“แจ็ค ข้อเท้าสปริง” ปีศาจแห่งยุควิคตอเรีย
“Spring-Heeled Jack” หรือ “แจ็ค ข้อเท้าสปริง” คือคน ผี หรือปีศาจ ที่มีรูปร่างคล้ายชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูง แต่งกายด้วยชุดผ้าหลุมคล้ายปีก ซึ่งออกก่อคดีสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คน ด้วยถุงมือกรงเล็บที่ทำจากเหล็กและความสามารถในการกระโดดสูงผิดมนุษย์ (ซึ่งทางบางแหล่งข้อมูลบอกว่ากระโดดขึ้นไปบนหลังคาบ้านได้เลย)
เรื่องราวสยองขวัญนี้ เริ่มต้นขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงปี ค.ศ. 1837 เมื่อมีหญิงสาวออกมารายงานว่าเธอถูกชายลึกลับกระโดดข้ามศีรษะไปทั้งๆ ที่ยืน ก่อนจะถูกจับและกรีดร่างด้วยกรงเล็บมีด ด้วยความหวาดกลัวต่อสิ่งที่เกิดขึ้นหญิงสาวจึงกรีดร้องขอความช่วยเหลือจากคนที่ผ่านไปมา แต่ทันทีที่มีคนมาช่วย คนร้ายก็หายไปอย่างลึกลับแล้ว
หลังจากที่คดีความชิ้นนี้เกิดขึ้น ทางตำรวจก็ได้พบว่ามีหญิงถูกโจมตีในลักษณะคล้ายกัน ปรากฏตัวออกมาเป็นจำนวนมากทั่วพื้นที่ชานเมืองลอนดอน และมีการรายงานเพิ่มเติมว่าทั้งที่ว่าชายคนดังกล่าวมีดวงตาสีแดงที่ส่องสว่างในที่มืด หรือแม้แต่เขาพ่นไฟได้
แจ็ค ข้อเท้าสปริงกลายเป็นเรื่องโด่งดังที่มีการพูดถึงทั่วลอนดอนในช่วงหลายปีหลังจากนั้น โดยเขาถูกมักถูกพ่อแม่นำไปใช้หลอกให้ลูกๆ กลัว ในขณะที่ในทุกๆ ปี จำนวนเหยื่อที่ออกมาอ้างว่าถูกโจมตีโดยแจ็ค ข้อเท้าสปริงก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
หนึ่งในคดีความที่น่าสนใจที่สุดเกิดขึ้นในปี 1838 เมื่อมีหญิงสาวชื่อ Jane Alsop เข้าแจ้งความว่ามีชายมาเคาะประตูบ้านเธอกลางดึก โดยอ้างว่าเป็นตำรวจมาสอบถามเรื่องการพบเห็นแจ็ค ข้อเท้าสปริง แต่เมื่อเธอเปิดประตูออกไปจริงๆ Jane Alsop กลับถูกชายคนดังกล่าวกลับพ่นไฟสีขาวและสีน้ำเงินใส่ ก่อนที่จะกรีดเสื้อของเธอด้วยกรงเล็บใบมีด และหนีไปในตอนที่น้องสาวของเธอพยายามเข้ามาช่วย
หลังจากคดีความที่เกิดขึ้นทางตำรวจลอนดอนได้ทำการจับตัวผู้ต้องสงสัยที่โจมตี Jane Alsop ได้หนึ่งคน แต่ชายคนดังกล่าวก็สามารถหลุดจากความผิดไปได้ เนื่องจากหญิงสาวผู้เป็นเหยื่อยืนยันอย่างมั่นใจว่าคนร้ายที่โจมตีเธอ สามารถพ่นไฟได้
ไม่นานหลังจากคดีความของ Jane Alsop ชื่อเสียงของ แจ็ค ข้อเท้าสปริงก็โด่งดังขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่ จนเหยื่อที่เคยมีอยู่แต่ในลอนดอน เริ่มเพิ่มจำนวนขึ้น จนแม้แต่ที่สกอตแลนด์ก็มีคนออกมาอ้างว่าถูกโจมตีโดย แจ็ค ข้อเท้าสปริงเลย
ในช่วงเวลานี้เองมีคนมากมายที่ถูกกล่าวหาหรือสงสัยว่าเป็น แจ็ค ข้อเท้าสปริง โดยในบรรดาคนเหล่านั้น “เฮนรี่ เดอ ลา บัว เบเรสฟอร์ด” มาร์ควิสแห่งวอเตอร์ฟอร์ด คือคนที่ถูกผู้คนสงสัยกันมากที่สุด
เพราะในตอนที่แจ็ค ข้อเท้าสปริงปรากฏตัวขึ้น เฮนรี่ กำลังอายุได้ 26 ปี กำลังมีชื่อเสีย(ง) ในฐานะคนที่ชอบแกล้งคนแบบแรงๆ และมีความโดดเด่นในด้านกีฬาสูง
อย่างไรก็ตามเฮนรี่ เสียชีวิตไปในปี 1859 ในขณะที่แจ็ค ข้อเท้าสปริงออกอาละวาดถึงปี 1904 ดังนั้นหลายๆ คนจึงเชื่อว่า เฮนรี่ไม่น่าจะใช่แจ็ค (อย่างน้อยๆ ก็แจ็คในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19)
ที่มา allthatsinteresting, atlasobscura, sombriamente และ historycollection
ขอขอบคุณภาพจาก
https://talk.mthai.com/inbox/432561.html
Cr.
https://www.catdumb.tv/spring-heeled-jack-378/ By เหมียวศรัทธา
“สกินวอล์กเกอร์” เรื่องเล่าขานของอินเดียนแดง
เรื่องราวที่ถูกเล่าขานกันในชาวอินเดียนแดง เช่นเผ่านาวาโฮ และเกี่ยวข้องกับมนุษย์ที่กลายร่างเป็นสัตว์ร้ายจากเวทมนตร์หรือคำสาป ด้วยการนำหนังสัตว์มาสวม และออกอาละวาดทำร้ายทั้งคนและสัตว์ไม่เลือกหน้า จนกลายเป็นที่หวาดกลัวของผู้คนในอดีต
ปีศาจตัวนี้มีที่มาและต้นกำเนิดแตกต่างกันไปตามเรื่องเล่าของชาวอินเดียนแดงเผ่าต่างๆ ตั้งแต่คนที่ใช้เวทมนตร์ในทางที่ผิด พิธีกรรมเปลี่ยนคนเป็นสัตว์ หรือแม้แต่คนที่ถูกหลอกให้กินยาที่มีคำสาปร้าย แต่ไม่ว่าจะเป็นทางไหน สุดท้ายผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะเป็นปีศาจผู้มีพลังของสัตว์อยู่ดี
สกินวอร์กเกอร์โดยมากแล้วจะมีลักษณะเป็นมนุษย์ครึ่งคนครึ่งสัตว์ หรือคนที่กลายเป็นสัตว์ป่าขนาดใหญ่โดยตรง ซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้งหมาป่า หรือแม้แต่หมี พวกมันถูกระบุไว้ว่ามีความว่องไวเหนือมนุษย์ ซ่อนตัวเก่ง และฉลาดพอจะล่อเหยื่อไปสังหารได้ด้วยกำลังกายเหนือมนุษย์
สกินวอร์กเกอร์นั้นแม้ว่าจะเป็นเรื่องเล่าของชาวอินเดียนแดงมาเป็นเวลานาน แต่พวกมันกลับเพิ่งจะเข้ามาเป็นหนึ่งในเรื่องสยองขวัญของสหรัฐอเมริกา ในช่วงปี 1996 ผ่านทางรายการโทรทัศน์เท่านั้น
โดยในเวลานั้นสื่อของต่างประเทศได้มีการนำเสนอเรื่องราวของครอบครัวในรัฐยูทาห์ครอบครัวหนึ่ง ซึ่งต้องพบเรื่องเหนือธรรมชาติอยู่บ่อยครั้ง
หนึ่งในเรื่องราวที่คนในครอบครัวนี้พบนั้น ถูกระบุไว้ว่าเป็นสุนัขหมาป่าขนาดยักษ์ ที่ตัวใหญ่กว่าหมาป่าธรรมดาถึง 3 เท่า แถมยังมีดวงตาสีแดงและไม่ยอมตายแม้ถูกยิงในระยะใกล้ถึง 3 ครั้ง
นับตั้งแต่รายการในวันนั้นก็มีคนมากมายที่ออกมารายงานว่าตนเองก็พบสกินวอล์กเกอร์ในรูปแบบต่างๆ เช่นกัน จนทำให้เรื่องราวที่เดิมทีแล้วอาจจะถูกบอกปัดได้ว่าเป็นแค่เรื่องเล่า กลายเป็นสิ่งที่มีคนตามหากันอย่างจริงจังไป
ฟาร์มสกินวอร์กเกอร์ (Skinwalker Ranch) สถานที่เกิดเหตุพบเรื่องเหนือธรรมชาติอยู่บ่อยครั้ง
และก็เป็นความโด่งดังในจุดนี้เอง ที่ทำให้ผู้หลงใหลในสิ่งเหนือธรรมชาติจำนวนมาก ตัดสินใจที่จะออกตามหาสกินวอล์กเกอร์อย่างจริงจังในช่วงปี 1996-1997 โดยเฉพาะในพื้นที่ฟาร์มสกินวอร์กเกอร์ซึ่งมีคนถึงกับลงทุนซื้อที่ดินรอบๆ ไว้เพื่อตามหาสัตว์ร้ายตัวนี้โดยเฉพาะเลย
แต่แม้ว่าเราจะมีรายงานการพบเห็นสกินวอล์กเกอร์มากมายแค่ไหนก็ตาม สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครเลยที่จะสามารถหาหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันของสัตว์ร้ายตัวนี้มาแสดงให้โลกเห็นได้ ทำให้เรื่องราวของสกินวอล์กเกอร์ที่น่าหวาดกลัวเอง ก็จะยังคงเป็นหนึ่งในเรื่องราวสุดลึกลับในใจของหลายๆ คนไปอีกนานแสนนาน
ที่มา allthatsinteresting, history
Cr.
https://www.catdumb.tv/skinwalker-378/ By เหมียวศรัทธา
"ไวกิ้งเบอร์เซิร์กเกอร์" เหล่าผู้ติดตามแห่งโอดิน
คำว่า “เบอร์เซิร์ก” กันมาบ้าง คำคำนี้มักจะใช้กับคนที่บ้าคลั่งจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ เพราะนักรบที่เป็นต้นกำเนิดของคำว่าเบอร์เซิร์กเองก็เป็นยอดนักรบที่ได้ชื่อว่าต่อสู้ได้อย่างน่ากลัวราวกับสัตว์ป่าบ้าคลั่งจริงๆ
พวกเขาคือ “ไวกิ้งเบอร์เซิร์กเกอร์” เหล่านักรบผู้วิ่งเข้าสู่สงครามด้วย ความบ้าคลั่งที่ควบคุมไม่ได้ ซึ่งถูกเล่าสืบทอดกันมาว่ามีความสามารถราวปีศาจ คำรามเหมือนสัตว์ร้าย และโจมตีใครก็ตามที่ขว้างทางด้วยพลังกายเหนือมนุษย์
ไวกิ้งเบอร์เซิร์กเกอร์ มักจะถูกบรรยายในตำนานของกลุ่มชนเจอร์แมนิกและนอร์สยุคกลาง ว่าเป็นกลุ่มนักรบที่เคารพโอดิน ซึ่งทำหน้าที่คล้ายองครักษ์ และหน่วยรบเคลื่อนที่เร็ว (Shock Troops) ให้กับชนชั้นสูง หรือกษัตริย์เป็นหลัก
ภาพสลักของเบอร์เซิร์กเกอร์ที่ติดตามโอดิน
คำว่าเบอร์เซิร์กในชื่อของพวกเขานั้นเชื่อกันว่ามาจากคำว่า “Bjorn” (หมี) และ “Serkr” (เสื้อคลุม) จากการที่นักรบเหล่านี้มักออกรบพร้อมเครื่องแต่งกายหรือชุดเกราะ ที่ประดับด้วยหนังหมีหรือหนังหมาป่าเพื่อข่มขวัญศัตรู ตำนานที่เก่าแก่ที่สุดของเหล่าไวกิ้งเบอร์เซิร์กเกอร์ สามารถพบได้ตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 9 ในบทกวีที่ชื่อ Hrafnsmál ซึ่งก็เป็นตั้งแต่ในบทกลอนชิ้นนี้แล้ว ที่นักรบเหล่านี้ถูกบรรยายว่าเป็นนักรบ “ผู้ลิ้มลองโลหิต” (Tasters of Blood) ที่ร่างอาบไปด้วยโลหิตของศัตรู
ด้วยความที่ตำนานของไวกิ้งเกิดขึ้นในยุคที่ความเชื่อเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติยังคงแพร่หลาย ตำนานของพวกเขาจึงมักเกี่ยวข้องกับพลังเหนือมนุษย์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการบรรยายว่าไฟทำอะไรคนเหล่านี้ไม่ได้ ดาบฟันแทงไม่เข้า ไปจนถึงพวกเขาสามารถอาละวาดไปทั่วสนามรบได้แม้บาดเจ็บหนักก็ตาม ลักษณะความบ้าคลั่งไม่สนโลกนี้เองทำให้นักวิจัยบางกลุ่มเชื่อว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังพลังของไวกิ้งเบอร์เซิร์กเกอร์อาจจะมาจากยาเสพติด แอลกอฮอล์ หรือแม้กระทั่งโรคทางจิตก็เป็นได้
โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับสารเสพติดนั้นมีนักพฤกษศาสตร์หลายคนออกมาอ้างว่าไวกิ้งเบอร์เซิร์กเกอร์อาจมีการใช้เห็ด หรือไม่ก็ดอก Bog myrtle ที่มีฤทธิ์หลอนประสาทอยู่เสมอๆ แม้ว่าโดยมากแล้วพวกเขาจะมีหลักฐานมายืนยันทฤษฎีไม่มากพอก็ตาม
ท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวของนักรบเหล่านี้ก็ยังมีเรื่องราวที่ยังไขไม่ได้อยู่อีกมากมายอยู่ดี ถึงอย่างนั้นก็ตามนี่อาจจะเป็นเรื่องที่ดีแล้วก็เป็นได้ เพราะด้วยตำนานพลังเหนือธรรมชาติของพวกเขานั้น ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจของผลงานที่เรารักหลายชิ้น และคงจะเป็นเช่นนี้ไปอีกนานแสนนานเลย
ที่มา
https://www.ancient-origins.net/myths-legends/viking-berserkers-fierce-warriors-or-drug-fuelled-madmen-001472
Cr.
https://www.clipmass.com/story/131456 / โพสต์โดย : THEBOxrun
สกาฮะ ยอดนักรบหญิงครูของฮีโร่ เทพผู้ทดสอบมนุษย์ และเมอร์ลินแห่งตำนานไอริช
สกาฮะ (Scathach Scáthach หรือ Sgathach) เป็นหนึ่งในตัวละครของ Ulster Cycle ตำนานโบราณของชาวไอริช เธอได้รับการบรรยายไว้ว่าเป็นสุดยอดนักรบหญิง และอาจารย์ของยอดนักรบ
ชื่อของสกาฮะแปลว่า “เงา” ในภาษาเกลิคภาษาเซลท์สาขาหนึ่ง และเชื่อกันว่าอาศัยอยู่ที่เกาะ Skye และเปิดสอนวิชาต่อสู้อยู่ที่นั่น เดิมทีแล้วเรื่องราวของสกาฮะ ไม่ได้มีการบันทึกและมักมาจากการเล่าปากต่อปากเท่านั้นจนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 14 จึงเริ่มมีการบันทึกเรื่องราวของเธอเป็นลายลักษณ์อักษร
ภาพซากของปราสาท Dunscaith บนเกาะ Skye ที่ที่เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ฝึกสอนของสกาฮะ
ว่ากันว่ามีคนมากมายที่ตามหาสกาฮะเพื่อให้เธอสอนวิชาต่อสู้ให้ แต่น้อยคนนักที่จะได้พบตัวเธอจริงๆ และจำนวนคนที่สำเร็จวิชาของเธอก็เรียกว่าน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ถึงขั้นที่มีความคิดที่ว่าการไปฝึกกับเธอนั้นไม่ต่างอะไรกับการเดินไปหาความตาย
อย่างไรก็ตามชื่อเสียงหลักๆ ของเธอมาจากการฝึกยอดนักรบในเรื่องราวอื่นๆ ของ Ulster Cycle โดยคนที่เป็นที่รู้จักที่สุดที่เป็นลูกศิษย์ของเธอก็ได้แก่ คู ฮูลินน์ (Cú Chulainn) บุตรของเทพแห่งแสงสว่าง ผู้ซึ่งถูกส่งมาตามหาเธอตั้งแต่วัยเยาว์โดยพ่อของหญิงสาวที่เขารัก (ที่ไม่อยากยกลูกสาวให้เขาก็เลยส่งเด็กหนุ่มไปตาย)
ผู้ที่ผ่านการฝึกของเธอได้มักจะได้รับพลังอันยิ่งใหญ่ตอบแทน อย่างในกรณีของคู ฮูลินน์เอง เขาก็ได้รับหอก Gáe Bulg ที่ถูกบรรยายไว้ว่า “หอกเจ็ดปลายที่แต่ละปลายมีหนามเจ็ดอัน เมื่อแทงเข้าไปในร่างศัตรูจะทำให้หนามพุ่งแทงออกมาจากภายใน”
จริงๆ สกาฮะมีฐานะคล้ายกับเมอร์ลินในตำนานของกษัตริย์อาร์เธอร์กับอัศวินโต๊ะกลม ในฐานะที่ทั้งคู่เป็นผู้ที่มอบบททดสอบให้แก่ตัวเอก และมอบอาวุธพิเศษให้ตัวเอกเมื่อที่พวกเขาก้าวผ่านบททดสอบได้
ในตำนานบางตำราของไอริส ยังมีการระบุไว้ว่าสกาฮะนั้นเป็นเทพผู้ที่คอยทดสอบมนุษย์ ว่ากันว่าคนที่สามารถชนะเธอในการประลองได้จะได้เข้าไปสู่ดินแดนแห่งความเยาว์ชั่วนิรันดร์
ที่มา ireland-information, bardmythologies, britannica, undiscoveredscotland และ allthatsinteresting
Cr.
https://www.catdumb.com/scathach-378/ By เหมียวศรัทธา
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
เรื่องเล่าขานตำนานผู้คนในอดีต
“Spring-Heeled Jack” หรือ “แจ็ค ข้อเท้าสปริง” คือคน ผี หรือปีศาจ ที่มีรูปร่างคล้ายชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูง แต่งกายด้วยชุดผ้าหลุมคล้ายปีก ซึ่งออกก่อคดีสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คน ด้วยถุงมือกรงเล็บที่ทำจากเหล็กและความสามารถในการกระโดดสูงผิดมนุษย์ (ซึ่งทางบางแหล่งข้อมูลบอกว่ากระโดดขึ้นไปบนหลังคาบ้านได้เลย)
เรื่องราวสยองขวัญนี้ เริ่มต้นขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงปี ค.ศ. 1837 เมื่อมีหญิงสาวออกมารายงานว่าเธอถูกชายลึกลับกระโดดข้ามศีรษะไปทั้งๆ ที่ยืน ก่อนจะถูกจับและกรีดร่างด้วยกรงเล็บมีด ด้วยความหวาดกลัวต่อสิ่งที่เกิดขึ้นหญิงสาวจึงกรีดร้องขอความช่วยเหลือจากคนที่ผ่านไปมา แต่ทันทีที่มีคนมาช่วย คนร้ายก็หายไปอย่างลึกลับแล้ว
หลังจากที่คดีความชิ้นนี้เกิดขึ้น ทางตำรวจก็ได้พบว่ามีหญิงถูกโจมตีในลักษณะคล้ายกัน ปรากฏตัวออกมาเป็นจำนวนมากทั่วพื้นที่ชานเมืองลอนดอน และมีการรายงานเพิ่มเติมว่าทั้งที่ว่าชายคนดังกล่าวมีดวงตาสีแดงที่ส่องสว่างในที่มืด หรือแม้แต่เขาพ่นไฟได้
แจ็ค ข้อเท้าสปริงกลายเป็นเรื่องโด่งดังที่มีการพูดถึงทั่วลอนดอนในช่วงหลายปีหลังจากนั้น โดยเขาถูกมักถูกพ่อแม่นำไปใช้หลอกให้ลูกๆ กลัว ในขณะที่ในทุกๆ ปี จำนวนเหยื่อที่ออกมาอ้างว่าถูกโจมตีโดยแจ็ค ข้อเท้าสปริงก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
หนึ่งในคดีความที่น่าสนใจที่สุดเกิดขึ้นในปี 1838 เมื่อมีหญิงสาวชื่อ Jane Alsop เข้าแจ้งความว่ามีชายมาเคาะประตูบ้านเธอกลางดึก โดยอ้างว่าเป็นตำรวจมาสอบถามเรื่องการพบเห็นแจ็ค ข้อเท้าสปริง แต่เมื่อเธอเปิดประตูออกไปจริงๆ Jane Alsop กลับถูกชายคนดังกล่าวกลับพ่นไฟสีขาวและสีน้ำเงินใส่ ก่อนที่จะกรีดเสื้อของเธอด้วยกรงเล็บใบมีด และหนีไปในตอนที่น้องสาวของเธอพยายามเข้ามาช่วย
หลังจากคดีความที่เกิดขึ้นทางตำรวจลอนดอนได้ทำการจับตัวผู้ต้องสงสัยที่โจมตี Jane Alsop ได้หนึ่งคน แต่ชายคนดังกล่าวก็สามารถหลุดจากความผิดไปได้ เนื่องจากหญิงสาวผู้เป็นเหยื่อยืนยันอย่างมั่นใจว่าคนร้ายที่โจมตีเธอ สามารถพ่นไฟได้
ไม่นานหลังจากคดีความของ Jane Alsop ชื่อเสียงของ แจ็ค ข้อเท้าสปริงก็โด่งดังขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่ จนเหยื่อที่เคยมีอยู่แต่ในลอนดอน เริ่มเพิ่มจำนวนขึ้น จนแม้แต่ที่สกอตแลนด์ก็มีคนออกมาอ้างว่าถูกโจมตีโดย แจ็ค ข้อเท้าสปริงเลย
ในช่วงเวลานี้เองมีคนมากมายที่ถูกกล่าวหาหรือสงสัยว่าเป็น แจ็ค ข้อเท้าสปริง โดยในบรรดาคนเหล่านั้น “เฮนรี่ เดอ ลา บัว เบเรสฟอร์ด” มาร์ควิสแห่งวอเตอร์ฟอร์ด คือคนที่ถูกผู้คนสงสัยกันมากที่สุด
เพราะในตอนที่แจ็ค ข้อเท้าสปริงปรากฏตัวขึ้น เฮนรี่ กำลังอายุได้ 26 ปี กำลังมีชื่อเสีย(ง) ในฐานะคนที่ชอบแกล้งคนแบบแรงๆ และมีความโดดเด่นในด้านกีฬาสูง
อย่างไรก็ตามเฮนรี่ เสียชีวิตไปในปี 1859 ในขณะที่แจ็ค ข้อเท้าสปริงออกอาละวาดถึงปี 1904 ดังนั้นหลายๆ คนจึงเชื่อว่า เฮนรี่ไม่น่าจะใช่แจ็ค (อย่างน้อยๆ ก็แจ็คในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19)
ที่มา allthatsinteresting, atlasobscura, sombriamente และ historycollection
ขอขอบคุณภาพจาก https://talk.mthai.com/inbox/432561.html
Cr.https://www.catdumb.tv/spring-heeled-jack-378/ By เหมียวศรัทธา
“สกินวอล์กเกอร์” เรื่องเล่าขานของอินเดียนแดง
เรื่องราวที่ถูกเล่าขานกันในชาวอินเดียนแดง เช่นเผ่านาวาโฮ และเกี่ยวข้องกับมนุษย์ที่กลายร่างเป็นสัตว์ร้ายจากเวทมนตร์หรือคำสาป ด้วยการนำหนังสัตว์มาสวม และออกอาละวาดทำร้ายทั้งคนและสัตว์ไม่เลือกหน้า จนกลายเป็นที่หวาดกลัวของผู้คนในอดีต
ปีศาจตัวนี้มีที่มาและต้นกำเนิดแตกต่างกันไปตามเรื่องเล่าของชาวอินเดียนแดงเผ่าต่างๆ ตั้งแต่คนที่ใช้เวทมนตร์ในทางที่ผิด พิธีกรรมเปลี่ยนคนเป็นสัตว์ หรือแม้แต่คนที่ถูกหลอกให้กินยาที่มีคำสาปร้าย แต่ไม่ว่าจะเป็นทางไหน สุดท้ายผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะเป็นปีศาจผู้มีพลังของสัตว์อยู่ดี
สกินวอร์กเกอร์โดยมากแล้วจะมีลักษณะเป็นมนุษย์ครึ่งคนครึ่งสัตว์ หรือคนที่กลายเป็นสัตว์ป่าขนาดใหญ่โดยตรง ซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้งหมาป่า หรือแม้แต่หมี พวกมันถูกระบุไว้ว่ามีความว่องไวเหนือมนุษย์ ซ่อนตัวเก่ง และฉลาดพอจะล่อเหยื่อไปสังหารได้ด้วยกำลังกายเหนือมนุษย์
สกินวอร์กเกอร์นั้นแม้ว่าจะเป็นเรื่องเล่าของชาวอินเดียนแดงมาเป็นเวลานาน แต่พวกมันกลับเพิ่งจะเข้ามาเป็นหนึ่งในเรื่องสยองขวัญของสหรัฐอเมริกา ในช่วงปี 1996 ผ่านทางรายการโทรทัศน์เท่านั้น
โดยในเวลานั้นสื่อของต่างประเทศได้มีการนำเสนอเรื่องราวของครอบครัวในรัฐยูทาห์ครอบครัวหนึ่ง ซึ่งต้องพบเรื่องเหนือธรรมชาติอยู่บ่อยครั้ง
หนึ่งในเรื่องราวที่คนในครอบครัวนี้พบนั้น ถูกระบุไว้ว่าเป็นสุนัขหมาป่าขนาดยักษ์ ที่ตัวใหญ่กว่าหมาป่าธรรมดาถึง 3 เท่า แถมยังมีดวงตาสีแดงและไม่ยอมตายแม้ถูกยิงในระยะใกล้ถึง 3 ครั้ง
นับตั้งแต่รายการในวันนั้นก็มีคนมากมายที่ออกมารายงานว่าตนเองก็พบสกินวอล์กเกอร์ในรูปแบบต่างๆ เช่นกัน จนทำให้เรื่องราวที่เดิมทีแล้วอาจจะถูกบอกปัดได้ว่าเป็นแค่เรื่องเล่า กลายเป็นสิ่งที่มีคนตามหากันอย่างจริงจังไป
ฟาร์มสกินวอร์กเกอร์ (Skinwalker Ranch) สถานที่เกิดเหตุพบเรื่องเหนือธรรมชาติอยู่บ่อยครั้ง
และก็เป็นความโด่งดังในจุดนี้เอง ที่ทำให้ผู้หลงใหลในสิ่งเหนือธรรมชาติจำนวนมาก ตัดสินใจที่จะออกตามหาสกินวอล์กเกอร์อย่างจริงจังในช่วงปี 1996-1997 โดยเฉพาะในพื้นที่ฟาร์มสกินวอร์กเกอร์ซึ่งมีคนถึงกับลงทุนซื้อที่ดินรอบๆ ไว้เพื่อตามหาสัตว์ร้ายตัวนี้โดยเฉพาะเลย
แต่แม้ว่าเราจะมีรายงานการพบเห็นสกินวอล์กเกอร์มากมายแค่ไหนก็ตาม สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครเลยที่จะสามารถหาหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันของสัตว์ร้ายตัวนี้มาแสดงให้โลกเห็นได้ ทำให้เรื่องราวของสกินวอล์กเกอร์ที่น่าหวาดกลัวเอง ก็จะยังคงเป็นหนึ่งในเรื่องราวสุดลึกลับในใจของหลายๆ คนไปอีกนานแสนนาน
ที่มา allthatsinteresting, history
Cr.https://www.catdumb.tv/skinwalker-378/ By เหมียวศรัทธา
"ไวกิ้งเบอร์เซิร์กเกอร์" เหล่าผู้ติดตามแห่งโอดิน
คำว่า “เบอร์เซิร์ก” กันมาบ้าง คำคำนี้มักจะใช้กับคนที่บ้าคลั่งจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ เพราะนักรบที่เป็นต้นกำเนิดของคำว่าเบอร์เซิร์กเองก็เป็นยอดนักรบที่ได้ชื่อว่าต่อสู้ได้อย่างน่ากลัวราวกับสัตว์ป่าบ้าคลั่งจริงๆ
พวกเขาคือ “ไวกิ้งเบอร์เซิร์กเกอร์” เหล่านักรบผู้วิ่งเข้าสู่สงครามด้วย ความบ้าคลั่งที่ควบคุมไม่ได้ ซึ่งถูกเล่าสืบทอดกันมาว่ามีความสามารถราวปีศาจ คำรามเหมือนสัตว์ร้าย และโจมตีใครก็ตามที่ขว้างทางด้วยพลังกายเหนือมนุษย์
ไวกิ้งเบอร์เซิร์กเกอร์ มักจะถูกบรรยายในตำนานของกลุ่มชนเจอร์แมนิกและนอร์สยุคกลาง ว่าเป็นกลุ่มนักรบที่เคารพโอดิน ซึ่งทำหน้าที่คล้ายองครักษ์ และหน่วยรบเคลื่อนที่เร็ว (Shock Troops) ให้กับชนชั้นสูง หรือกษัตริย์เป็นหลัก
ภาพสลักของเบอร์เซิร์กเกอร์ที่ติดตามโอดิน
คำว่าเบอร์เซิร์กในชื่อของพวกเขานั้นเชื่อกันว่ามาจากคำว่า “Bjorn” (หมี) และ “Serkr” (เสื้อคลุม) จากการที่นักรบเหล่านี้มักออกรบพร้อมเครื่องแต่งกายหรือชุดเกราะ ที่ประดับด้วยหนังหมีหรือหนังหมาป่าเพื่อข่มขวัญศัตรู ตำนานที่เก่าแก่ที่สุดของเหล่าไวกิ้งเบอร์เซิร์กเกอร์ สามารถพบได้ตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 9 ในบทกวีที่ชื่อ Hrafnsmál ซึ่งก็เป็นตั้งแต่ในบทกลอนชิ้นนี้แล้ว ที่นักรบเหล่านี้ถูกบรรยายว่าเป็นนักรบ “ผู้ลิ้มลองโลหิต” (Tasters of Blood) ที่ร่างอาบไปด้วยโลหิตของศัตรู
ด้วยความที่ตำนานของไวกิ้งเกิดขึ้นในยุคที่ความเชื่อเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติยังคงแพร่หลาย ตำนานของพวกเขาจึงมักเกี่ยวข้องกับพลังเหนือมนุษย์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการบรรยายว่าไฟทำอะไรคนเหล่านี้ไม่ได้ ดาบฟันแทงไม่เข้า ไปจนถึงพวกเขาสามารถอาละวาดไปทั่วสนามรบได้แม้บาดเจ็บหนักก็ตาม ลักษณะความบ้าคลั่งไม่สนโลกนี้เองทำให้นักวิจัยบางกลุ่มเชื่อว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังพลังของไวกิ้งเบอร์เซิร์กเกอร์อาจจะมาจากยาเสพติด แอลกอฮอล์ หรือแม้กระทั่งโรคทางจิตก็เป็นได้
โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับสารเสพติดนั้นมีนักพฤกษศาสตร์หลายคนออกมาอ้างว่าไวกิ้งเบอร์เซิร์กเกอร์อาจมีการใช้เห็ด หรือไม่ก็ดอก Bog myrtle ที่มีฤทธิ์หลอนประสาทอยู่เสมอๆ แม้ว่าโดยมากแล้วพวกเขาจะมีหลักฐานมายืนยันทฤษฎีไม่มากพอก็ตาม
ท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวของนักรบเหล่านี้ก็ยังมีเรื่องราวที่ยังไขไม่ได้อยู่อีกมากมายอยู่ดี ถึงอย่างนั้นก็ตามนี่อาจจะเป็นเรื่องที่ดีแล้วก็เป็นได้ เพราะด้วยตำนานพลังเหนือธรรมชาติของพวกเขานั้น ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจของผลงานที่เรารักหลายชิ้น และคงจะเป็นเช่นนี้ไปอีกนานแสนนานเลย
ที่มา https://www.ancient-origins.net/myths-legends/viking-berserkers-fierce-warriors-or-drug-fuelled-madmen-001472
Cr. https://www.clipmass.com/story/131456 / โพสต์โดย : THEBOxrun
สกาฮะ ยอดนักรบหญิงครูของฮีโร่ เทพผู้ทดสอบมนุษย์ และเมอร์ลินแห่งตำนานไอริช
สกาฮะ (Scathach Scáthach หรือ Sgathach) เป็นหนึ่งในตัวละครของ Ulster Cycle ตำนานโบราณของชาวไอริช เธอได้รับการบรรยายไว้ว่าเป็นสุดยอดนักรบหญิง และอาจารย์ของยอดนักรบ
ชื่อของสกาฮะแปลว่า “เงา” ในภาษาเกลิคภาษาเซลท์สาขาหนึ่ง และเชื่อกันว่าอาศัยอยู่ที่เกาะ Skye และเปิดสอนวิชาต่อสู้อยู่ที่นั่น เดิมทีแล้วเรื่องราวของสกาฮะ ไม่ได้มีการบันทึกและมักมาจากการเล่าปากต่อปากเท่านั้นจนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 14 จึงเริ่มมีการบันทึกเรื่องราวของเธอเป็นลายลักษณ์อักษร
ภาพซากของปราสาท Dunscaith บนเกาะ Skye ที่ที่เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ฝึกสอนของสกาฮะ
ว่ากันว่ามีคนมากมายที่ตามหาสกาฮะเพื่อให้เธอสอนวิชาต่อสู้ให้ แต่น้อยคนนักที่จะได้พบตัวเธอจริงๆ และจำนวนคนที่สำเร็จวิชาของเธอก็เรียกว่าน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ถึงขั้นที่มีความคิดที่ว่าการไปฝึกกับเธอนั้นไม่ต่างอะไรกับการเดินไปหาความตาย
อย่างไรก็ตามชื่อเสียงหลักๆ ของเธอมาจากการฝึกยอดนักรบในเรื่องราวอื่นๆ ของ Ulster Cycle โดยคนที่เป็นที่รู้จักที่สุดที่เป็นลูกศิษย์ของเธอก็ได้แก่ คู ฮูลินน์ (Cú Chulainn) บุตรของเทพแห่งแสงสว่าง ผู้ซึ่งถูกส่งมาตามหาเธอตั้งแต่วัยเยาว์โดยพ่อของหญิงสาวที่เขารัก (ที่ไม่อยากยกลูกสาวให้เขาก็เลยส่งเด็กหนุ่มไปตาย)
ผู้ที่ผ่านการฝึกของเธอได้มักจะได้รับพลังอันยิ่งใหญ่ตอบแทน อย่างในกรณีของคู ฮูลินน์เอง เขาก็ได้รับหอก Gáe Bulg ที่ถูกบรรยายไว้ว่า “หอกเจ็ดปลายที่แต่ละปลายมีหนามเจ็ดอัน เมื่อแทงเข้าไปในร่างศัตรูจะทำให้หนามพุ่งแทงออกมาจากภายใน”
จริงๆ สกาฮะมีฐานะคล้ายกับเมอร์ลินในตำนานของกษัตริย์อาร์เธอร์กับอัศวินโต๊ะกลม ในฐานะที่ทั้งคู่เป็นผู้ที่มอบบททดสอบให้แก่ตัวเอก และมอบอาวุธพิเศษให้ตัวเอกเมื่อที่พวกเขาก้าวผ่านบททดสอบได้
ในตำนานบางตำราของไอริส ยังมีการระบุไว้ว่าสกาฮะนั้นเป็นเทพผู้ที่คอยทดสอบมนุษย์ ว่ากันว่าคนที่สามารถชนะเธอในการประลองได้จะได้เข้าไปสู่ดินแดนแห่งความเยาว์ชั่วนิรันดร์
ที่มา ireland-information, bardmythologies, britannica, undiscoveredscotland และ allthatsinteresting
Cr. https://www.catdumb.com/scathach-378/ By เหมียวศรัทธา
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)