เที่ยวเยอรมนี 14 วัน 11 เมือง ตะลุยตลาดคริสต์มาส เก็บ Landmark ประจำเมือง

สวัสดีค่ะทุกคน เนื่องจากภาวะการติดต่อของไวรัสโควิด-19 ทำให้ปีนี้เราต้องยกเลิกทริปทั้งหมด สำหรับคนชอบเที่ยวมันช่างเป็นปีที่ทรมารจริงๆ (คิดไปล่วงหน้าแล้ว55) เราเลยคิดว่าน่าจะใช้เวลาว่างๆที่ไม้ได้วางแผนเที่ยวให้เป็นประโยชน์ เลยอยากจะแชร์ทริปที่ผ่านมาของเราให้ทุกคนได้อ่านกันค่ะ กระทู้ที่แล้วของเราพาทุกคนไปเที่ยวอินเดียกันยาวๆ ลำบากๆ แต่ทริปนี้เราจะพาทุกคนไปที่หนาวๆ แต่ไม่เหงาแน่นอนค่ะ ที่ประเทศเยอรมนี เนื่องจาก จขกท เริ่มเรียนภาษาเยอรมันเลยอยากจะลองที่เรียนมา ทริปนี้เราเริ่มเที่ยวกันจากเหนือจดใต้เลย โดยแพลนคร่าวๆของเราที่จะเมืองต่างๆตามนี้ค่ะ
1. เริ่มกันที่ Berlin เมืองหลวงของเยอรมนี
2. Postdam, Brandenburg เมืองเล็กๆที่ห้ามพลาด ไม่ไกลจาก Berlin
3. Dresden, Saxony เมืองเก่าแก่ ริมฝั่งแม่น้ำ Elbe
และอีก 7 เมืองในแค้วน Bavaria
4. Bamberg เมืองนอกสายตา แต่เรากลับรักที่สุด
5. Rothenburg ob der Tauber เมืองน่ารักบนถนนสายโรแมนติก
6. Würzburg หยุดแวะดูปราสาทบนเขายามค่ำคืน
7. Nürnberg เมืองใหญ่อันดับสองในแค้วนบาวาเรีย
8. München เมืองใหญ่ของแคว้นบาวาเรีย 
9. Füssen จุดหมายหลักคือปราสาทแห่งเทพนิยาย 
10. Garmisch-Partenkirchen เมืองแห่งยอดเขาที่สูงที่สุดในเยอรมนี
11. Mittenwald เมืองน่ารัก สวยๆแบบไม่ต้องใส่ filter
จากกระทู้อื่นๆจะเป็นกระทู้แนวแนะนำการเดินทาง หรือสถานที่เที่ยว แต่ จขกท เป็นคนที่เหมือนจะความจำสั้น กระทู้นี้เลยจะเป็นไปแนวรีวิว อธิบาย Landmark สถานที่ห้ามพลาดในเมืองต่างๆ และที่พิเศษคือเราไปเที่ยวในเดือนธันวาคม ซึ่งอีเว้นที่สำคัญของเดือนนี้แน่นอนเลยก็คือ เทศกาลคริสต์มาส!!! และเมืองเราได้เดินทางมาที่ประเทศเยอรมนีในช่วงนี้ของปีจึงพลาดไม่ได้เลยที่จะต้องตะเวนไปในตลาดคริสต์มาสตามเมืองต่างๆ ที่จะสวยและมีเอกลักษณ์มากๆ ใครที่มีแพลนจะเที่ยวในเดือนธันวาคมก็ตามมากันได้เลยค่ะ
เริ่มกันที่ Berlin และ Landmark สำคัญ "Brandenburger Tor"
เราจะเริ่มเที่ยวกันที่เมือง Berlin เมืองหลวงของประเทศเยอรมนี ซึ่งจัดว่าเป็นเมืองใหญ่ที่คนเยอะมากๆ แต่ถึงอย่างนั้นการเดินทางท่องเที่ยวรอบเมืองกับง่ายและสะดวกมากค่ะ เมื่อเราบินไปถึงสิ่งแรกที่ต้องทำหลังจากเดินทางยาวมาหลายชั่วโมงคือการมุ่งหน้าไปที่ตลาดคริสต์มาสของเมืองเพื่อหาของขึ้นชื่อกินค่ะ ตามไปกันเลยกับตลาดแรกของ Berlin ที่ Alexanderplatz ข้อสังเกตุของการเที่ยวเยอรมันเนี่ย หากเราเจอคำว่า platz ให้เราคิดไว้เลยว่าจุดนั้นจะเป็นจตุรัสกลางเมืองที่มักใช้จัดงานเทศกาลค่ะ ซึ่งนอกจากเราจะมาหาของอร่อยกินแล้ว ยังมี Landmark สำคัญอยู่รอบๆจตุรัสด้วย
สถานี Alexanderplatz ลงมาก็ถึงจตุรัสกลางเมืองเลย
อาหารขึ้นชื่อของ Berlin คือ "Currywurst" ไส้กรอกปรุงรสด้วยผงกะหรี่
จัดไปเลย "Gluwein" ไวน์ร้อนที่ขาดไม่ได้เลยในงานเทศกาล หากใครอยากเก็บแก้วเป็นที่ระลึกก็ทำได้เลยค่ะ เพราะเค้าคิดว่ามัดจำแก้วแล้ว หากใครไม่เก็บเมื่อคืนแก้วจะได้เงินส่วนนั้นคืนค่ะ
ขาดไม่ได้เลยกับตู้เกมส์ กินเงินเก่งไม่แพ้ตู้ของเมืองไทยเลย 55
เมื่อมองขึ้นไปจะเห็น Fernsehturm หอส่งสัญญาณได้แต่ไกลเลย เก็บภาพร่วมเฟรมกับ World Time Clock ซะหน่อย มีเวลาของประเทศไทยด้วยนะ
ท้องฟ้าเริ่มมืดแต่ตลาดกับมีสีสันด้วยการประดับไฟ
กินของคาวแล้วเราจะขาดของหวานไม่ได้ ทริปนี้น้ำหนักขึ้นจากการกินสตอเบอรี่ชุบช้อกโกแลตเนี่ยแหละค่ะ 55
เราจะไม่หยุด เดินไปทางไหนก็มีของกินเล่นเต็มไปหมด
นอกจากไวน์ร้อนก็เบียร์เนี่ยแหละที่เราหาดื่มได้ง่ายๆในงาน ซึ่งจะต่างกันไปในแต่ละเมืองด้วย คนไหนชอบกินเบียร์ก็บอกได้เลยว่ามาเยอรมนีเนี่ยเพลิดเพลินกันแน่นอน
นอกจะเดินกินกันได้เรื่อยๆแล้วยังมีกิจกรรมสนุกๆให้ทำในงานเทศกาลด้วย เนื่องจากหนาวมากๆ แตะละเมืองจะเนรมิตน้ำพุของเมืองให้กลายเป็นลายสเกต เล่นเผาผลาญหลังอาหารก็ดีค่ะ
เนื่องจากเราให้ Berlin เป็นเมืองหลักๆของทริป เราจึงพักกันที่เมืองนี้เป็นเวลา 4 คืน แล้วนั่งรถออกไปเที่ยวตามเมืองอื่นๆในแต่ละวัน เราบอกเลยว่าที่เที่ยวของเมืองนี้มีเยอะมากๆ โดยเฉพาะสถานที่เที่ยวสำคัญทางประวัติศาสตร์ และพิพิธภัณฑ์อีกหลายที่ในเมือง เราเป็นคนชอบเข้าพิพิธภัณฑ์มากเลยใช้เวลา ๅ วันเต็มๆที่ Museum Island เกาะกลางแม่น้ำ Spree ซึ่งในเกาะนี้มีพิพิธภัณฑ์ทั้งหมด 5 ที่ ตัว จขกท เองเก็บได้เพียง 3 ที่เท่านั้น เพราะแต่ละที่มีของน่าสนใจให้ดูเยอะมากจริงๆ อีกทั้งวันเสาร์อาทิตย์มีคนเยอะมากๆ ทางพิพิธภัณฑ์ก็มีการจัดคิวเข้าชม จำกัดคนเข้าชมในแตะละรอบ การเที่ยวที่นี่เพียงเราซื้อพาสแค่ใบเดียวก็เที่ยวได้ครอบทุกที่ค่ะ ซึ่งเราก็ซื้อ All Museums Day-Ticket ราคา 18,00 € เท่านั้นค่ะ คุ้มมากๆ
Bode Museum เมื่อถ่ายจากสะพาน Ebertbrücke ร่วมเฟรมกับ Fernsehturm
ไปกันที่ Pergamonmuseum สถานที่เก็บวัตถุโบราณจากทั่วมุมโลกที่นี่มี Masterpiece เยอะมากๆ เราจะไม่ขอสปอยนะคะ จะโชว์แต่ชิ้นที่เราชอบและว้าวมากจริงๆ อย่างตรงนี้คือ Ishtar Gate กำแพงทางเดินเข้าเมืองบาบิลอน ซึ่งประดับด้วยอิฐเคลือบสีน้ำเงินสลับเหลือง เขียวและขาว เป็นลวดลายของสัตว์ต่างๆ เช่น ม้า วัว มังกร และสิงโต ซึ่งมีอายุกว่า 600 ปีก่อนคริสตกาล
ที่พื้นหน้า Gate ยังมีการประดับตกแต่งด้วยโมเสกที่ละเอียดและสวยงามมากๆค่ะ
หลังจากเดินผ่านประตูเมืองอิชตาร์ เราจะพบกับประตูตลาดมิเมตุส เป็นประตูที่พังทลายลงจากเหตุแผ่นดินไหว แล้วถูกบูรณะใหม่
นอกจากศิลปะในยุคต่างๆของเมืองบาบิลอนแล้วยังมีวัตุโบราณจากอียิปต์ ไปจนถึงวัถุโบราณในเอเชียตะวันออก ที่แต่ละชิ้นมีอายุหลายพันปี ใครไปที่นี่ก็ห้ามพลาดเด็ดขาดที่จะต่อคิวเข้าพิพิธภัณฑ์นี้ 
กว่าจะเดินเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์บนเกาะทั้ง 2 ที่ Pergamonmuseum และ "Neues Museum" ที่เป็นพิพิธภัณฑ์ ที่มีวัตถุที่น่าสนใจคือ The bust of Nefertiti โดยพิพิธภัณฑ์นี้จะเน้นไปในทางวัตถุโบราณจากประเทศอียิปต์ค่ะ นอกจากทั้ง 2 พิพิธภัณฑ์ แล้วจขกท ยังได้แวะไปเข้าชมแกลลอรี่ "Altes Museum" สถานที่จัดเก็บผลงานศิลปะของพระราชวงศ์ปรัสเซียน เดินเพลินๆออกมาคือฟ้ามืดเลยค่ะ
แวะหาของกินที่ตลาดคริสต์มาสอีกเช่นเคยก่อนกลับไปพักผ่อนกัน เมนูนี้ก็ง่ายๆเลยค่ะ เสต็กหมูกับผักดอง เข้ากันมากๆเลยค่ะในอากาศหนาวๆแบบนี้ กับจานหลังคือ Champignons เห็ดแชมปิยองผัดเนยกระเทียม
ไปต่อกันอีก 1 วันใน Berlin เราเริ่มกันที่พิพิธภัณฑ์ "Holocaust-Mahnmal" ที่มีเนื้อหาค่อนข้างสะเทือนใจจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผาพันธุ์ยิวในประเทศเยอรมนี เป็นสถานที่เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุตนั้น ประกอบภาพที่ค่อนข้างทำให้เราหดหู่เมื่อกลับออกมา จากพิพิธภัณฑ์เราสามารถเดินไปได้ถึง "Checkpoint Charlie" จุดผ่านแดนเบอร์ลินที่รู้จักกันดีที่สุดระหว่าง East Berlin และ West Berlin ในช่วงสงครามเย็น แต่ตอนนี้กลับเป็นจุดถ่ายรูปของนักท่องเที่ยว และมีร้านของที่ระลึกขายอยู่เยอะมากๆ
Checkpoint Charlie ด้านของฝั่งตะวันตกมีรูปของทหารอเมริกา 
ส่วนฝั่งตะวันออกมีรูปทหารรัสเซีย สามารถแต่งตัวเพื่อถ่ายรูปกับทหารตรงนั้นได้ค่ะ
ร้านของที่ระลึกที่จุด Checkpoint Charlie ประดับสัญญาณไฟจราจรของเมือง Berlin ที่เป็นจุดเด่น
และแล้วเราก็ได้เห็น "กำแพงเบอร์ลิน" ของจริงแล้ว กำแพงแบ่งระหว่าฝั่งตะวันตกและตะวันออกก่อนจะมีการทำลายและรวมให้เป็นประเทศเยอรมีภายหลัง แต่ยังมีการเก็บกำแพงไว้บางส่วนใช้เป็นที่ให้ผู้คนมาแสดงฝีมือทางศิลปะ ออกไปทางกราฟิตี้มากกว่า
ภาพสตรีตอาร์ตที่โด่งดังมากที่สุดในโลกภาพหนึ่ง นั่นก็คือภาพ “Fraternal Kiss” ซึ่งวาดล้อเลียนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในปี 1979 เป็นภาพการจูบปากกันของ เลโอนิด เบรจเนฟ (Leonid Brezhnev) ผู้นำโซเวียต และ เอริค โฮเน็กเกอร์ (Erich Honecker) ผู้นำเยอรมันตะวันออก ซึ่งมีผู้คนมาต่อคิวถ่ายรูปกันจำนวนมาก
เดินไปจนสุดกำแพงเบอร์ลินที่ยังเหลือ เพื่อไปขึ้นรถไฟที่บริเวณสะพาน "Oberbaum Bridge" จังหวะที่มีรถไฟวิ่งบนสะพานแบบนี้สวยมากๆเลยค่ะ
 "Brandenburg Tor" ประตูเมืองเก่าแก่ที่สร้างตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 18 เป็นสถานที่สำคัญของเมืองเบอร์ลินมาทุกยุคทุกสมัย ในยุคสงครามเย็น ประตูนี้ตั้งอยู่ในเบอร์ลินตะวันออกใกล้กับชายแดนตะวันตก 
ในวันที่เราไปมีชาวยิวมาจัดงานระลึกถึงเหตุกาณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นในยุคสงครามเย็นด้วย
จาก Brandenburg Tor เราสามารถเดินไปได้ที่ "Memorial to the Murdered Jews of Europe" อนุสรณ์สถานชาวยิวที่ถูกฆาตกรรมในยุโรป ประกอบด้วยพื้นที่ 19,000 ตารางเมตรปกคลุมด้วยแผ่นคอนกรีต 2,711 แผ่น ไปถึงตอนค่ำแบบนี้ได้บรรบากาศเงียบๆเกินกว่าที่เราจะเดินเข้าไปถ่ายรูปข้างใน

วันนี้ขอจบการเดินทางที่เมืองเบอร์ลินนะคะ ไว้เราจะมาต่อกันที่เมือง Postdam, Brandenburg เมืองเล็กๆที่ห้ามพลาด ไม่ไกลจาก Berlin ค่ะอมยิ้ม01


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่