือให้เกียรติคณะครูเลย เวลาเข้าประชุมทีไรก็จะใช้คำพูดดูถูก ข่มขู่ครูที่คิดจะลาออกอย่างนั้นอย่างนี้ ผมเข้าใจนะว่าโรงเรียนเดือดร้อนแค่ไหนที่มีครูออกกลางคันไป 1 คน มีอาทิตย์นึงครูออกพร้อมกันถึง 5 คน ครูที่อยู่ก็ซวยไปต้องสอนแทน วุ่นวายกันมาก แต่ปัญหาทั้งหมดมันก็เกิดจากตัวโรงเรียนเองที่คุณเอาเปรียบเขา ใช้งานหนักโดยไม่ใช่หน้าที่ เงินเดือนก็น้อย แถมยังเจอผู้บริหารที่ไม่ดีอีก เรื่องสุดท้ายคือ เรื่องเงินเดือนครู หลังจากที่ผมสอนอยู่ที่นี่ได้ 4 เดือนกว่า ๆ ผมก็ได้บรรจุ ทางผู้บริหารก็ให้ผมไปเปิดบัญชี แต่ยึดบัตรเอทีเอ็มผมไป ผมก็ไม่ได้พูดอะไร ผมสงสัยมากว่ายึดไปทำไมเลยถามครูที่ผมสนิท ผมเลยรู้ความจริงว่าครูที่บรรจุจะได้เงินเดือนจากรัฐบาลคนละ 15,600 บาท โอนเข้าบัญชี ซึ่งเงินในส่วนนี้รัฐบาลเป็นคนจ่าย แต่ทางโรงเรียนอ้างว่านำเงินมาแบ่งกับครูคนอื่นด้วย ซึ่งโรงเรียนนี้มีครูทั้งหมดประมาณ 20 คน มีห้องเรียนประมาณ 12 ห้อง ถ้าได้เงินเดือนจากรัฐบาลตามรายห้องจะได้เงินทั้งหมด 187,200 บาท หาร 20 เท่ากับ 9,360 แต่ก็มีครูบางคนที่อยู่มานานก็อาจจะได้เงินเดือนมากกว่า 8,500 บาท ผมก็พอรับได้ที่โรงเรียนทำแบบนี้ เพราะโรงเรียนอื่นในอำเภอผมก็ทำแบบนี้เหมือนกัน แต่โรงเรียนนี้มีค่าเทอมแพงที่สุดในอำเภอ ผมจึงแปลกใจมากว่าเขาบริหารกันยังไง คงได้กำไรเยอะมาก แถมยังมาเบียดเบียนกับครูอีก
และสิ่งที่ทำให้ผมทนอยู่โรงเรียนนี้ไม่ได้ก็มาถึง ในช่วงปิดเทอมครูก็จะมาทำเกรดให้เด็กนักเรียนที่สอน แต่พอคณะครูทำเสร็จหมดทุกคน ธรรมดาโรงเรียนรัฐบาลก็จะได้หยุดบ้างประมาณ 7-10 วัน หรือถ้าไม่ได้พักก็มาประชุมวางแผน แต่กับโรงเรียนนี้ไม่ สิ่งที่โรงเรียนนี้ให้ครูทำคือทำความสะอาดโรงเรียน โดยเริ่มตั้งแต่กวาด รดน้ำต้นไม้เหมือนเดิม และที่หนักสุดคือขัดสระว่ายน้ำ ซึ่งสระว่ายน้ำคือสกปรกมาก คราบหินปูนเกาะแบบหนามาก แทบจะเป็นเนื้อเดียวกับกระเบื้องไปแล้ว คณะครูใช้เวลาขัดสระนี้อยู่ 3 วัน ซึ่งสระไม่ได้อยู่ในร่มแต่อยู่กลางแดด คือขัดโดยใช้เกียงก่อสร้างแทะเอาหินปูนออก เรื่องนี้เริ่มทำให้ผมใจออกได้ในระดับหนึ่ง เรื่องต่อมาคือช่วงสิ้นเทอมนั้นมีครูออก ถ้าผมจำไม่ผิดประมาณ 4-5 คน ผู้บริหารจึงเปลี่ยนกฎใหม่โดยบอกว่าจะคืนเงินประกัน 5,000 บาทให้เมื่ออยู่ครบปีการศึกษา อ้าวตายไหมล่ะ ตอนแรกกะว่าจะออกตอนสิ้นเทอม พอเรื่องเป็นแบบนี้คงไม่ได้แล้ว ผมจึงเริ่มหางานใหม่ และไม่สนใจเงินประกัน 5,000 นั้น และในที่สุดผมก็หางานใหม่ได้ ตอนนั้นโรงเรียนเปิดเทอมได้ประมาณ 10 วัน ผมก็โทรไปลาออก ผมคิดในตอนนั้นว่าถูกด่าอะไรก็ยอมเพราะแค่เสียงในโทรศัพท์(ยอมรับว่าผมกลัวที่ต้องไปบอกต่อหน้า) ผมเลยตัดสินใจโทรไป และก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ผมโดนด่าเละเลย
เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ของผมที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ที่ผมตัดสินใจนำเรื่องมาเปิดเผยเพราะผมได้ยินมาว่าโรงเรียนแห่งนี้จะไม่หยุดตามประกาศรัฐบาล ที่สั่งให้โรงเรียนไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือเอกชนหยุด 14 วันเพื่อป้องกันการแพร่ระบาลของโรค Covid-19 ซึ่งถ้าหยุดคงไม่ได้เสียหายอะไรเพราะเป็นช่วงปิดเทอม แต่ก็อย่างว่า คงเปิดเพื่อใช้แรงงานครูอีกเหมือนเทอมที่แล้ว ผมเลยอยากแชร์ประสบการณ์ที่ผมเคยทำงานกับโรงเรียนเอกชนแห่งนี้ว่า โรงเรียนในชนบทยังเป็นแบบนี้อยู่โดยส่วนใหญ่ มีการเอารัดเอาเปรียบ ดูถูก เหยียดหยาม ครูอยู่มาก ทำให้ครูจบใหม่อย่างผมหมดไฟในการเป็นครูทันที และเริ่มหาอาชีพที่ตัวเองถนัด และคิดว่าคงไม่กลับไปเป็นครูอีกแล้ว ขอบคุณที่อ่านมาจนจบครับ
การเป็นครูโรงเรียนเอกชนมันลำบากขนาดนี้เลยหรอ
เริ่มงานวันแรก เข้างานก่อน 7.15 เลิก 17.30 ผมไปถึงโรงเรียน 6.40 ไปถึงผมก็นั่งรอ ผอ อยู่สักพัก ก็มีป้าคนหนึ่ง เป็นแม่ของผู้จัดการ ตะโกนบอกครูให้มาสอนงานผม(ตอนแรกคิดในใจว่าป้านี่ใครว่ะ มาสั่งครู) ครูคนนั้นก็มาพาผมไปหยิบไม้กวาดมากวาดโรงเรียน ในตอนนั้นผมไม่ได้พูดอะไรก็ทำ ๆ ไป แต่ในใจคือไม่โอเคสุด ๆ เพราะโรงเรียนนี้ไม่จ้างภารโรง ให้ครูช่วยกันทำ ทั้งรดน้ำต้นไม้ กวาดโรงเรียน รวมถึงการล้างห้องน้ำ
ในช่วงแรกนั้นผมอยากลาออกมาก แต่ติดตรงเงินประกันกว่า 3,000 บาท(ประกันทั้งหมด 5,000 จ่ายวันแรก 3,000 อีก 2,000 ผ่อนจ่ายเดือนละ 500 ต้องอยู่ให้ครบ 1 เทอมถึงได้คืน) ตอนมาทำงานวันแรกจ่ายค่าประกัน ผมก็ไม่รู้ว่ามันคือประกันอะไร ไม่ได้ถามรายละเอียดด้วยครับ ทำงานแต่ละวันคือเหนื่อยมาก ปกติแค่สอนเด็กก็เหนื่อยมากแล้ว(ผมสอนคอมพิวเตอร์ตั้งแต่อนุบาลถึง ป.6) ยังต้องมาทำงานภารโรงอีก(ตอนเช้ากวาด ส่วนตอนเย็นรดน้ำต้นไม้) คือเหนื่อยก่อนสอนและหลังสอน
1 เดือนต่อมาผมก็เริ่มปรับตัวได้ และเริ่มสนิทกับครูในโรงเรียน ผมก็เริ่มเห็นอะไรหลาย ๆ อย่างที่ผิดปกติในโรงเรียนนี้ เรื่องแรกคือครูเข้าและลาออกบ่อยมาก ครูบางคนมาทำงานได้แค่วันเดียว วันต่อมาก็ลาออกเลย(คิดในใจไม่เสียดายเงินประกันหรอว่ะ) เรื่องที่สองคือ ผู้บริหารใช้คำพูดไม่สุภาพ และชอบเหยียดและดูถูกครู ไม่เคารพ หรือให้เกียรติคณะครูเลย เวลาเข้าประชุมทีไรก็จะใช้คำพูดดูถูก ข่มขู่ครูที่คิดจะลาออกอย่างนั้นอย่างนี้ ผมเข้าใจนะว่าโรงเรียนเดือดร้อนแค่ไหนที่มีครูออกกลางคันไป 1 คน มีอาทิตย์นึงครูออกพร้อมกันถึง 5 คน ครูที่อยู่ก็ซวยไปต้องสอนแทน วุ่นวายกันมาก แต่ปัญหาทั้งหมดมันก็เกิดจากตัวโรงเรียนเองที่คุณเอาเปรียบเขา ใช้งานหนักโดยไม่ใช่หน้าที่ เงินเดือนก็น้อย แถมยังเจอผู้บริหารที่ไม่ดีอีก เรื่องสุดท้ายคือ เรื่องเงินเดือนครู หลังจากที่ผมสอนอยู่ที่นี่ได้ 4 เดือนกว่า ๆ ผมก็ได้บรรจุ ทางผู้บริหารก็ให้ผมไปเปิดบัญชี แต่ยึดบัตรเอทีเอ็มผมไป ผมก็ไม่ได้พูดอะไร ผมสงสัยมากว่ายึดไปทำไมเลยถามครูที่ผมสนิท ผมเลยรู้ความจริงว่าครูที่บรรจุจะได้เงินเดือนจากรัฐบาลคนละ 15,600 บาท โอนเข้าบัญชี ซึ่งเงินในส่วนนี้รัฐบาลเป็นคนจ่าย แต่ทางโรงเรียนอ้างว่านำเงินมาแบ่งกับครูคนอื่นด้วย ซึ่งโรงเรียนนี้มีครูทั้งหมดประมาณ 20 คน มีห้องเรียนประมาณ 12 ห้อง ถ้าได้เงินเดือนจากรัฐบาลตามรายห้องจะได้เงินทั้งหมด 187,200 บาท หาร 20 เท่ากับ 9,360 แต่ก็มีครูบางคนที่อยู่มานานก็อาจจะได้เงินเดือนมากกว่า 8,500 บาท ผมก็พอรับได้ที่โรงเรียนทำแบบนี้ เพราะโรงเรียนอื่นในอำเภอผมก็ทำแบบนี้เหมือนกัน แต่โรงเรียนนี้มีค่าเทอมแพงที่สุดในอำเภอ ผมจึงแปลกใจมากว่าเขาบริหารกันยังไง คงได้กำไรเยอะมาก แถมยังมาเบียดเบียนกับครูอีก
และสิ่งที่ทำให้ผมทนอยู่โรงเรียนนี้ไม่ได้ก็มาถึง ในช่วงปิดเทอมครูก็จะมาทำเกรดให้เด็กนักเรียนที่สอน แต่พอคณะครูทำเสร็จหมดทุกคน ธรรมดาโรงเรียนรัฐบาลก็จะได้หยุดบ้างประมาณ 7-10 วัน หรือถ้าไม่ได้พักก็มาประชุมวางแผน แต่กับโรงเรียนนี้ไม่ สิ่งที่โรงเรียนนี้ให้ครูทำคือทำความสะอาดโรงเรียน โดยเริ่มตั้งแต่กวาด รดน้ำต้นไม้เหมือนเดิม และที่หนักสุดคือขัดสระว่ายน้ำ ซึ่งสระว่ายน้ำคือสกปรกมาก คราบหินปูนเกาะแบบหนามาก แทบจะเป็นเนื้อเดียวกับกระเบื้องไปแล้ว คณะครูใช้เวลาขัดสระนี้อยู่ 3 วัน ซึ่งสระไม่ได้อยู่ในร่มแต่อยู่กลางแดด คือขัดโดยใช้เกียงก่อสร้างแทะเอาหินปูนออก เรื่องนี้เริ่มทำให้ผมใจออกได้ในระดับหนึ่ง เรื่องต่อมาคือช่วงสิ้นเทอมนั้นมีครูออก ถ้าผมจำไม่ผิดประมาณ 4-5 คน ผู้บริหารจึงเปลี่ยนกฎใหม่โดยบอกว่าจะคืนเงินประกัน 5,000 บาทให้เมื่ออยู่ครบปีการศึกษา อ้าวตายไหมล่ะ ตอนแรกกะว่าจะออกตอนสิ้นเทอม พอเรื่องเป็นแบบนี้คงไม่ได้แล้ว ผมจึงเริ่มหางานใหม่ และไม่สนใจเงินประกัน 5,000 นั้น และในที่สุดผมก็หางานใหม่ได้ ตอนนั้นโรงเรียนเปิดเทอมได้ประมาณ 10 วัน ผมก็โทรไปลาออก ผมคิดในตอนนั้นว่าถูกด่าอะไรก็ยอมเพราะแค่เสียงในโทรศัพท์(ยอมรับว่าผมกลัวที่ต้องไปบอกต่อหน้า) ผมเลยตัดสินใจโทรไป และก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ผมโดนด่าเละเลย
เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ของผมที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ที่ผมตัดสินใจนำเรื่องมาเปิดเผยเพราะผมได้ยินมาว่าโรงเรียนแห่งนี้จะไม่หยุดตามประกาศรัฐบาล ที่สั่งให้โรงเรียนไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือเอกชนหยุด 14 วันเพื่อป้องกันการแพร่ระบาลของโรค Covid-19 ซึ่งถ้าหยุดคงไม่ได้เสียหายอะไรเพราะเป็นช่วงปิดเทอม แต่ก็อย่างว่า คงเปิดเพื่อใช้แรงงานครูอีกเหมือนเทอมที่แล้ว ผมเลยอยากแชร์ประสบการณ์ที่ผมเคยทำงานกับโรงเรียนเอกชนแห่งนี้ว่า โรงเรียนในชนบทยังเป็นแบบนี้อยู่โดยส่วนใหญ่ มีการเอารัดเอาเปรียบ ดูถูก เหยียดหยาม ครูอยู่มาก ทำให้ครูจบใหม่อย่างผมหมดไฟในการเป็นครูทันที และเริ่มหาอาชีพที่ตัวเองถนัด และคิดว่าคงไม่กลับไปเป็นครูอีกแล้ว ขอบคุณที่อ่านมาจนจบครับ