7 ปีกับประสบการณ์การเดินทางบนเส้นทางของเสียงดนตรี กับสมาชิก 7 คน คงปฏิเสธไม่ได้ว่าตั้งแต่อัลบั้มแรกจนถึงอัลบั้มล่าสุด BTS เป็นวงที่วางแนวคิดในแต่ละอัลบั้มได้อย่างแข็งแรง ไม่ใช่เฉพาะเพลงหลักเท่านั้น แต่เพลงอื่นๆในอัลบั้มก็ยังคงอยู่ในแกนหลักเดียวกับเรื่องราวที่ต้องการถ่ายทอดออกมาในแต่ละช่วงวัยของการเติบโตนั้นด้วย
Map of the soul : 7 ก็เช่นกัน อันแน่นไปด้วย 14 เพลงใหม่ ที่บอกเล่าเรื่องราวของการมองย้อนกลับไป 7 ปีที่ผ่านมา เพลงในอัลบั้มนี้จึงเหมือนเป็นการนั่งฟังเรื่องราวต่างๆของสมาชิกในวง ที่มีส่วนในการพูดถึงเรื่องราวของแต่ละคน ความรู้สึกเหมือนนั่งฟังเพื่อนเล่าเรื่องด้วยบรรยากาศผ่อนคลาย ไม่ได้ดึงเครียดหรือดำดิ่งเหมือนอัลบั้มที่ผ่านมา จุดเริ่มต้นของอัลบั้มเลยน่าสนใจตรงที่ตัววง ได้นำวัตถุดิบเดิมที่เคยมีอยู่แล้ว ทั้งประสบการณ์ที่ผ่านมา แนวคิดในเรื่องการทำงานและการใช้ชีวิต จับมาวาง จากนั้นก็มองย้อนกลับไป ทำให้หลายเพลงมีความรู้สึกเชื่อมโยงไปกับเพลงเก่าๆของวง
อาจจะพูดถึงได้ไม่หมดทุกเพลง เลยขอพูดถึงเพลงที่เรารู้สึกสนใจในภาพรวมของ Map of the soul : 7 นะคะ
- Interlude : Shadow - ชูก้าเป็นอีกหนึ่งคนที่มีความสามารถในการสร้างโมโลดี้ ให้บาดลึก และดึงคนฟังเข้าไปอยู่กับตัวเพลงได้อย่างไม่รู้ตัว ดนตรีที่อัดแน่นไปด้วยไปด้วยอารมณ์และเมโลดี้ที่สวยงาม แต่ซ่อนไปด้วยความเจ็บปวดและความกดดัน ความกลัวที่มีอยู่รอบๆตัว ที่ต้องตื่นขึ้นมาเจอในทุกวันของการก้าวเข้ามาเป็นศิลปิน ได้แสดงออกมาในเพลงนี้ทั้งหมดแล้ว
- Black Swan - พอเราได้ฟังครบทุกเพลงในอัลบั้มนี้แล้ว กลายเป็นว่าเพลงนี้โดดเด่นที่สุดสำหรับเรา ทั้งดนตรีที่แตกต่างออกไป เป็นการฟังเพลงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอัดอั้นตลอดระยะเวลาของการฟัง เหมือนเรานั่งอยู่กับที่ แต่มีกระสุนที่ยิงเข้ามาที่ตัวเรารัวๆ โดยที่เราไม่สามารถขยับหรือหนีไปไหนได้ อารมณ์ของเพลงพุ่งออกมาโดดเด่นกว่าทุกเพลง ยิ่งบวกกับครั้งแรกที่ได้ดูในฉบับของ Art Film performed แล้ว เพลงนี้เรียกได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเด่นอันนึงของวงเลยก็ว่าได้
- My time - เป็นเพลงที่บอกเล่าเรื่องราวของการเข้ามาเป็นศิลปินตั้งแต่อายุยังน้อย การมีชีวิตที่แตกต่างกับเพื่อนวัยเดียวกัน ตั้งคำถามถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น โอบกอดและปลอบประโลมตัวเองเหมือนได้อ่านไดอารี่ที่น้องจดบันทึกมาตลอดระยะการทำงาน การไหลลื่นของการร้องเลยเหมือนเป็นบันทึกที่จองกุกต้องการจะแชร์ความรู้สึกของตัวเองเข้ากับคนฟัง การใช้เสียง จังหวะการลงคำต่างๆ ทักษะการร้องในเพลงนี้เข้ากับเนื้อเสียงของจองกุกมาก ทั้งลูกเอื้อนต่างๆในเพลง เป็นคนที่เสียงเหมาะกับการร้อง R&B ทั้งร้องและแรปในเพลงนี้ น้องทำได้ดีทั้งคู่
- 00:00 (Zero O’Clock) - แค่ฟังเมโลดี้ก็พอเดาได้แล้วว่าเป็นเพลงที่ให้กำลังใจ ฟังแล้วให้ความรู้สึกอุ่นๆ เหมือนตอนที่ฟัง Magic Shop แต่ 00:00จะให้ความรู้สึกที่สดใสกว่า ยิ่งทราบความหมายของเพลงคือเหมาะกับให้กำลังใจมนุษย์วัยทำงานอย่างเราได้เป็นอย่างดี ความรู้สึกเหมือนฉากหลังที่เราเลิกงาน กำลังเดินทางกลับบ้าน ได้ยินเสียงแตรรถวุ่นวายบนถนน ก้าวขาเดินด้วยความหนักอึ้ง อยู่ๆก็มีเพื่อนมาแตะไหล่แล้วบอกว่า ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้น ฟังแล้วให้ความรู้สึกประมาณนี้เลย
ส่วนตัวเราชอบท่อนบริดจ์ของเพลงนี้มากเลยค่ะ ที่เปิดด้วยจีมิน วี แล้วต่อด้วยจองกุก ปิดท้ายด้วยเสียงประสานของจิน หลายเพลงของบังทันทั้งในอัลบั้มนี้และอัลบั้มก่อนๆ ทำท่อนบริดจ์ได้ดี ไม่สะดุด ทำให้การฟังเพลงรู้สึกสนุกขึ้น
สำหรับเราแล้วโดยรวมเพลงในอัลบั้มนี้ สิ่งที่โดดเด่นขึ้นมา และยังไม่ค่อยเจอในเพลงก่อนหน้าของบังทัน คือเรื่องของเสียงประสาน หลายเพลงเลยที่ใช้เสียงคอรัสเพื่อช่วยส่งอารมณ์ของเพลงให้ดีขึ้น
ถึงแม้เพลงในอัลบั้มจะไม่ได้จำกัดความว่าเป็นเพลงแนวไหน หรือมีการทำเพลงให้ดนตรีออกมาตามสมัยนิยมอย่างไร แต่สิ่งที่ยังคงความเป็นบังทันอยู่ก็คือการถ่ายทอดเรื่องราวให้คนฟังได้เข้าถึงได้ง่าย จริงใจและซื่อตรงในการเล่าเรื่องผ่านเสียงเพลง แม้ตัวบังทันเองจะเน้นเรื่องเพลงเป็นหลัก แต่จะปฎิเสธไม่ได้เลยว่าการเปิดกว้างทางความคิด เปิดรับการทำงานกับผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและที่มา ที่ได้เห็นจากคลิปเบื้องหลัง 'ON' Commentary Film : Dialogue ยิ่งตอกย้ำว่าเสียงเพลง ไม่มีกำแพงของภาษาได้อย่างดีที่สุด
[BTS] Map of the soul 7 : การเดินทาง 7 ปี บนเส้นทางของเสียงเพลง
Map of the soul : 7 ก็เช่นกัน อันแน่นไปด้วย 14 เพลงใหม่ ที่บอกเล่าเรื่องราวของการมองย้อนกลับไป 7 ปีที่ผ่านมา เพลงในอัลบั้มนี้จึงเหมือนเป็นการนั่งฟังเรื่องราวต่างๆของสมาชิกในวง ที่มีส่วนในการพูดถึงเรื่องราวของแต่ละคน ความรู้สึกเหมือนนั่งฟังเพื่อนเล่าเรื่องด้วยบรรยากาศผ่อนคลาย ไม่ได้ดึงเครียดหรือดำดิ่งเหมือนอัลบั้มที่ผ่านมา จุดเริ่มต้นของอัลบั้มเลยน่าสนใจตรงที่ตัววง ได้นำวัตถุดิบเดิมที่เคยมีอยู่แล้ว ทั้งประสบการณ์ที่ผ่านมา แนวคิดในเรื่องการทำงานและการใช้ชีวิต จับมาวาง จากนั้นก็มองย้อนกลับไป ทำให้หลายเพลงมีความรู้สึกเชื่อมโยงไปกับเพลงเก่าๆของวง
อาจจะพูดถึงได้ไม่หมดทุกเพลง เลยขอพูดถึงเพลงที่เรารู้สึกสนใจในภาพรวมของ Map of the soul : 7 นะคะ
- Interlude : Shadow - ชูก้าเป็นอีกหนึ่งคนที่มีความสามารถในการสร้างโมโลดี้ ให้บาดลึก และดึงคนฟังเข้าไปอยู่กับตัวเพลงได้อย่างไม่รู้ตัว ดนตรีที่อัดแน่นไปด้วยไปด้วยอารมณ์และเมโลดี้ที่สวยงาม แต่ซ่อนไปด้วยความเจ็บปวดและความกดดัน ความกลัวที่มีอยู่รอบๆตัว ที่ต้องตื่นขึ้นมาเจอในทุกวันของการก้าวเข้ามาเป็นศิลปิน ได้แสดงออกมาในเพลงนี้ทั้งหมดแล้ว
- Black Swan - พอเราได้ฟังครบทุกเพลงในอัลบั้มนี้แล้ว กลายเป็นว่าเพลงนี้โดดเด่นที่สุดสำหรับเรา ทั้งดนตรีที่แตกต่างออกไป เป็นการฟังเพลงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอัดอั้นตลอดระยะเวลาของการฟัง เหมือนเรานั่งอยู่กับที่ แต่มีกระสุนที่ยิงเข้ามาที่ตัวเรารัวๆ โดยที่เราไม่สามารถขยับหรือหนีไปไหนได้ อารมณ์ของเพลงพุ่งออกมาโดดเด่นกว่าทุกเพลง ยิ่งบวกกับครั้งแรกที่ได้ดูในฉบับของ Art Film performed แล้ว เพลงนี้เรียกได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเด่นอันนึงของวงเลยก็ว่าได้
- My time - เป็นเพลงที่บอกเล่าเรื่องราวของการเข้ามาเป็นศิลปินตั้งแต่อายุยังน้อย การมีชีวิตที่แตกต่างกับเพื่อนวัยเดียวกัน ตั้งคำถามถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น โอบกอดและปลอบประโลมตัวเองเหมือนได้อ่านไดอารี่ที่น้องจดบันทึกมาตลอดระยะการทำงาน การไหลลื่นของการร้องเลยเหมือนเป็นบันทึกที่จองกุกต้องการจะแชร์ความรู้สึกของตัวเองเข้ากับคนฟัง การใช้เสียง จังหวะการลงคำต่างๆ ทักษะการร้องในเพลงนี้เข้ากับเนื้อเสียงของจองกุกมาก ทั้งลูกเอื้อนต่างๆในเพลง เป็นคนที่เสียงเหมาะกับการร้อง R&B ทั้งร้องและแรปในเพลงนี้ น้องทำได้ดีทั้งคู่
- 00:00 (Zero O’Clock) - แค่ฟังเมโลดี้ก็พอเดาได้แล้วว่าเป็นเพลงที่ให้กำลังใจ ฟังแล้วให้ความรู้สึกอุ่นๆ เหมือนตอนที่ฟัง Magic Shop แต่ 00:00จะให้ความรู้สึกที่สดใสกว่า ยิ่งทราบความหมายของเพลงคือเหมาะกับให้กำลังใจมนุษย์วัยทำงานอย่างเราได้เป็นอย่างดี ความรู้สึกเหมือนฉากหลังที่เราเลิกงาน กำลังเดินทางกลับบ้าน ได้ยินเสียงแตรรถวุ่นวายบนถนน ก้าวขาเดินด้วยความหนักอึ้ง อยู่ๆก็มีเพื่อนมาแตะไหล่แล้วบอกว่า ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้น ฟังแล้วให้ความรู้สึกประมาณนี้เลย
ส่วนตัวเราชอบท่อนบริดจ์ของเพลงนี้มากเลยค่ะ ที่เปิดด้วยจีมิน วี แล้วต่อด้วยจองกุก ปิดท้ายด้วยเสียงประสานของจิน หลายเพลงของบังทันทั้งในอัลบั้มนี้และอัลบั้มก่อนๆ ทำท่อนบริดจ์ได้ดี ไม่สะดุด ทำให้การฟังเพลงรู้สึกสนุกขึ้น
สำหรับเราแล้วโดยรวมเพลงในอัลบั้มนี้ สิ่งที่โดดเด่นขึ้นมา และยังไม่ค่อยเจอในเพลงก่อนหน้าของบังทัน คือเรื่องของเสียงประสาน หลายเพลงเลยที่ใช้เสียงคอรัสเพื่อช่วยส่งอารมณ์ของเพลงให้ดีขึ้น
ถึงแม้เพลงในอัลบั้มจะไม่ได้จำกัดความว่าเป็นเพลงแนวไหน หรือมีการทำเพลงให้ดนตรีออกมาตามสมัยนิยมอย่างไร แต่สิ่งที่ยังคงความเป็นบังทันอยู่ก็คือการถ่ายทอดเรื่องราวให้คนฟังได้เข้าถึงได้ง่าย จริงใจและซื่อตรงในการเล่าเรื่องผ่านเสียงเพลง แม้ตัวบังทันเองจะเน้นเรื่องเพลงเป็นหลัก แต่จะปฎิเสธไม่ได้เลยว่าการเปิดกว้างทางความคิด เปิดรับการทำงานกับผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและที่มา ที่ได้เห็นจากคลิปเบื้องหลัง 'ON' Commentary Film : Dialogue ยิ่งตอกย้ำว่าเสียงเพลง ไม่มีกำแพงของภาษาได้อย่างดีที่สุด