โดนเบี้ยวค่าสอนพิเศษ 150,000 บาท ควรทำอย่างไรดีคะ?

ขอเกริ่นเรื่องราวสักเล็กน้อย(จริง ๆ ก็ไม่น้อยหรอกค่ะ ยาวเลยแหละ55555555) 
หากใครขี้เกียจอ่านมีสรุปอยู่ที่ comment ที่ 2  เลื่อนไปอ่านได้เลยนะคะ
 
สวัสดีค่ะ เราเป็นอดีตนักกีฬาชนิดหนึ่ง ปัจจุบันทำงานประจำ และรับสอนพิเศษกีฬาไปด้วยค่ะ สอนทั้งเด็กเพิ่งเริ่มและนักกีฬา
เมื่อสี่-ห้าปีก่อน ตอนยังเรียนไม่จบมหาลัย เราได้มีโอกาสสอนเด็ก ๆ สองคน เป็นพี่น้องกัน น้องยังไม่มีทักษะทางด้านกีฬานี้เลย ผู้ปกครองติดต่อมาเพราะอยากให้เล่นกีฬาชนิดนี้เป็นและได้ออกกำลังกายไปด้วย เราก็สอนตั้งแต่พื้นฐานค่ะ คิดค่าเรียนเป็นรายชั่วโมงตามเรทปกติทั่วไป สอนไปสอนมาเราเริ่มเห็นแววน้อง ๆ ทักษะของน้องพัฒนาค่อนข้างดี จึงลองส่งไปแข่งการแข่งขันเล็ก ๆ เพื่อลองดูเล่น ๆ ปรากฏว่าน้องได้รางวัล
ทางครอบครัวน้อง ๆ จึงสนับสนุนให้เรียนกับเราต่อ แต่พัฒนาจากการเรียนแบบพื้นฐานเป็นการเรียนแบบนักกีฬา มีการวางโปรแกรมซ้อม มีการเทรน เรียนแบบจริงจัง เราสอนน้อง ๆ เรื่อยมา จนได้เหรียญ ได้รางวัล ได้ถ้วยจากการแข่งขันต่าง ๆ มากมาย เราเริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะครูฝึกของน้อง เราสอนแบบนี้เรื่อยมาประมาณปีสองปี ด้วยความผูกพันกับเด็ก ๆ จึงบอกกับทางผู้ปกครองว่า เราคิดค่าเรียนแบบเหมาจ่ายเป็นตัวเลขกลม ๆ แล้วกัน ลดให้จากปกติถ้าคิดเป็นรายชั่วโมง เรียนหกวันต่อสัปดาห์ เนื่องจากเป็นนักกีฬา สองคนตกเดือนละห้าหมื่นกว่า ๆ เราคิดแค่สี่หมื่นพอ เขาก็จ่ายเงินเราตรงเวลามาตลอด ไม่มีปัญหาอะไร จนผ่านไปเกือบสามปี
 
เมื่อกุมภาฯ ปีที่แล้ว ผู้ปกครองได้ติดต่อมาว่า ช่วงนี้เขาทำธุรกิจ เงินค่อนข้างขาดมือ เดือนนี้ขอแปะไว้ก่อนนะ เราก็เข้าใจ เศรษฐกิจไม่ค่อยดี ก็เลยไม่ได้ว่าอะไร พอเดือนถัดมา เขาเริ่มโอนให้แบบอาทิตย์ สองอาทิตย์หมื่นนึงบ้าง เดือนละสามหมื่นบ้าง สองหมื่นบ้าง และบอกจะเคลียร์ยอดค้างเดือนถัดไป พอถึงเดือนที่นัดเคลียร์ยอดค้าง+ยอดเดือนปัจจุบัน ก็จะบอกว่าขอติดยอดค้างไว้ก่อน หมุนเงินไม่ทันจริง ๆ จนยอดค้างเป็นเงิน 80,000 บาท ถ้าเงินคล่องมือขึ้นเขาจ่ายแน่นอน
 
เราเล่าให้เพื่อน ให้แฟนฟัง มีแต่คนบอกให้เลิกสอนเถอะ สอนไปไม่ได้เงินหรอก เราก็มีคิดแบบนั้นนะคะ อยากเลิกสอน ไปรับสอนคนอื่นเหมือนกัน แต่ใจมันคิดถึงเด็กมากกว่า เราสอนมาตั้งแต่เล่นกีฬานี้ไม่เป็น จนมาถึงจุดที่พวกเขาได้แชมป์จากการแข่งขันรายการต่าง ๆ มันอยู่ด้วยกันจนรู้สึกว่าพวกเขามีค่ามากกว่าเงินที่ได้ อยากจะส่งพวกเขาให้ถึงฝั่ง คือได้เป็นทีมชาติ รู้สึกว่าเด็ก ๆ มีโอกาสไปถึงจุดนั้นได้ ศักยภาพน้อง ๆ มีเพียงพอ ก็เลยดื้อแพ่งไม่ยอมเลิกสอน เพราะหวังลึกๆ ว่าเขาจะทำตามที่รับปาก

เวลาไปคุมแข่ง เขาก็จะโอนมาให้รอบละหมื่น สองหมื่นบ้าง เป็นการผ่อนจ่ายค่าสอนเดือนต่อมา แต่ก็ไม่ได้เคลียร์หนี้เก่า ที่ติดอยู่ 80,000 ช่วงนั้นยิ่งเป็นช่วงแข่ง เราต้องซ้อมให้เด็กแบบจริงจัง ต้องคุมตลอด เพราะด้วยความที่เป็นเด็ก อาจจะงอแงบ้าง ไม่อยากซ้อมบ้าง จะไม่มาสอนก็ไม่ได้ เพราะเด็ก ๆ ไม่รู้เรื่องอะไร แถมอนาคตยังไปได้ดีด้วย เราเลยยังไม่พูดอะไร พยายามเข้าใจ ไม่พูดอะไรมาก แต่กับตัวเราเริ่มมีผลกระทบ เพราะเราก็มีภาระที่ต้องดูแลที่บ้าน ผ่อนรถ ผ่อนคอนโด จริงอยู่ที่เรามีรายได้จากงานประจำ แต่รวม ๆ แล้วรายจ่ายก็ค่อนข้างมากอยู่ดีค่ะ
เราพยายามคิดในแง่ดีว่าเขาคงเห็นใจเรา เข้าใจเราบ้าง เพราะเขาพูดอยู่ตลอดว่าค้างเราเท่านี้นะ พยายามหามาให้อยู่นะ พูดคุยกับเราตลอดว่าเราเป็นคนดีจัง ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่สอนลูกเขาแล้ว…..
 
ตุลาที่ผ่านมา เค้ามาสารภาพว่าเค้าไม่ได้ทำธุรกิจแล้วเงินฝืดหรอก เขาให้ญาติยืมเงินไปหมดตัวเลย ยี่สิบล้าน เป็นเงินเก็บที่เอาไว้จ่ายค่าเทอม ค่าเรียน ให้ลูกๆ แล้วคนที่ยืมไปเขาไม่ยอมจ่ายคืน ตอนนี้กำลังทวงอยู่ ขอค้างค่าเรียนเดือนนี้นะ เราก็แบบ หืมมมมมมม ให้คนอื่นยืมหมดตัวเนี่ยนะ มันได้หรอวะ ไม่คิดถึงอนาคตเลยรึไง เขาก็เล่าต่อว่าเคยให้ยืมมาแล้ว ทีละสี่ล้าน ห้าล้าน ก็ได้คืนมาตลอด ญาติเป็นนักธุรกิจนามสกุลดังเลยล่ะ ก็เลยไม่คิดว่าจะเบี้ยวแบบนี้ 
 
ทำให้ยอดกลายเป็น 120,000 บาท
 
พอมาเดือนพฤศจิกา มีซ้อมเตรียมแข่ง มีไปคุมแข่ง เค้าก็โอนค่าเรียนมาให้ 10,000 บาท พอจบเดือน ก็ขอผลัดที่เหลืออีก อธิบายเหตุผลร้อยแปด ว่าญาติไม่คืน ทะเลาะกันแล้วนะ จะแบ่งมรดกกันแล้ว กะว่าจะขายที่ดินที่มี เอามาจ่ายค่าเรียนเรากับค่าเทอมลูกๆ เป็นที่แถวสาย 1 ติดถนนใหญ่ สวยมาก ถามเราว่าพอจะหาคนซื้อได้มั้ย เราเลยถามรุ่นพี่ที่เป็นนักธุรกิจ รุ่นพี่ก็สนใจซื้อ จะนัดไปดูที่ เลยติดต่อผู้ปกครองไป คุยไปคุยมาไม่ขายแล้ว เก็บไว้ดีกว่า ไว้ค่อยไปไล่บี้จากญาติเอา เสียดายที่ดิน เราก็แบบ อิหยังวะ
 
 ยอดกลายเป็น 150,000 บาท…
 
ต้นธันวา เราเริ่มไม่ไหว พูดไปว่า ขอภายในวันที่ 5 ธันวานะ เรามีภาระต้องจ่ายช่วงปีใหม่เยอะ ค่าผ่อนรถยนต์ ผ่อนคอนโด ค่าต่อประกันรถยนต์ รถมอเตอไซค์ ค่าเช็คระยะรถ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มากมาย เขาก็รับปากว่าหาให้ได้แน่ เดี๋ยวจ่ายแน่นอน
แต่พอถึงวันที่ห้า เขาติดต่อมาบอกว่า ขอเลื่อนเป็นวันที่10ได้มั้ย เดี๋ยวเค้าไปหายืมเงินคนอื่นมา เราก็บอกขอยอดทั้งหมดวันที่10นะ เราเดือดร้อนแล้ว เขาก็รับปาก บอกวันที่10แน่นอน โอนแน่ ไม่เบี้ยว พอถึงวันที่10 เขาก็โอนมาค่ะ แต่โอนมา 20,000 เราก็โทรไปคุยบอกว่านัดไว้แสนห้านะคะ ทำไมยอดมาแค่สองหมื่น เค้าก็บอกว่าหาได้แค่นี้ เอาไปก่อน เดี๋ยววันที่25จ่ายที่เหลือ 130,000 แน่นอน นัดเคลียร์เงินกันกับญาติแล้ว ได้แน่ ๆ
เราเริ่มบ่นกับเขาว่า พี่ต้องเห็นใจหนูนะคะ ภาระหนูมีนะ ไม่งั้นไม่ออกปากหรอก (เราเงียบมานานมาก จนยอดสะสมแตะหลักแสน เราถึงทวง) เค้าก็บอกจ่ายแน่นอน เข้าเข้าใจเรา

วันที่ 25 ธันวา เราสอนน้อง ๆ ตามปกติ พอสอนเสร็จ เขาทักมาบอกว่าวันนี้หาไม่ได้จริง ๆ ญาติเขาไม่ยอมคืน ขอโอนให้ปีใหม่นะ เราเริ่มโมโหค่ะ เลยบอกว่า 
“หนูมีรายจ่ายนะคะ หนูเลื่อนให้พี่มาหลายรอบแล้ว เกรงใจพี่ด้วยนะ พี่เป็นผู้ใหญ่เลยไม่อยากทวงมาก ประกันรถหมดแล้ว ต้องต่อแล้วค่ะ ทั้งของรถมอเตอร์ไซค์ ทั้งรถยนต์ ไหนจะแพลนไปเที่ยวกับแฟนไว้แล้ว พี่จ่ายมาก่อนห้าหมื่นก็ได้ค่ะ ขอก่อนปีใหม่ได้มั้ยคะ?”
เขาก็บอกว่าเข้าใจภาระทางการเงินของเรา จะพยายามหามาให้ก่อนปีใหม่แน่นอน วันที่ 30 ธันวาแล้วกัน น่าจะหาได้แน่ห้าหมื่น
เราเริ่มเห็นลางไม่ดีเลยค่ะ ของเก่าแสนสอง บวกค่าเรียนเดือนธันวาที่ต้องจ่าย คือเงินเราจมอยู่กับเขา 190,000 บาท เราก็คิดนะ ดอกเบี้ยก็ไม่ได้ ต้องมาอารมณ์เสียเวลาโดนผลัด เวลาทวง ปกติเราจะนำเงินเหลือจากใช้จ่ายรายเดือนไปซื้อกองทุน ซื้อของสะสมเพื่อเก็งกำไร (เราไม่ชอบเก็บเงินไว้ในธนาคารค่ะ รู้สึกดอกเบี้ยให้ไม่ทันใจ แถมน้อยด้วย) ก็ไม่ได้ซื้อไม่ได้เก็บแล้วตั้งแต่ที่เขาเริ่มติดเงินเรา
เรามีแพลนไปเที่ยวต่างประเทศกับแฟนช่วงปีใหม่ เลยต้องขายของสะสมไปส่วนหนึ่งเพื่อสำรองจ่ายเวลาไปเที่ยว และทวงกับเขาเป็นระยะ
 
มาถึงวันที่ 30 ธันวา เรามาเที่ยวกับแฟนที่ต่างประเทศ ผ่านไปจะหมดวันแล้ว ไม่เห็นว่าเขาจะโอนมาเลย เราเลยตัดสินใจโทรไลน์หาเขา เขาไม่รับสายค่ะ โทรหาสลับกับรอประมาณสี่สาย ในที่สุดเขาก็โทรกลับมา บอกว่า พี่หาให้ไม่ได้นะ 50,000 ขอเป็นวันที่ 2 ได้ไหม เราปรี๊ดเลยค่ะ แต่ไม่ได้โวยวายไปนะคะ ก็พูดกับเขาดี ๆ ว่า “พี่คะ เห็นใจหนูหน่อย หนูมาเที่ยวนะคะ ก็อยากพักผ่อน ช้อปปิ้งบ้าง มาต่างประเทศก็ต้องใช้เงินเยอะกว่าอยู่ไทยอยู่แล้ว พี่พอจะให้หนูสักส่วนนึงไม่ได้หรอคะ หมื่นนึง หมื่นสองหมื่นก็ยังดี”
เค้าก็บอกว่า ถ้าสองหมื่นให้ได้ รอแปปนะเดี๋ยวโอนให้ ที่เหลือจะพยายามเคลียร์ยอดค้าง+ยอดเดือนธันวาให้วันที่ 6 มกรา เราก็โอเค แล้วก็วางสายไป รอประมาณสิบนาทีเค้าก็โอนมาให้ค่ะ 20,000 บาท เราก็พอจะอารมณ์ ดีขึ้นบ้าง ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
 
ตอนนี้ยอดเหลือ 130,000 บาท (ยังไม่นับรวมของเดือนธันวา 40,000)

พอกลับมาจากต่างประเทศวันที่ 3 มกรา เราก็กลับไปสอนเด็ก ๆ ต่อปกติ เตรียมแข่งรายการใหญ่กลางเดือนกุมภาค่ะ และคิดว่าวันที่ 6 เค้าคงมาเคลียร์ยอดของเดือนธันวา 130,000 + 40,000 = 170,000 บาท ให้เรียบร้อย เพราะเขามาเจอเราที่ซ้อมกีฬา และพูดกับเราว่าเขาเตรียมทนายมาฟ้องญาติเขาแล้ว เพราะเขาโมโหตอนปีใหม่ เจอญาติแล้วไปทวงเงินจะเอามาจ่ายค่าเทอม ค่าเรียนลูก แล้วโดนญาติบอกว่า เขาไม่มีให้ ก็ให้ลูกย้าย รร สิ เรียนทำไมแพง ๆ (เด็ก ๆ เรียนนานาชาติค่ะ ค่าเทอมปีละเป็นล้าน) จ้างทนายคุยกันตกลงกันแล้ววันที่ 5 มกรา น่าจะได้คืนส่วนนึงแหละ แล้วจะโอนให้เราวันที่ 6 
วันที่ 6 มกรา เค้าก็มาฟอร์มเดิมค่ะ ทุกคนน่าจะเดาได้ ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ไม่หายไปไหน ยังจะเรียนต่อ แต่ไม่จ่ายค่าเรียน เราก็จุก ไม่รู้จะพูดยังไง ความเป็นผู้ใหญ่ไม่มีเลยเหรอ พูดเหมือนเล่นขายของ ผลัดไปเรื่อย เขาขอให้เราเห็นใจ เขาก็เครียด หาทางออกไม่ได้ มืดไปหมด จากที่เขาเคยเล่าเคยพูดเกี่ยวกับบ้านเขาให้เราฟัง เค้าโม้ไว้เยอะนะคะว่ามีที่ดินเยอะ ที่สวย ๆ แต่พอตอนมีปัญหาแบบนี้กลับไม่เอามาขาย เราก็ได้แต่คิดค่ะ ทรัพย์สินของเขาเขาจะทำอย่างไรก็ช่าง แต่เงินค่าเรียนเราเนี่ย เมื่อไหร่จะจ่ายยยยย?
 
เราเลยยื่นคำขาดค่ะ ขอส่วนนึงภายในเดือนนี้ เราไม่ไหวแล้ว ประกันรถยนต์ยังไม่ได้ไปต่อเลย พรบ ต่าง ๆ รายจ่ายช่วงขึ้นปีใหม่มันเยอะ ขอสักแสนนึงก่อน ถือว่าช่วยเต็มที่แล้ว เขาก็รับปาก สิ้นเดือนโอนให้แน่นอน
ระหว่างนั้นเราก็สอนลูกเขาเข้มข้นขึ้น เพราะเตรียมแข่ง พอถึงสิ้นเดือน เค้าโอนมาให้สองหมื่น บอกมีแค่นี้
เราก็ยิ่งกว่าจุก เหมือนโดนกระโดดถีบเลยค่ะ เสียใจก็เสียใจ โกรธก็โกรธ เราก็เลยถามเลยว่า ตกลงจะให้เมื่อไหร่  แบบนี้ไม่ไหวแล้ว จะจ่ายเรารึเปล่า หรือผลัดไปเรื่อย ๆ เค้าก็บอกว่าขอเวลาอีกอาทิตย์นึง กำลังหามาเพิ่มอยู่ ยอดเหลือ 150,000 บาท 

เข้าเดือนกุมภา อีกอาทิตย์นึงเค้าก็โอนมาให้อีก 40,000 บาท ซึ่งมันเท่ากับจ่ายค่าเรียนเดือนมกราค่ะ หนี้ค้างยังเท่าเดิม 150,000 เราเลยบอกว่าทั้งหมดขอภายในกลางเดือน วันแข่งแมทใหญ่พอดี เจอหน้าคุยต่อหน้าได้แน่นอน น่าจะไม่เบี้ยวแล้ว เค้าก็รับปากว่าจะหามาให้
มากลางเดือนกุมภา แข่งทั้งหมดสามวันค่ะ เราก็ไปคุมแข่งที่สนามแข่ง วันสุดท้ายคุมแข่งเสร็จ เขาาก็ให้เรามาสองหมื่น บอกหาได้แค่นี้จริง ๆ อีกอาทิตย์นึงเดี๋ยวหามาให้เพิ่ม เราหน้าตึงเลยค่ะ ไม่พูดอะไร ขับรถกลับบ้านเลย
เขาก็ทักมาค่ะ มาถามไถ่กลับบ้านรึยัง ลูก ๆ เขาใกล้จะแข่งชิงแชมป์ประเทศแล้วนะ จะให้เรามาสอนช่วงเช้าด้วย จากปกติสอนแค่ช่วงเย็น เราก็คิดในใจว่า เงินไม่จ่าย ค้างเป็นแสน ให้ทำงานเพิ่มด้วย เอาจริงดิ ทำไมกล้าถึงขนาดนี้? แต่ด้วยความสงสารเด็กค่ะ ทำใจทิ้งกลางทางไม่ลง โปรแกรมมันก็ต้องสอนเช้าแล้วด้วยช่วงนี้ ต้องเพิ่มโปรแกรมฝึก ต้องดูแลเรื่องโภชนาการ ถ้าไม่ทำก็ไม่น่าสู้คู่แข่งได้ เลยตัดสินใจรับปาก เริ่มสอน เช้า-เย็น
 
สุขภาพเราเริ่มแย่ลงค่ะ เนื่องจากเครียด พักผ่อนน้อย ปกติทำงานประจำตั้งแต่แปดโมงเช้า เลิกห้าโมงเย็น ต้องขับรถไปสอนเด็ก ๆ บ้านนี้ต่ออีกถึงสองสามทุ่ม ช่วงนี้ต้องสอนเช้าด้วย เริ่มตั้งแต่หกโมงครึ่ง เย็นก็ต้องสอน เด็ก ๆ ก็ดื้อบ้างอะไรบ้าง เราเข้า รพ หาหมอเป็นว่าเล่น เดี๋ยวไม่สบายเป็นไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคกระเพาะ เดี๋ยวเป็นนู้นเดี๋ยวเป็นนี่ ล่าสุดเป็นความดันสูงค่ะ 160/88 ทั้ง ๆ ที่อายุเราไม่ได้เยอะเลย ยังไม่สามสิบด้วยซ้ำ หมอบอกว่าให้ปรับพฤติกรรมใหม่ทั้งหมด เลิกเครียด ปรับอาหารการกิน ออกกำลังกายบ้าง เราก็บอกหมอว่าทำงานทั้งวันแบบนี้เอาเวลาไหนไปออกกำลังกายคะ เป็นอดีตนักกีฬาก็จริงแต่ระบบชีวิตประจำวันตอนนี้พังมาก เคยผอมหุ่นดี ตอนนี้อ้วนเผละ น้ำหนักขึ้นมาเกือบยี่สิบกิโล เหนื่อยง่าย โรครุมเร้า พอต้นเดือนมีนา(เดือนปัจจุบันที่เขียนกระทู้นี้) เราเลยตัดสินใจบอกเขาค่ะ พูดเปิดอกเลย ว่าเราก็ไม่ไหวแล้ว ภาระมี ช่วงนี้ก็ต้องหาหมอด้วย เราทนมาเป็นปีแล้ว เราช่วยเท่าที่ช่วยได้แล้วจริง ๆ ไม่ใช่ไม่เห็นใจ สงสารเด็ก ๆ ทำเพื่อเด็ก ๆ ที่สุดแล้ว ถึงคราวเขาต้องช่วยเราบ้างแล้วแหละ เค้าก็บอกว่าเดี๋ยวจ่ายให้วันที่ 10 มีนาค่ะ ยอดทั้งหมด 190,000 บาท (ยอดค้าง+ยอดค่าเรียนเดือนกุมภา)

ต่อใน comment นะคะ

*แก้ไข แจ้งข้อความสรุปที่คอมเม้นที่สองค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
10 มีนา เค้าจ่ายเรามา 40,000บาท บอกมีแค่นี้ มันวนลูปเดิม ๆ จนเรารำคาญแล้วค่ะ หมดความอดทน เราเลยเรียกทั้งพ่อและแม่เด็กมาคุย (ปกติเราจะคุยเรื่องเงินกับแม่เด็กคนเดียวค่ะ) บอกว่า
“ทำไมผลัดมาตลอด รับปากแล้วไม่เป็นคำพูด มันไม่ใช่เล่นขายของนะคะ เอางี้ไหม ถ้าพี่มีปัญหาทางการเงินจริง ๆ ให้หนูสอนแบบทีมไหมคะ? น้องก็ยังเรียนกับหนูปกติ แต่มีเด็ก ๆ คนอื่นมาช่วยหารค่าสอนรายชั่วโมง”
คือก็มีคนติดต่อเรามาเยอะค่ะ ว่าทำทีมไหม ทำไมไม่เปิดสอนแบบทีม รุ่นพี่ก็มาชวนไปสังกัดทีมเขา แต่ที่เราไม่ได้ไปก็เพราะสอนน้อง ๆ ครอบครัวนี้อยู่ เขาแข่งในนาม ทีม รร ของเขาค่ะ (เพื่อที่จะได้ลดค่าเทอม เพราะทำชื่อเสียงให้ รร และเขาสบายใจมากกว่าที่จะให้เราสอนแบบตัวต่อตัว) ถ้าเราไปสังกัดทีม น้อง ๆ ตามไปด้วยไม้ได้ นอกจากเราจะเปิดทีมขึ้นมาเองแบบที่ยื่นข้อเสนอไป
เขาก็มองหน้ากัน แล้วแม่เด็กก็บอกว่า “เอาเหมือนเดิมแหละ พี่จะหามาให้ วันที่ 14 มีนา ขอโทษจริง ๆ และซึ้งใจกับสิ่งเราเราทำให้”

นัดเคลียร์ยอดทั้งหมดวันที่ 12 มีนา คงค้าง 150,000 บาท (ยังไม่นับค่าเรียนเดือนมีนา(เดือนปัจจุบัน)ที่ต้องจ่ายเราเมื่อสิ้นเดือนนะคะ)

พอ 12 มีนา เรารอเขาโอนมาทั้งวัน เย็น ๆ เราเลยโทรไป โทรติดสองสายแต่ไม่มีคนรับ พอสายที่สามเขาปิดเครื่องใส่ค่ะ…. คือเขาก็เบี้ยวเหมือนเดิมค่ะ คราวนี้ไม่โอนมาให้ซักบาท
ตอนตีสองกว่าๆ เค้าไลน์มา บอกว่าแบทหมด กลับไปหาแม่ที่ ตจว.แล้วก็ส่งรูปที่เขาไปเที่ยวกันมาให้ดูอีก และบอกเราว่าของเราคงยังให้ไม่ได้ ต้องเอาเงินไปจ่ายค่าเทอม ที่ รร ลูกก่อน ของเราเดี๋ยวหามาให้
เราเลยบอกเขาว่างั้นวันศุกร์ กับวันเสาร์ ซ้อมกันไปเองนะ เราต้องไปหาเงินมาจ่ายค่าประกันรถยนต์ ยังไม่ได้จ่ายเลย รายได้ขาดไปหลายเดือน ขับไปแบบไม่มีประกัน เกิดอุบัติเหตุทีก็ต้องจ่ายเอง เขาก็แบบเอ้าหรอ โอเคๆ

คือเราเหนื่อยค่ะ โดนผลัดแบบนี้เป็นสิบ ๆ รอบ เลยลองไม่ไปสอนบ้าง เผื่อเขาจะคิดได้ และกระตือรือร้นหาทางเอาเงินมาจ่ายเราบ้าง
เขาก็ทักมาถามโปรแกรมซ้อมตลอด ถามว่าซ้อมแบบไหนยังไงบ้าง หนักเบาเท่าไร คอยถ่ายรูปมารายงานเรา บอกเราว่าเด็ก ๆ ซ้อมไปเท่านี้นะ ให้เพิ่มอะไรมั้ย แฟนเราเห็นแบบนี้ก็โมโหแทนค่ะ ว่าเหมือนเขาไม่ได้สำนึกเลย ขนาดพูดไปว่าเราเริ่มมีปัญหาทั้งสุขภาพและการเงินแล้วนะ แบบนี้คงคิดจะเบี้ยวแน่ ๆ
ซึ่งช่วงที่เราหายไปเขาก็ไม่พูดเรื่องเงินที่ค้างเลยค่ะ รอบนี้ไม่นัดแล้วว่าจะพยายามหามาจ่ายให้วันไหน มึน ๆ ไป ตอนเช้าส่งรูปเด็ก ๆ มาให้ดู แฟนเราเลยบอกให้โทรไปคุย แล้วเลิกสอนเถอะ เคลียร์หนี้ให้จบพอ เราก็คิดแบบนั้นแล้วค่ะ ตอนแรกสงสารเด็ก ๆ นะคะ แต่ตอนนี้สงสารตัวเองมากกว่า555555
วันที่ 14 ซึ่งคือวันเสาร์ที่ผ่านมา เราโทรไปคุย ถามว่าเคลียร์หนี้ให้เราได้เมื่อไหร่
เขาก็บอกว่า
“พี่พยายามอยู่นะ ไม่มีใครช่วยพี่เลย ไม่มีใครเห็นใจพี่เลย ญาติที่ให้ยืมไปก็เป็นญาติฝั่งสามีพี่ สามีพี่ก็ไม่พูดอะไรนิ่งเงียบ ไม่ช่วยทวง พี่พยายามอยู่คนเดียว หาเงินคนเดียว ค่าใช้จ่ายเดือนนึงของครอบครัวพี่เป็นล้าน ไม่มีใครเห็นใจไม่มีใครช่วยพี่เลย แต่ไม่ได้ว่าน้องนะ”
เราก็เฮ้ย นี่ไม่ได้ว่าจริงดิ เราเลยสวนไปว่า
“แล้วหนูไม่ได้ช่วยพี่เลยหรอคะ? ทำงานไม่ได้เงินค่าจ้างมาเป็นปี หนูขอถามหน่อยเถอะค่ะ ถ้าเป็นพี่ พี่จะทำยังไง ขอปรึกษาเลยแล้วกัน เพราะตอนนี้หนูก็ทำอะไรไม่ถูกแล้วค่ะ”
เขาก็อึ้ง แล้วเงียบไปสักพัก แล้วเขาก็ตอบมาว่า
“ก็… ต้องอดทน”
เราแบบ อึ้งมากกับคำพูดเขา อดทนบ้านพี่สิคะ ปกติเราจะแบบ ค่ะ ได้ค่ะ โอเคค่ะพี่ พูดเสียงสุภาพ นี่เป็นครั้งแรกที่เราขึ้นเสียงกับเขา แล้วก็ตอบไปว่า
“หนูอดทนมามากพอแล้วค่ะพี่ หนูขอแสนนึงจ่ายวันอังคารที่17นี้ ขอแค่แสนเดียวพอค่ะ อีกห้าหมื่นหนูยกให้น้อง” อารมณ์แบบกำขี้ดีกว่ากำตด ถือว่ายอดที่เหลือให้เด็กไป
เขาก็บอกเราว่าโอเค จะหามาให้แสนนึงภายในวันอังคาร

พอวางสายเราเลยส่งรูปใบตรวจของหมอไปให้เขา แล้วบอกว่าเราสุขภาพย่ำแย่ เครียดมานานแล้ว นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ขอเขา เขาก็ตอบเรามาว่าให้เราสงบสติอารมณ์ จะได้มีสติมีสมาธิ (เขาคงเพิ่งเคยเห็นเราขึ้นเสียง เลยคิดว่าเราสติหลุดค่ะ เลยบอกให้ตั้งสมาธิ) ให้เขาเครียดเองคนเดียวพอ เขาบอกว่าเราเหมือนเป็นน้องสาวเขา เขาต้องรับผิดชอบเราเหมือนคนในครอบครัว… เค้าจะหาเงินมาให้
คือจริง ๆ เราทำงานให้เขา เราก็ต้องได้ค่าจ้างปกติใช่ไหมคะ นี่เขาค้างค่าจ้างเรา พอเราทวง กลายเป็นเราเป็นภาระอะไรในครอบครัวเขาหรอ? งงที่เขาจะสื่อมาก ๆ

เราเป็นทั้งโค้ชคอยคุมแข่งตามแมทที่ไปแข่ง เป็นทั้งครูสอน เราต้องติดสอยห้อยตามไปคุมเวลาเด็ก ๆ ไปแข่ง เราถือว่าเราทำงานคุ้มค่าสอนมากนะคะ ทำด้วยใจจริง ๆ เราให้ใจเขา อยากให้เด็ก ๆ มีโอกาส มีอนาคตที่ดี พยายามช่วยเท่าที่จะช่วยได้ เราเสียใจจริง ๆ ค่ะ เหมือนสิ่งที่เราทำให้มันไม่มีความหมายเลย เราอาจจะไว้ใจเขาเกินไปมั้งคะ ผิดที่เราโง่เองด้วย คิดว่าจะเลิกสอนแล้วแหละ พอกันที เราให้เด็ก ๆ ได้เท่านี้จริง ๆ คงต้องกลับไปรับสอนเป็นทีมกับรุ่นพี่เหมือนเดิม งานสบายกว่า ไม่ต้องเครียด เงินได้น้อยกว่าที่สอนน้อง ๆ นิดหน่อย แต่ถือว่าซื้อความสบายใจ
ตอนสอนเด็ก ๆ ช่วงเดือนมีนาที่ผ่านมา เราก็เกริ่นถามเด็ก ๆ นะคะ ว่าถ้าครูไม่ได้สอนหนูแล้ว หนูอยากไปเรียนกับใคร กับทีมไหนไหม เดี๋ยวครูฝากให้ เด็ก ๆ ก็บอกว่าไม่เอาหนูอยากเรียนกับครูเหมือนเดิม ครูจะไปไหนหรอ หนูดื้อไปหรอ หนูจะเป็นเด็กดีนะ แล้วพอหลังจากที่เราถามเขา เขาก็ทำตัวดีขึ้นมาเลยค่ะ บอกให้ทำอะไรก็ทำ ไม่อิดออดเหมือนปกติ เราก็จุกนะ สงสารเด็กมาก แต่คงทนต่อไปไม่ไหว เราถือว่าเราไม่เสียใจ เราทำเต็มที่แล้วค่ะ ให้เขาเต็มที่แล้วจริง ๆ

เราเลยปรึกษาทนายค่ะ คิดว่าอาจจะโดนหัวหมอแล้วเบี้ยวค่าสอนแน่ ๆ เพราะไม่ได้เซ็นสัญญาจ้างหรืออะไรเลย ทนายบอกว่าแชท สลิปโอน เป็นหลักฐานได้ และพยานที่สถานที่ซ้อม กล้องวงจรปิด ก็สามารถเป็นหลักฐานได้เช่นกัน ว่าเราสอนลูกเขาเป็นระยะเวลาเท่านี้จริง
เราเลยจะทำหนังสือรับสภาพหนี้ไปให้เขาเซ็น จะเลิกสอนเด็ก ๆ แล้วกลับไปทำทีมกับรุ่นพี่ค่ะ

อยากปรึกษาว่า เราทำถูกแล้วมั้ยคะ?
แล้วถ้าเขาไม่ยอมเซ็นหนังสือรับสภาพหนี้ เราควรทำอย่างไรต่อไปคะ?
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 10
ขอเล่าเหตุการณ์จริงที่เคยเห็นมาในชีวิตให้ฟังนะครับ
  1.เพื่อนบ้าน(ผมรู้จักเค้า เค้าไม่รู้จักผม)ทำธุรกิจ หลักหลายร้อยล้าน สินค้ามีชื่อเสียง พูดไปก็รู้จัก....อยู่ๆขาดสภาพคล่อง ติดหนี้ผู้รับเหมาหลักแสนจนถึงค่าส่วนกลางหมู่บ้านหลักพัน...จนหมู่บ้านติดป้ายไม่ยอมให้เข้า จนกว่าจะยอมจ่าย....ผมเห็นแล้วยังสงสารแทน คิดว่าจะไปคุยกับกรรมการหมู่บ้านเพื่อจ่ายให้ พอดีเพื่อนบ้านท่านนี้ก็ย้ายออกไปก่อน
    ไม่นาน ในปีเดียวกัน ก็ย้ายกลับมาเป็นปรกติพร้อมรถหรู เข้าใจว่าคงclearอะไรต่ออะไรจบแล้วด้วยดี...ก็ยินดีกับเค้าด้วย
   2.คนรู้จัก ทำธุรกิจหลักพันล้าน อยู่ๆขาดสภาพคล่อง เพราะทุ่มเงินไปกับงานๆนึง ต้องวิ่งเอาทรัพย์สินเข้ากู้ จำนอง ขายฝาก วนเป็นงูกินหาง บางวันต้องหยิบยืมเงินหลักหมื่น เพื่อใช้จ่าย เป็นอยู่หลายปี
    ต่อมา งานสำเร็จไปบางส่วน ได้รับเงินที่ลงไปคืนพร้อมกำไร ตอนนี้คงคิดได้และคงเข็ดไม่ทำอะไรเกินตัวอีก
    ตัวอย่างที่ผมยกมา เป็นแค่บางส่วน ยังมีอีกมากในสังคม คนรวย ไฮโซ คนมีชื่อเสียง ดารา บางท่าน ที่เราเห็นผ่านตาและรู้จัก ชีวิตจริงก็เคยเป็นหรือเป็นอยู่....ในแบบที่เราไม่รู้ความจริง อยู่ที่ล้มแล้วจะลุกได้ ลุกได้เร็ว และลุกอย่างไรให้ไม่ล้มอีก
      เราแค่ไม่รู้ว่า เค้าจะลุกได้เมื่อไหร่เท่านั้นเอง ที่เราควรทำคือยื่นมือเข้าช่วย โดยที่ไม่เป็นแบบเตี้ยอุ้มค่อม
     วันนี้จขกท.ได้มีโอกาสช่วยคน คือ ลูกศิษย์ที่สอนมาราว5ปี ซึ่งคงผูกพันกันระดับนึง ผมแนะนำว่า ให้จขกท.ชั่งน้ำหนัก ว่าเรื่องไหนสำคัญกว่า ระหว่างอนาคตทางอาชีพของลูกศิษย์กับอนาคตทางการเงินของจขกท. และหาทางเฉลี่ยปัญหา
     เท่าที่อ่าน ที่ผ่านมาผู้ปกครองของลูกศิษย์ท่านนี้ก็มีความพยายามที่จะจ่าย อาจจะไม่ครบ ไม่ตามที่รับปาก แต่ขอให้เข้าใจสภาพของคนที่ไม่สามารถกำหนดรายรับและยังเป็นหนี้อีกด้วยว่า การจะใช้จ่ายอะไรต้องเรียงความสำคัญแล้ว และผมคิดว่าเค้าก็คงจะรู้สึกผิดและซาบซึ้งในความมีน้ำใจของจขกท.พอสมควร
      ถ้าจขกท.มีรายได้อย่างไม่เดือดร้อน ก็คงเลือกที่จะสอนต่อเพราะรักห่วงลูกศิษย์...อันนี้เรียกว่าความเมตตา ผมขอชื่นชม ซึ่งอาจจะต้องแลกมาด้วยการทำงานเพิ่มทางอื่น เพื่อชดเชยรายได้
     ผมคิดว่า การให้เซ็นหนังสือรับสภาพหนี้ หรือ ทำสัญญากันเป็นลายลักษณ์อักษร จะเป็นการดีกับทุกฝ่าย อย่างน้อยก็เป็นเครื่องวัดว่าทางฝ่ายผู้ปกครองของลูกศิษย์มีเจตนาจะเบี้ยวหนี้หรือไม่ และยังเป็นเสมือนหลักประกันรายได้(ในอนาคต)ของจขกท.ด้วย ว่าไม่ได้ทำงานฟรีๆ
    ระหว่างนี้จะได้มีกำลังใจ มีสมาธิช่วยลูกศิษย์ให้ถึงฝั่ง เพื่อที่ในวันข้างหน้า ไม่แน่ว่า เด็กๆเหล่านี้ อาจจะประสบความสำเร็จในอาชีพ ได้ช่วยแบ่งเบาภาระที่บ้าน ช่วยจขกท.ช่วยคนอื่นๆ ในแบบที่เราเองก็คาดไม่ถึงก็เป็นได้ครับ
     ให้ธรรมะนำพา ปัญญานำชีวิต
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่