สวัสดีค่ะ ห่างหายไปนานมากๆ วันนี้มารีวิว ชีวิตการเรียนภาษาที่ญี่ปุ่นค่ะ
เอาจริงๆ คือก่อนจะตัดสินใจไปเรียนต่อญี่ปุ่น คือเครียด และก็หาข้อมูลเยอะมาก หลายคนคงจะมีคำถาม แบบ
อายุเยอะแล้วไปเรียนต่อดีมั้ย? ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่? ต้องทำยังไงบ้าง? กระทู้นี้เราเลยจะมารีวิวคร่าวๆ เกี่ยวกับการเรียนต่อภาษาญี่ปุ่น ที่โรงเรียนสอนภาษาในญี่ปุ่นค่ะ
ตอนเราไปเรียนต่อ เราอายุ 27 ปี ตอนแรกก็ลังเลว่าจะไปดีมั้ย? งานก็ลาออกมา หรือว่าจะหางานใหม่ดี คิดอยู่นานสุดท้ายเราก็ตัดสินใจไปเรียนที่ญี่ปุ่นค่ะ ถ้ากังวลเรื่องอายุ คนรู้จักเราที่ไปเรียนต่อมีตั้งแต่อายุ 18-34 ปีเลยค่ะ ซึ่งสามารถไปเรียนได้ โดยใช้วีซ่านักเรียน
ขอข้ามในส่วนการเตรียมเอกสารต่างๆ นะคะ
เตรียมตัวก่อนไปเรียนที่ญี่ปุ่น
โดยปกติแล้วถ้าเรียนภาษาที่ไทยไปก่อน เราจำไม่ได้ว่ามีเกณฑ์เท่าไหร่ น้อยสุดก็สามเดือนโดยประมาณ คือภาษาญี่ปุ่นควรอ่านออกเขียนได้ พูดคุยเข้าใจนิดหน่อยก่อนไปเรียนที่นั่น แต่ถ้าจะให้ดีก็คือเรียนไปให้มากที่สุด ประมาณ N4-N3 ได้ยิ่งดี เพราะตอนไปเรียนที่ญี่ปุ่นจะได้พัฒนาทักษะด้านการฟัง การพูดได้เร็ว ของเราจริงๆ เราเคยเรียนภาษาญี่ปุ่นตอนสมัยม.ปลาย 2 ปี แล้วก็ทิ้งช่วงไปนานมาก เป็นสิบปีเลย ก่อนไปเรียนที่ญี่ปุ่น ก็มารื้อฟื้นความรู้เก่าประมาณ 6 เดือน
ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?
ค่าเทอม
ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ไปเรียนด้วย คอร์สที่เราไปเรียน คือ 1 ปี 6 เดือน (แต่จริงๆ คือ ปีสี่เดือนนิดๆ เนื่องจากวีซ่าออกช้า)
โรงเรียนของเราอยู่ที่จ.จิบะค่ะ ค่าใช้จ่ายแรกเข้าโดยประมาณ 300,000 เยน++ อันนี้โอนจากประเทศไทยเข้าบัญชีของทางโรงเรียน ค่าเทอมส่วนที่เหลือ 680,000 เยน++ ส่วนนี้จะแบ่งจ่ายทีหลัง (โรงเรียนบางที่ก็ให้จ่ายเต็มเลย บางที่แบ่งจ่ายได้) ในส่วนนี้เราจ่ายค่าเทอมจนครบตามเงื่อนไขที่คุยกับทางโรงเรียน โดยค่าเทอมจะมีรายละเอียดที่ต้องจ่ายคือ ค่าคัดเลือกบุคคล ค่าสมัครเข้าเรียน ค่าธรรมเนียมสถานที่ ค่าใช้จ่ายกิจกรรมนอกหลักสูตร ค่าวัสดุ อุปกรณ์ ค่าเทอม ค่าเบี้ยประกัน โดยทั้งหมดจะรวมอยู่ในยอดนี้แล้ว ในส่วนของค่าเทอมของแต่ละโรงเรียนจะไม่เท่ากัน ถ้าเป็นโรงเรียนในโตเกียวจะค่าใช้จ่ายสูงกว่านี้ โรงเรียนเราค่าเทอมในคอร์สนี้ ประมาณ 1,000,000 เยนค่ะ
ค่าใช้จ่ายส่วนตัว
ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีค่าครองชีพสูง ค่าใช้จ่ายก็เยอะ เดือนแรกที่มาเราใช้ไป 100,000 กว่าเยนเลยค่ะ ช่วงนั้นมาใหม่ๆ ยังไม่มีของใช้อะไรเลย คือซื้อหนักมาก ราคาของส่วนใหญ่เริ่มต้นที่ 100 เยน ถ้าเราไปนั่งกินที่ร้านอาหาร อย่างราเมง กิวด้ง ฯลฯ ก็ต้องจ่ายมื้อละ 500-1,200 เยน++ ถ้าซื้อพวกข้าวกล่องตามซุปเปอร์ก็ประมาณ 300-1000 เยน++ ข้าวปั้นซื้อตามมินิมาร์ท 100-250 เยน++ วิธีที่ประหยัดที่สุดคือ ซื้อวัตถุ พวกผัก พวกเนื้อจากซุปเปอร์มาทำอาหารเอง ใส่กล่องแช่ตู้เย็นไว้กินได้หลายมื้อ ช่วงดึกๆ ตามซุปเปอร์จะมีลดราคาสินค้า แบบ 30% , 50% ถ้ามีเวลาก็จะแวะไปซื้อช่วงนี้ ส่วนใหญ่จะลดประมาณ 19:00-20:00 ช่วงก่อนร้านจะปิด พวกอาหาร จะราคาถูก
ที่ญี่ปุ่นมีร้านขายของ ซุปเปอร์ เยอะมาก ราคาสินค้าแต่ละที่จะราคาไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เช่น แชมพูO ซื้อที่ร้าน A จะได้ราคาถูกกว่า ซื้อที่ร้าน B ปกติเราก็ไม่ได้เช็คราคาจริงจังเท่าไหร่ ปกติของใช้ก็ซื้อที่ Matsumoto, Donki, Daiso, 100Yenshop ฯลฯ
จริงๆ ค่าใช้จ่ายส่วนตัวนี่แล้วแต่คนว่าจะใช้เยอะใช้น้อย เราเป็นพวกไม่เน้นกิน แต่มีไปเที่ยวบ้าง เคยใช้น้อยสุดต่อเดือนคือประมาณ 44,000 เยน++
ค่าเดินทาง
เนื่องจากเราพักอยู่คนละเมืองกับโรงเรียน เลยมีค่าใช้จ่าย เป็นค่ารถไฟ เรานั่งรถไฟ JR โดยปกติก็สามารถสมัครบัตร suica เติมเงินใช้ได้ แต่เราสามารถทำบัตรรายเดือน (กรณีที่เป็นนักเรียน ใช้บัตรประจำตัวนักเรียน) ราคาตั๋วต่อเดือนก็จะถูกกว่า ค่าเดินทางนี่ก็แล้วแต่ความใกล้ไกลของสถานที่ด้วย ของเราปกติถ้าไปกลับประมาณ 1,300 เยน++ แต่ทำตั๋วเดือนราคา 9,400 เยน++ ระบุสถานี จากสถานีXX ถึงสถานีXX ใช้กี่ครั้งก็ได้ ในระยะเวลาหนึ่งเดือน สำหรับคนที่อยู่หอใกล้โรงเรียนก็จะไม่มีค่าใช้จ่ายตรงนี้
ค่าหอพัก/อพาร์ตเมนต์
แน่นอนว่านักเรียนต่างชาติที่มาเรียนที่นี่ต้องเช่าหอ หรืออพาร์ตเมนต์อยู่ ที่ญี่ปุ่นค่าที่พัก และค่าครองชีพสูงมาก เราอยู่อพาร์ตเมนต์กับเพื่อนคนไทยสองคนค่ะ เป็นห้องแบบ 1R ห้องเดี่ยว ห้องน้ำรวมห้องอาบน้ำ เตาไฟฟ้า ที่พักในญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเป็นห้องเปล่า แบบไม่มีอะไรเลย แต่ตอนที่เรามา เราพักกับทางอพาร์ตเมนต์ที่บริษัทที่เราทำงานพิเศษด้วยจัดหาให้ เลยสะดวกหน่อย ใช้เตียงกับที่นอนของบริษัท ด้วยความที่เมืองที่เราอยู่คือบ้านนอกเลยล่ะ ค่าที่พักหารกันต่อเดือนก็ตกเดือนละ 15,000-20,000 เยน++ อันนี้คิดรวมค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแก๊สด้วย
ที่พักคือติดต่อก่อนเดินทาง ส่วนใหญ่ถ้าอยู่ห้องแบบ 4 คน ค่าห้องก็จะถูกลง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับเมืองที่อยู่ด้วย ในโตเกียวก็แพงกว่านี้แน่นอน ถ้ามาเรียนคนเดียวอย่างประหยัดค่าใช้จ่ายก็แนะนำอยู่แบบหลายคน ส่วนใหญ่จะได้อยู่กับนักเรียนต่างชาติด้วยกัน ราคาเช่าต่อเดือนหากอยู่คนเดียว 30,000-60,000 เยน++ ราคาโดยประมาณนะคะ จริงๆ มีที่ที่ถูกกว่านี้ และแพงกว่านี้ด้วยค่ะ
ค่าโทรศัพท์+อินเทอร์เน็ต
ซิมโทรศัพท์ที่ญี่ปุ่น หลักๆ คือมี 3 ค่าย คือ Docomo, Softbank, AU ก็จะมีโปรโมชั่น ถ้าอยู่ญี่ปุ่นระยะยาว 1-2 ปี ก็มีซื้อมือถือ iphone+โปรฯ เน็ตของแต่ละค่ายด้วย แล้วผ่อนจ่ายรายเดือนเอา ตอนมาช่วงแรกเราไม่ค่อยรู้เรื่อง + ภาษาไม่ค่อยได้ เราเลยสมัครซิมรายเดือนสำหรับชาวต่างชาติ อันนี้ก็มีหลายค่ายเหมือนกัน โปรส่วนใหญ่จะมีแบบ เป็นซิม Net data อย่างเดียว กับ Call+Net data แนะนำแบบโทรได้ เผื่อได้ใช้ติดต่อในญี่ปุ่นค่ะ ค่ายที่เราใช้ 3GB 2,400 เยน++, 6GB 3,200 เยน++, 12GB 4,400 เยน++, 20 GB 5,900 เยน++ วิธีการจ่ายเงิน เลือกชำระผ่านบัตรเครดิต จ่ายที่มินิมาร์ท หรือตัดเงินผ่านบัญชีธนาคารญี่ปุ่น
การเรียนภาษาญี่ปุ่นที่โรงเรียน
ปกติที่โรงเรียนสอนภาษาจะเรียนแค่ครึ่งวัน เรียนวันจันทร์-ศุกร์ โรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนที่ไม่ใหญ่มาก เลยมีห้องเรียนอยู่ 4 ห้อง จำนวนนักเรียนต่อห้องไม่เกิน 20 คน เราเรียนคลาสตอนเช้า เวลา 8:50-12:10 มีเวลาพักระหว่างคาบนิดหน่อย เพื่อนที่ห้องเราส่วนใหญ่เป็นคนเวียดนาม รองลงมาคือเนปาล ห้องอื่นๆ มีคนฟิลิปปินส์ มองโกเลีย คนไทยคือน้อยมาก โรงเรียนเรานี่คือเป็นคนไทยรุ่นแรกของโรงเรียนเลย บรรยากาศในห้องเรียน เอาจริงๆ คือหนวกหูมาก จริงๆ แล้วตอนอยู่ที่โรงเรียนจะห้ามพูดภาษาบ้านเกิดตัวเอง ให้พูดคุยกันเป็นภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ก็คือทำไม่ได้หรอก
การปรับตัว ตอนก่อนเริ่มเรียน จะมีให้ทำข้อสอบเพื่อแบ่งคลาส โรงเรียนเราคลาสเช้า 2 ห้อง คลาสบ่าย 2 ห้อง เป็นห้อง A1, A2 / B1,B2 ซึ่งห้องหนึ่งจะเรียนเนื้อหายากกว่านิดหน่อย ตอนเราเรียนก็คือเริ่มเรียนตั้งแต่ระดับ N5 เลย (ตอนก่อนมาเราเรียนอยู่ประมาณ N4) ก็ถือว่าทบทวนเนื้อหาแล้วกัน ข้อดีของการเรียนภาษาที่นี่คือ ได้พูดเยอะมาก ช่วงแรกๆ นี่เราพูดแทบไม่ได้เลย ใช้บ่อยๆ คือ はい、分かりました。・すみません 分かりません。คือก็พอฟังออก แต่แบบพูดไม่เป็น พูดไม่คล่อง ก็ใช้เวลาปรับอยู่พอสมควรก่อนจะพูดรู้เรื่อง ในเรื่องวัฒนธรรมของคนแต่ละชาติที่อยู่ด้วยกันนั้น บอกเลยว่าต้องทำใจ เอาจริงๆ เราฟังภาษาอื่นเราก็รู้สึกหนวกหู ไม่ชิน คนต่างชาติอื่นก็คงจะคิดเหมือนๆ กับเรา
นอกจากการเรียนแล้ว ที่โรงเรียนก็จะมีกิจกรรมเยอะมากๆ เช่น 入学式 พิธีเข้าเรียนสำหรับนักเรียนใหม่, スピーチ大会 ประกวดพูดสุนทรพจน์, スポーツ大会 แข่งกีฬาสี, 遠足 ทัศนศึกษา, クリスマスパーテイー คริสต์มาส, 卒業旅行 ไปเที่ยวก่อนเรียนจบ, 卒業発表 พรีเซนต์จบ, 卒業式 พิธีจบการศึกษา ฯลฯ
การทำงานพิเศษ アルバイト・バイト
ที่ีญี่ปุ่น การทำงานพิเศษ หรือไบท์ สำหรับนักเรียนเป็นเรื่องปกติมาก แน่นอนว่าเราเองก็ทำงานพิเศษ ตามกฎหมายวีซ่านักเรียนสามารถทำงานพิเศษได้ไม่เกิน 28 ชั่วโมง/สัปดาห์ หรือ 112 ชั่วโมง/เดือน แต่ถ้าเป็นช่วงปิดเทอมสามารถทำได้ไม่เกิน 40 ชั่วโมง/สัปดาห์ ตามโรงเรียนจะมีแนะนำงานพิเศษให้ ถ้างานง่ายๆ ที่ไม่จำเป็นต้องได้ภาษาญี่ปุ่นมาก ก็เป็นงาน ทำเบ็นโตะ (ทำข้าวกล่อง), งานส่งของ พอพูดได้ก็สามารถทำงานร้านอาหาร, มินิมาร์ท โดยค่าจ้างต่อชั่วโมงโดยทั่วไป 850-1,400 เยน++ งานที่เราทำเป็นงาน 介護(かいご)ดูแลผู้สูงอายุ เราทำวันละ 4 ชั่วโมง ค่าจ้าง 900 เยน/ชั่วโมง เดือนนึงได้เงินประมาณ 100,000 เยน++ คือได้เงินตรงนี้ไปเป็นค่าใช้จ่ายรายเดือน
เปิดบัญชีธนาคารที่ญี่ปุ่น
อันนี้มีความจำเป็นมาก เพราะตอนทำงานพิเศษจะเอาเงินเข้าบัญชีที่นี่ ไม่มีค่าเปิด แต่ต้องฝากเงินอย่างน้อย 100 เยน (หรือแล้วแต่ธนาคารก็ไม่รู้) แนะนำว่าให้คนญี่ปุ่นพาไปทำค่ะ เพราะว่าตอนที่มาช่วงแรก ทั้งฟังทั้งพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ที่ธนาคาร จะมีพนักงานธนาคารค่อยๆ อธิบายให้เราเข้าใจ
สอบวัดระดับภาษา JLPT
บอกเลยว่าจำเป็น ควรสอบให้ผ่าน อย่างน้อยระดับ N3 ในการใช้ทำงานพิเศษบางอย่าง ใช้เป็นเอกสารตอนเรียนต่อ 専門学校 เซมมง โรงเรียนเฉพาะทางที่ญี่ปุ่น (เรียนสองปี) และ N2 สำหรับเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่น และทำงานที่ญี่ปุ่น โดยที่ญี่ปุ่นค่าสมัครสอบ 5,500 เยน วันสอบวันเดียวกับที่ไทย ปีนึกมีสอบ 2 ครั้ง
เพื่อนคนญี่ปุ่น?
จะบอกว่า มาเรียนภาษาที่ญี่ปุ่น นี่คือไม่มีเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่นนะ เพราะคนที่เรียนภาษาญี่ปุ่นกับเราก็เป็นชาวต่างชาติ ส่วนใหญ่ก็คือคนเวียดนาม, เนปาล, ฟิลิปปินส์, มองโกเลีย, จีน, พม่า, ฮ่องกง, เกาหลี ฯลฯ คือคนไทยน้อยมาก ถ้ามาคนเดียว อาจจะเป็นนักเรียนคนเดียวในโรงเรียนก็ได้ ครูที่สอนจะเป็นคนญี่ปุ่น ถ้าถามว่าหาเพื่อนญี่ปุ่นได้จากไหน ถ้าเอาแบบง่ายๆ เลย ก็คือเพื่อนที่ทำงานพิเศษ ถ้าแบบมินิมาร์ท นักเรียนญี่ปุ่นก็จะทำไบท์เยอะ แต่งานของเราไม่มีวัยรุ่นทำงานเลย ก็เลยมีเพื่อนร่วมงานแบบอายุเยอะๆ หน่อย ทั้งนี้ทั้งนั้นประเด็นนี้ขึ้นอยู่กับเราเลย ว่าจะออกไปหาเพื่อนคนญี่ปุ่นหรือไม่
ชีวิตที่ญี่ปุ่น
เราใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นมาหนึ่งปีกับอีกสี่เดือนนิดๆ คือรู้สึกว่าเวลาผ่านไปไวมาก ช่วงแรกที่มาคือเหนื่อยมาก เหนื่อยทุกวัน เราต้องตื่นเช้า นั่งรถไฟไปโรงเรียน ใช้เวลาประมาณ 40 นาที เรียนเสร็จก็นั่งรถไฟกลับ ไปทำงานต่ออีก 4 ชั่วโมง เลิกงานก็หกโมงเย็นกว่าแล้ว อยู่ที่นั่นเราใช้จักรยานเป็นหลัก ก็ปั่นไปซื้อของ ตอนเย็น ทำอาหาร กินข้าว อาบน้ำเสร็จ ก็มาทำการบ้าน ช่วงเทอมแรก ครูให้การบ้านเยอะมาก หนักมาก คือโหมดบังคับว่าต้องเรียน พอเรียนไปก็จะมีสอบ แบ่งเกรดตามมาตรฐาน แล้วคือที่ญี่ปุ่นวันหยุดเยอะมากค่ะ นอกจากวันหยุดราชการแล้ว ก็จะมีหยุดช่วงปิดเทอม ทุกฤดู ประมาณช่วงละสองสัปดาห์ ช่วงที่หยุดเราก็ไม่ได้ไปไหนเป็นพิเศษ ทำงานพิเศษ เก็บเงิน เรื่องอากาศ ที่ญี่ปุ่นหน้าหนาวคือหนาวมาก แล้วคนที่อยู่เมืองไทยมาตั้งแต่เกิดอย่างเราคือทนไม่ไหว ก็ใส่เสื้อผ้าหนาๆ เอา นอกจากหนาวแล้ว ก็คือฝน ที่ญี่ปุ่นไม่มีหน้าฝน แต่ฝนก็จะตกเรื่อยๆ แบบ วันเว้นวัน วันเว้นสามสี่วัน หรือสามสี่วันติดกันก็มี ว่าฝนลำบากแล้ว เราว่าหนักกว่าฝนคือวันที่ลมแรง ปั่นจักรยานรู้สึกเหมือนต้องเพิ่มแรงเป็นสองเท่า ช่วงวันหยุดก็มีไปเที่ยวบ้าง ส่วนใหญ่ก็ไป Tokyo อย่าง Shibuya, Harajuku ถ้ามีเวลามากๆ ก็แวะไปเมืองอื่นๆ บ้าง
(มีต่อ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้กระทู้ที่แล้ว
รีวิว ขอวีซ่าเรียนต่อญี่ปุ่น (ฉบับเด็กต่างจังหวัด)
https://ppantip.com/topic/38230983
รีวิว เรียนต่อภาษาระยะยาวที่ญี่ปุ่น
เอาจริงๆ คือก่อนจะตัดสินใจไปเรียนต่อญี่ปุ่น คือเครียด และก็หาข้อมูลเยอะมาก หลายคนคงจะมีคำถาม แบบ อายุเยอะแล้วไปเรียนต่อดีมั้ย? ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่? ต้องทำยังไงบ้าง? กระทู้นี้เราเลยจะมารีวิวคร่าวๆ เกี่ยวกับการเรียนต่อภาษาญี่ปุ่น ที่โรงเรียนสอนภาษาในญี่ปุ่นค่ะ
ตอนเราไปเรียนต่อ เราอายุ 27 ปี ตอนแรกก็ลังเลว่าจะไปดีมั้ย? งานก็ลาออกมา หรือว่าจะหางานใหม่ดี คิดอยู่นานสุดท้ายเราก็ตัดสินใจไปเรียนที่ญี่ปุ่นค่ะ ถ้ากังวลเรื่องอายุ คนรู้จักเราที่ไปเรียนต่อมีตั้งแต่อายุ 18-34 ปีเลยค่ะ ซึ่งสามารถไปเรียนได้ โดยใช้วีซ่านักเรียน
ขอข้ามในส่วนการเตรียมเอกสารต่างๆ นะคะ
เตรียมตัวก่อนไปเรียนที่ญี่ปุ่น
โดยปกติแล้วถ้าเรียนภาษาที่ไทยไปก่อน เราจำไม่ได้ว่ามีเกณฑ์เท่าไหร่ น้อยสุดก็สามเดือนโดยประมาณ คือภาษาญี่ปุ่นควรอ่านออกเขียนได้ พูดคุยเข้าใจนิดหน่อยก่อนไปเรียนที่นั่น แต่ถ้าจะให้ดีก็คือเรียนไปให้มากที่สุด ประมาณ N4-N3 ได้ยิ่งดี เพราะตอนไปเรียนที่ญี่ปุ่นจะได้พัฒนาทักษะด้านการฟัง การพูดได้เร็ว ของเราจริงๆ เราเคยเรียนภาษาญี่ปุ่นตอนสมัยม.ปลาย 2 ปี แล้วก็ทิ้งช่วงไปนานมาก เป็นสิบปีเลย ก่อนไปเรียนที่ญี่ปุ่น ก็มารื้อฟื้นความรู้เก่าประมาณ 6 เดือน
ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?
ค่าเทอม
ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ไปเรียนด้วย คอร์สที่เราไปเรียน คือ 1 ปี 6 เดือน (แต่จริงๆ คือ ปีสี่เดือนนิดๆ เนื่องจากวีซ่าออกช้า)
โรงเรียนของเราอยู่ที่จ.จิบะค่ะ ค่าใช้จ่ายแรกเข้าโดยประมาณ 300,000 เยน++ อันนี้โอนจากประเทศไทยเข้าบัญชีของทางโรงเรียน ค่าเทอมส่วนที่เหลือ 680,000 เยน++ ส่วนนี้จะแบ่งจ่ายทีหลัง (โรงเรียนบางที่ก็ให้จ่ายเต็มเลย บางที่แบ่งจ่ายได้) ในส่วนนี้เราจ่ายค่าเทอมจนครบตามเงื่อนไขที่คุยกับทางโรงเรียน โดยค่าเทอมจะมีรายละเอียดที่ต้องจ่ายคือ ค่าคัดเลือกบุคคล ค่าสมัครเข้าเรียน ค่าธรรมเนียมสถานที่ ค่าใช้จ่ายกิจกรรมนอกหลักสูตร ค่าวัสดุ อุปกรณ์ ค่าเทอม ค่าเบี้ยประกัน โดยทั้งหมดจะรวมอยู่ในยอดนี้แล้ว ในส่วนของค่าเทอมของแต่ละโรงเรียนจะไม่เท่ากัน ถ้าเป็นโรงเรียนในโตเกียวจะค่าใช้จ่ายสูงกว่านี้ โรงเรียนเราค่าเทอมในคอร์สนี้ ประมาณ 1,000,000 เยนค่ะ
ค่าใช้จ่ายส่วนตัว
ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีค่าครองชีพสูง ค่าใช้จ่ายก็เยอะ เดือนแรกที่มาเราใช้ไป 100,000 กว่าเยนเลยค่ะ ช่วงนั้นมาใหม่ๆ ยังไม่มีของใช้อะไรเลย คือซื้อหนักมาก ราคาของส่วนใหญ่เริ่มต้นที่ 100 เยน ถ้าเราไปนั่งกินที่ร้านอาหาร อย่างราเมง กิวด้ง ฯลฯ ก็ต้องจ่ายมื้อละ 500-1,200 เยน++ ถ้าซื้อพวกข้าวกล่องตามซุปเปอร์ก็ประมาณ 300-1000 เยน++ ข้าวปั้นซื้อตามมินิมาร์ท 100-250 เยน++ วิธีที่ประหยัดที่สุดคือ ซื้อวัตถุ พวกผัก พวกเนื้อจากซุปเปอร์มาทำอาหารเอง ใส่กล่องแช่ตู้เย็นไว้กินได้หลายมื้อ ช่วงดึกๆ ตามซุปเปอร์จะมีลดราคาสินค้า แบบ 30% , 50% ถ้ามีเวลาก็จะแวะไปซื้อช่วงนี้ ส่วนใหญ่จะลดประมาณ 19:00-20:00 ช่วงก่อนร้านจะปิด พวกอาหาร จะราคาถูก
ที่ญี่ปุ่นมีร้านขายของ ซุปเปอร์ เยอะมาก ราคาสินค้าแต่ละที่จะราคาไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เช่น แชมพูO ซื้อที่ร้าน A จะได้ราคาถูกกว่า ซื้อที่ร้าน B ปกติเราก็ไม่ได้เช็คราคาจริงจังเท่าไหร่ ปกติของใช้ก็ซื้อที่ Matsumoto, Donki, Daiso, 100Yenshop ฯลฯ
จริงๆ ค่าใช้จ่ายส่วนตัวนี่แล้วแต่คนว่าจะใช้เยอะใช้น้อย เราเป็นพวกไม่เน้นกิน แต่มีไปเที่ยวบ้าง เคยใช้น้อยสุดต่อเดือนคือประมาณ 44,000 เยน++
ค่าเดินทาง
เนื่องจากเราพักอยู่คนละเมืองกับโรงเรียน เลยมีค่าใช้จ่าย เป็นค่ารถไฟ เรานั่งรถไฟ JR โดยปกติก็สามารถสมัครบัตร suica เติมเงินใช้ได้ แต่เราสามารถทำบัตรรายเดือน (กรณีที่เป็นนักเรียน ใช้บัตรประจำตัวนักเรียน) ราคาตั๋วต่อเดือนก็จะถูกกว่า ค่าเดินทางนี่ก็แล้วแต่ความใกล้ไกลของสถานที่ด้วย ของเราปกติถ้าไปกลับประมาณ 1,300 เยน++ แต่ทำตั๋วเดือนราคา 9,400 เยน++ ระบุสถานี จากสถานีXX ถึงสถานีXX ใช้กี่ครั้งก็ได้ ในระยะเวลาหนึ่งเดือน สำหรับคนที่อยู่หอใกล้โรงเรียนก็จะไม่มีค่าใช้จ่ายตรงนี้
ค่าหอพัก/อพาร์ตเมนต์
แน่นอนว่านักเรียนต่างชาติที่มาเรียนที่นี่ต้องเช่าหอ หรืออพาร์ตเมนต์อยู่ ที่ญี่ปุ่นค่าที่พัก และค่าครองชีพสูงมาก เราอยู่อพาร์ตเมนต์กับเพื่อนคนไทยสองคนค่ะ เป็นห้องแบบ 1R ห้องเดี่ยว ห้องน้ำรวมห้องอาบน้ำ เตาไฟฟ้า ที่พักในญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเป็นห้องเปล่า แบบไม่มีอะไรเลย แต่ตอนที่เรามา เราพักกับทางอพาร์ตเมนต์ที่บริษัทที่เราทำงานพิเศษด้วยจัดหาให้ เลยสะดวกหน่อย ใช้เตียงกับที่นอนของบริษัท ด้วยความที่เมืองที่เราอยู่คือบ้านนอกเลยล่ะ ค่าที่พักหารกันต่อเดือนก็ตกเดือนละ 15,000-20,000 เยน++ อันนี้คิดรวมค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแก๊สด้วย
ที่พักคือติดต่อก่อนเดินทาง ส่วนใหญ่ถ้าอยู่ห้องแบบ 4 คน ค่าห้องก็จะถูกลง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับเมืองที่อยู่ด้วย ในโตเกียวก็แพงกว่านี้แน่นอน ถ้ามาเรียนคนเดียวอย่างประหยัดค่าใช้จ่ายก็แนะนำอยู่แบบหลายคน ส่วนใหญ่จะได้อยู่กับนักเรียนต่างชาติด้วยกัน ราคาเช่าต่อเดือนหากอยู่คนเดียว 30,000-60,000 เยน++ ราคาโดยประมาณนะคะ จริงๆ มีที่ที่ถูกกว่านี้ และแพงกว่านี้ด้วยค่ะ
ค่าโทรศัพท์+อินเทอร์เน็ต
ซิมโทรศัพท์ที่ญี่ปุ่น หลักๆ คือมี 3 ค่าย คือ Docomo, Softbank, AU ก็จะมีโปรโมชั่น ถ้าอยู่ญี่ปุ่นระยะยาว 1-2 ปี ก็มีซื้อมือถือ iphone+โปรฯ เน็ตของแต่ละค่ายด้วย แล้วผ่อนจ่ายรายเดือนเอา ตอนมาช่วงแรกเราไม่ค่อยรู้เรื่อง + ภาษาไม่ค่อยได้ เราเลยสมัครซิมรายเดือนสำหรับชาวต่างชาติ อันนี้ก็มีหลายค่ายเหมือนกัน โปรส่วนใหญ่จะมีแบบ เป็นซิม Net data อย่างเดียว กับ Call+Net data แนะนำแบบโทรได้ เผื่อได้ใช้ติดต่อในญี่ปุ่นค่ะ ค่ายที่เราใช้ 3GB 2,400 เยน++, 6GB 3,200 เยน++, 12GB 4,400 เยน++, 20 GB 5,900 เยน++ วิธีการจ่ายเงิน เลือกชำระผ่านบัตรเครดิต จ่ายที่มินิมาร์ท หรือตัดเงินผ่านบัญชีธนาคารญี่ปุ่น
การเรียนภาษาญี่ปุ่นที่โรงเรียน
ปกติที่โรงเรียนสอนภาษาจะเรียนแค่ครึ่งวัน เรียนวันจันทร์-ศุกร์ โรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนที่ไม่ใหญ่มาก เลยมีห้องเรียนอยู่ 4 ห้อง จำนวนนักเรียนต่อห้องไม่เกิน 20 คน เราเรียนคลาสตอนเช้า เวลา 8:50-12:10 มีเวลาพักระหว่างคาบนิดหน่อย เพื่อนที่ห้องเราส่วนใหญ่เป็นคนเวียดนาม รองลงมาคือเนปาล ห้องอื่นๆ มีคนฟิลิปปินส์ มองโกเลีย คนไทยคือน้อยมาก โรงเรียนเรานี่คือเป็นคนไทยรุ่นแรกของโรงเรียนเลย บรรยากาศในห้องเรียน เอาจริงๆ คือหนวกหูมาก จริงๆ แล้วตอนอยู่ที่โรงเรียนจะห้ามพูดภาษาบ้านเกิดตัวเอง ให้พูดคุยกันเป็นภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ก็คือทำไม่ได้หรอก
การปรับตัว ตอนก่อนเริ่มเรียน จะมีให้ทำข้อสอบเพื่อแบ่งคลาส โรงเรียนเราคลาสเช้า 2 ห้อง คลาสบ่าย 2 ห้อง เป็นห้อง A1, A2 / B1,B2 ซึ่งห้องหนึ่งจะเรียนเนื้อหายากกว่านิดหน่อย ตอนเราเรียนก็คือเริ่มเรียนตั้งแต่ระดับ N5 เลย (ตอนก่อนมาเราเรียนอยู่ประมาณ N4) ก็ถือว่าทบทวนเนื้อหาแล้วกัน ข้อดีของการเรียนภาษาที่นี่คือ ได้พูดเยอะมาก ช่วงแรกๆ นี่เราพูดแทบไม่ได้เลย ใช้บ่อยๆ คือ はい、分かりました。・すみません 分かりません。คือก็พอฟังออก แต่แบบพูดไม่เป็น พูดไม่คล่อง ก็ใช้เวลาปรับอยู่พอสมควรก่อนจะพูดรู้เรื่อง ในเรื่องวัฒนธรรมของคนแต่ละชาติที่อยู่ด้วยกันนั้น บอกเลยว่าต้องทำใจ เอาจริงๆ เราฟังภาษาอื่นเราก็รู้สึกหนวกหู ไม่ชิน คนต่างชาติอื่นก็คงจะคิดเหมือนๆ กับเรา
นอกจากการเรียนแล้ว ที่โรงเรียนก็จะมีกิจกรรมเยอะมากๆ เช่น 入学式 พิธีเข้าเรียนสำหรับนักเรียนใหม่, スピーチ大会 ประกวดพูดสุนทรพจน์, スポーツ大会 แข่งกีฬาสี, 遠足 ทัศนศึกษา, クリスマスパーテイー คริสต์มาส, 卒業旅行 ไปเที่ยวก่อนเรียนจบ, 卒業発表 พรีเซนต์จบ, 卒業式 พิธีจบการศึกษา ฯลฯ
การทำงานพิเศษ アルバイト・バイト
ที่ีญี่ปุ่น การทำงานพิเศษ หรือไบท์ สำหรับนักเรียนเป็นเรื่องปกติมาก แน่นอนว่าเราเองก็ทำงานพิเศษ ตามกฎหมายวีซ่านักเรียนสามารถทำงานพิเศษได้ไม่เกิน 28 ชั่วโมง/สัปดาห์ หรือ 112 ชั่วโมง/เดือน แต่ถ้าเป็นช่วงปิดเทอมสามารถทำได้ไม่เกิน 40 ชั่วโมง/สัปดาห์ ตามโรงเรียนจะมีแนะนำงานพิเศษให้ ถ้างานง่ายๆ ที่ไม่จำเป็นต้องได้ภาษาญี่ปุ่นมาก ก็เป็นงาน ทำเบ็นโตะ (ทำข้าวกล่อง), งานส่งของ พอพูดได้ก็สามารถทำงานร้านอาหาร, มินิมาร์ท โดยค่าจ้างต่อชั่วโมงโดยทั่วไป 850-1,400 เยน++ งานที่เราทำเป็นงาน 介護(かいご)ดูแลผู้สูงอายุ เราทำวันละ 4 ชั่วโมง ค่าจ้าง 900 เยน/ชั่วโมง เดือนนึงได้เงินประมาณ 100,000 เยน++ คือได้เงินตรงนี้ไปเป็นค่าใช้จ่ายรายเดือน
เปิดบัญชีธนาคารที่ญี่ปุ่น
อันนี้มีความจำเป็นมาก เพราะตอนทำงานพิเศษจะเอาเงินเข้าบัญชีที่นี่ ไม่มีค่าเปิด แต่ต้องฝากเงินอย่างน้อย 100 เยน (หรือแล้วแต่ธนาคารก็ไม่รู้) แนะนำว่าให้คนญี่ปุ่นพาไปทำค่ะ เพราะว่าตอนที่มาช่วงแรก ทั้งฟังทั้งพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ที่ธนาคาร จะมีพนักงานธนาคารค่อยๆ อธิบายให้เราเข้าใจ
สอบวัดระดับภาษา JLPT
บอกเลยว่าจำเป็น ควรสอบให้ผ่าน อย่างน้อยระดับ N3 ในการใช้ทำงานพิเศษบางอย่าง ใช้เป็นเอกสารตอนเรียนต่อ 専門学校 เซมมง โรงเรียนเฉพาะทางที่ญี่ปุ่น (เรียนสองปี) และ N2 สำหรับเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่น และทำงานที่ญี่ปุ่น โดยที่ญี่ปุ่นค่าสมัครสอบ 5,500 เยน วันสอบวันเดียวกับที่ไทย ปีนึกมีสอบ 2 ครั้ง
เพื่อนคนญี่ปุ่น?
จะบอกว่า มาเรียนภาษาที่ญี่ปุ่น นี่คือไม่มีเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่นนะ เพราะคนที่เรียนภาษาญี่ปุ่นกับเราก็เป็นชาวต่างชาติ ส่วนใหญ่ก็คือคนเวียดนาม, เนปาล, ฟิลิปปินส์, มองโกเลีย, จีน, พม่า, ฮ่องกง, เกาหลี ฯลฯ คือคนไทยน้อยมาก ถ้ามาคนเดียว อาจจะเป็นนักเรียนคนเดียวในโรงเรียนก็ได้ ครูที่สอนจะเป็นคนญี่ปุ่น ถ้าถามว่าหาเพื่อนญี่ปุ่นได้จากไหน ถ้าเอาแบบง่ายๆ เลย ก็คือเพื่อนที่ทำงานพิเศษ ถ้าแบบมินิมาร์ท นักเรียนญี่ปุ่นก็จะทำไบท์เยอะ แต่งานของเราไม่มีวัยรุ่นทำงานเลย ก็เลยมีเพื่อนร่วมงานแบบอายุเยอะๆ หน่อย ทั้งนี้ทั้งนั้นประเด็นนี้ขึ้นอยู่กับเราเลย ว่าจะออกไปหาเพื่อนคนญี่ปุ่นหรือไม่
ชีวิตที่ญี่ปุ่น
เราใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นมาหนึ่งปีกับอีกสี่เดือนนิดๆ คือรู้สึกว่าเวลาผ่านไปไวมาก ช่วงแรกที่มาคือเหนื่อยมาก เหนื่อยทุกวัน เราต้องตื่นเช้า นั่งรถไฟไปโรงเรียน ใช้เวลาประมาณ 40 นาที เรียนเสร็จก็นั่งรถไฟกลับ ไปทำงานต่ออีก 4 ชั่วโมง เลิกงานก็หกโมงเย็นกว่าแล้ว อยู่ที่นั่นเราใช้จักรยานเป็นหลัก ก็ปั่นไปซื้อของ ตอนเย็น ทำอาหาร กินข้าว อาบน้ำเสร็จ ก็มาทำการบ้าน ช่วงเทอมแรก ครูให้การบ้านเยอะมาก หนักมาก คือโหมดบังคับว่าต้องเรียน พอเรียนไปก็จะมีสอบ แบ่งเกรดตามมาตรฐาน แล้วคือที่ญี่ปุ่นวันหยุดเยอะมากค่ะ นอกจากวันหยุดราชการแล้ว ก็จะมีหยุดช่วงปิดเทอม ทุกฤดู ประมาณช่วงละสองสัปดาห์ ช่วงที่หยุดเราก็ไม่ได้ไปไหนเป็นพิเศษ ทำงานพิเศษ เก็บเงิน เรื่องอากาศ ที่ญี่ปุ่นหน้าหนาวคือหนาวมาก แล้วคนที่อยู่เมืองไทยมาตั้งแต่เกิดอย่างเราคือทนไม่ไหว ก็ใส่เสื้อผ้าหนาๆ เอา นอกจากหนาวแล้ว ก็คือฝน ที่ญี่ปุ่นไม่มีหน้าฝน แต่ฝนก็จะตกเรื่อยๆ แบบ วันเว้นวัน วันเว้นสามสี่วัน หรือสามสี่วันติดกันก็มี ว่าฝนลำบากแล้ว เราว่าหนักกว่าฝนคือวันที่ลมแรง ปั่นจักรยานรู้สึกเหมือนต้องเพิ่มแรงเป็นสองเท่า ช่วงวันหยุดก็มีไปเที่ยวบ้าง ส่วนใหญ่ก็ไป Tokyo อย่าง Shibuya, Harajuku ถ้ามีเวลามากๆ ก็แวะไปเมืองอื่นๆ บ้าง
(มีต่อ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้