ชีวิตต้องดำเนินต่อไปครับ...ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ลิเวอร์พูล เตะ กับ แอต.มาดริด แบบไม่เลื่อนเกม ถ้าเทียบสัดส่วนตัวเลขก่อนลงสนามเรื่องโควิด 19
อังกฤษตรวจ 25,000 คน เจอติดเชื้อ 456 คน ตาย 6 สเปน หนักกว่าแพร่ระบาดจนมีผู้ติดเชื้อ.... 1695 ราย
เกมคู่นี้ไม่ใช่พื้นที่เสี่ยงเพราะอังกฤษยังอยู่ระยะ 1 "ควบคุมได้" ทุกอย่างดำเนินไปตามวิถีของสังคม ณ จุดนี้
เมื่อแข่งได้...ลุ้นแรกโล่งอกคือแข่งได้ ลุ้นต่อมาคือสกอร์ 0-1 ที่แพ้มา
พร้อมกับการเล่นแบบเขี้ยวลากดิน ตีหัวเข้าบ้านของ ดีเอโก ซิเมโอเน นั้น เจเค กับเด็กหงส์ จะไหวมั้ย
ก่อนเกมนัดนี้มันมีสองประเด็นคือ
1. Eurpoean Nights จะใช้ได้มั้ยที่แอนฟิลด์
เมื่อแอต.มาดริด คือทีมที่เน้นเกมรับเป็นหลัก แตกต่างจากบาร์เซโลนาเมื่อปีที่แล้วที่ไม่กลัวลิเวอร์พูล มาบุก ทั้งที่นำ 3-0 เล่นแบบไหนก็เข้ารอบ
เพราะนำซะขนาดนั้น แค่ยิงหนึ่งลูกก็ได้เปรียบบานตะไท ข้อแรกนี้..บอลสองสไตล์ที่เล่นในแอนฟิลด
ถ้าเจอแบบบาร์ซ่า มันง่ายกว่าเพราะบอลบุก เท่ากับเกมรับเปิดหลังไม่แน่น .....แต่ถ้ามาอุด เน้นรถบัส บอลแบบนี้เล่นยาก
2. ประเด็นสองคือ เจเค จะหาวิธีการเจาะพวกนี้อย่างไร
เจอในพรีเมียร์ลีกมากมายหลายทีมอย่างน้อย 15 ทีม แต่เกมรับแบบพรีเมียร์ลีกกับเกมรับแบบ ยุโรป มันก็ต่างกัน
เห็นจากเกมแรกที่ ว่านต๋า แล้ว คงนึกภาพออกว่ามันไม่เหมือน
รับแบบแอต.มาดริด กับ บอร์นมัธ ยังไงก็ต่างกัน เทคนิค, แทกติก, ประสบการณ์นักเตะ ความเขี้ยวลากดิน
นี่คือปัญหาของลิเวอร์พูลที่จะต้องยิง 2-0 หรือสกอร์ ที่ไม่เสียเปรียบเช่น 2-0,3-0,3-1 เพียงแต่เด็กหงส์ และแฟนหงส์ รับรู้แค่เพียงว่า "ทีนี่ แอนฟิลด์"
มีเวลา 90 นาที และฟุตบอลมันก็ต้องสู้ละครับ โจทย์มาแบบไหนมันต้องสู้ มันต้องชนะ ถ้าอยากเข้ารอบ
ฟอร์ม 5 เกมหลังแย่กว่า 25 เกมก่อนหน้านี้ คือแพ้ไป 3 เกมง่ายๆ
พร้อมส่อแววว่าฟอร์มตก หลุดฟอร์ม จะชนะแอต.มาดริด ยังไง วัดทางสถิติบันทึกเอาไว้นั้นน่าสนใจไม่ใช่น้อยๆ
เจเค ยังไม่เคยแพ้ในแอนฟิลด์ เมื่อเล่นเกมยุโรป ชนะ 11 เสมอ 4
7 จาก 13 นัด ที่แอต.มาดริด เยือนแผ่นดินอังกฤษนั้น พวกเขา....ชนะ 2 เสมอ7 แพ้ 4 สถิตินี้คือเข้ารอบ 75% นะครับ...
นั่นคือภาพกว้างๆก่อนเกม...คราวนี้มาที่เรื่องฟุตบอลในสนาม ลิเวอร์พูลไม่ชนะทีมที่เล่นระบบ 4-4-2 มาสองทีมในยุโรป
หนึ่งคือนาโปลี และ สองคือ แอต.มาดริด นอกจากจะไม่ชนะแล้วยังแพ้เลย....
ทั้งสองเกม แท็กติกแบบนี้ นอกจากประสบการณ์นักเตะแล้วแทกติกมันคืออะไร คำตอบคือไม่มีอะไรมากแต่พวกเขาทำได้กับการเล่น 4-4-2
เมื่อตั้งรับหงส์แดง ปีกสองข้างซ้ายขวาลงมาช่วยแบบนั่นคือรับเท่ากับ 6 คน เน้นการปิดเกมด้านกว้าง...
เพื่อ..ลดประสิทธิภาพเกมรุกด้านซ้ายและขวาของหงส์แดงลง ทั้งแบ็กสองข้าง ร็อบโบ้, เทรนต์ และตัวปีกทำสองฝั่ง
ถ้าลดตรงนี้ได้ที่เหลือคือหงส์จะต้องเล่นข้างใน...ซึ่งไม่ใช่จุดแข็ง นี่คือสิ่งที่เชื่อว่า เจเค ต้องปรับปรุงในซีซั่นหน้า
เพราะเมื่อต้องเข้าไปเล่นหน้าเขตโทษ หน้าไลน์กองหลัง เล่นตามช่อง เล่นเพื่อโจมตีโซนรับตรงนี้ ให้แตก ....ยังไม่เนี้ยบ
ถ้าหากต้องนี้ทำได้...เนียน และดีขึ้น คราวนี่แหละใครก็ต้านยาก เพราะป้องกันทางไหนก็ไม่รอด ป้องกันทางไหนก็โดน
บังทางด้านข้าง..ก็เจอเจาะตรงกลาง หน้าเขตโทษ ปั่นป่วนไปหมด....
อันนี้ไม่นับการรุกแบบอื่นๆ เช่น ยิงไกล, เตะมุม, ฟรีคิก นะครับ ดังนั้นประเด็นปัญหาของหงส์แดงเกมรับมือแอต.มาดริด แบบต้องชนะ
เจเค จะทำอย่างไรในสภาพที่ฟอร์มเกมรุกกำลังดร็อปลงไปจากเดิม โดยเฉพาะเกมที่แพ้ แอต.มาดริด 0-1 นั้น พวกเขายิงไม่เข้ากรอบเลยสักครั้งเดียว
นั่นคือเกมที่สองภายใต้การทำงานของ เจเค ในรอบ 251 เกม ที่ยิงไม่เข้ากรอบ!!! ยิงทั้งเกม 8 ครั้งเข้ากรอบ 0 ครั้ง
เจเค ส่ง เฮนโด ลุย ปรับสองคนเลือก เฮนโด เล่นตัวจริง ฟาบินโญ สำรอง เจมส์ มิลเนอร์สำรอง และกลับมาใช้ ร็อบโบ้ ที่พักเต็มเกม
นอกนั้นชุดเดิม ...ประตูยังเป็น อาเดรียน หน้าสามคนชุดเดิม
ตราหมี...4-4-2 เหมือนเดิม ดีเอโก ซิเมโอเน่ จัดหมากแท็กติกเกมนี้คือแบ็กโฟร์ ในระบบ 4-4-2
ตัวผู้เล่นนั้นปรับ นัดนี้ ได้ เชา เฟลิกส์ กองหน้าดาวรุ่งลงมา จับคู่กับ ดีเอโก คอสต้า ส่วน โมราต้า ตัวสำรอง
แบ็กขวา เวอร์ซัลโก สำรอง ส่ง ทริพเพียร์ ลงเล่น แดนกลาง โกเก, ปาร์ตี, ซาอูล และ คอร์เรรอา หน้า เฟลิกส์ กับ คอสต้า
ดูแล้วแนวทางการเล่นเหมือนเดิม แค่ขยับ คอร์เรอา ไปยืนปีกขวาเท่านั้น ประเด็นการจัดตัวที่น่าสนใจคือ....
คีแรน ทริพเพียร์ อดีตแบกขวาสเปอร์ส...หายไปห้านัด พึ่งกลับมาลงนัดที่สามติดต่อกัน.......
เชา เฟลิกส์ ดาวรุ่งร้อยล้าน...เล่น 17 นัดจาก 27 นัด หายไปสองช่วง...ช่วงแรกสี่นัดเจ็บข้อเท้า
ช่วงสองหายไปสามนัดเจ็บขา..พึ่งกลับมาเล่นสามนัดล่าสุด ในฐานะ "หน้าต่ำ" ....ซื้อมาใช้ยังไม่คุ้ม ยิง 4 จ่าย 1 เท่านั้น
Game Plan.....
การต่อเวลาพิเศษยังเป็นสถิติที่หลอนเด็กหงส์ต่อไป ครั้งล่าสุด ที่ต่อเวลาแล้วตกรอบคือปี 2008... แพ้ เชลซี
เที่ยวนี้แอตเลติโก มาดริด มันน่าเสียดาย...ฟุตบอลที่วางแผนมาเล่นแล้ว ทำได้ดีกว่า
.....เพียงแต่
1. จังหวะจบสกอร์ ขาดความเฉียบ ใช้โอกาสเปลือง ยิง 34 ครั้ง โอบลัค เซฟ 8 ครั้ง
2. โดนลงโทษด้วยความผิดพลาดง่ายๆ ของอาเดรียน รวมทั้งจังหวะเขี้ยวลากดิน สวนกลับ
อันเป็นประตูที่ พวกเขารอ แล้วมันเกิดขึ้นในช่วงต่อเวลาทั้งสิ้น
คงไม่มีอะไรมากไปกว่าอีก "บทเรียน" ของเด็กหงส์ เมื่อต้องเล่นบอลสโมสรยุโรปกับพวกเขี้ยวลากดินแบบนี้
------------------------------------------------------------------------------------
🧐🧐 บทเรียน...บอลยุโรป 😢