จากคราวก่อน ที่เคยบอกไปแล้วว่าพลาสติก ไม่ใช่ผู้ร้ายทำลายโลก แต่เป็นกลับ Hero ที่ช่วยมนุษย์และธรรมชาติเสียอีก
วันนี้จะมาพูดถึงเรื่องพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด นั่นคือแก๊ส น้ำมัน ถ่านหิน หรือพลังงานฟอลซิลนั่นเอง
ทำไมผมถึงพูดอย่างนั้น คนมักจะเข้าใจผิด ว่าพลังงานที่เราจะเอามาใช้โดยไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม คือพลังงานธรรมชาติ อย่างพลังงานน้ำ พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งผิดถนัด ที่เราคิดว่ามันไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพราะเราเพิ่งเริ่มใช้งานมันเพียงเล็กน้อย จนไม่เห็นผลกระทบก็เท่านั้น ถ้าเมื่อไหร่เราใช้งานเหล่านี้กันเต็มทีเหมือนที่เราใช้พลังงานฟอสซิลกันทุกนั้นนี้ จะยิ่งเป็นภัยต่อธรรมชาติมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะพลังงานในธรรมชาติเหล่านี้ ทั้งพลังงานน้ำ พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ สิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศน์ในธรรมชาติ ต่างใช้พลังงานเหล่านี้กันอยู่แล้ว หากเราเอามาใช้มากจนเป็นพลังงานหลัก ก็คือเราจะไปแย่ง ไม่เบียดเบียนธรรมชาติ จนกระทบกับสิ่งมึชีวิตอื่นๆ
เช่นถ้าเราสร้างเขื่อน หรือกังหันน้ำในปริมาณมากๆ ปลาก็จะสวนน้ำไปวางไข่ไม่ได้ น้ำก็จะไหลช้าลง การระบายน้ำเสีย น้ำเค็ม และการกระจายแร่ธาตุต่างๆก็จะลดลง ทำให้ระบบนิเวศน์ต่างๆได้รับผลกระทบไปหมด
พลังงานลม ถ้าเราสร้างฟาร์มกังหันลมมากๆ นกจะชนกังหันตายเยอะ และลมจะไหลผ่านได้ยาก ทำให้อากาศไม่หมุนเวียนได้ดีดังเดิม การระบายความร้อน ความเย็น ให้เข้าสู่สมดุลก็ช้า สร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศน์เช่นกัน ลองทำกังหันไว้รอบบ้านบังทางลมสิ คุณจะรู้สึกเลยว่าอากาศในบริเวณบ้านจะร้อนขึ้นมาก ลมไม่พัดเย็นสบายเหมือนก่อนหน้า
ส่วนพลังงานแสงอาทิตย์ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ต่างใช้พลังงานตัวนี้เป็นหลัก คิดดูหากเราทำโซล่าฟาร์มเยอะๆ มันก็บดบังแสงจากดวงอาทิตย์ สมมุติว่า ถ้าบ้านผมติดแผงโซล่าเซลครอบบริเวณที่ดินไว้หมด ต้นไม้ใหญ่ต่างๆไม่รอดแน่นอน ไม้เล็กก็ไม่เติบโตอย่างที่ควรจะเป็น ผมเห็นตัวอย่างจากบ้านผมเอง ตอนสร้างเสร็จแรกๆปลูกต้นไม้ไว้ยังไม่โต แฟนทำครัวหลังบ้านแดดสาดมาโดดบ่นร้อนๆ ต้องเอาสแลนมาขึงบังแดดให้ ทุกวันนี้พอต้นไม้หลังบ้านโต สแลนบังแดดรื้อออกไม่ต้องใช้ แต่ตากผ้าหลังบ้านไม่ได้แล้ว ต้องย้ายไปตากหน้าบ้าน ทุกวันนี้บ่ายๆต้องไปย้ายราวตากผ้าตามแสงเงาที่เคลื่อนไป กลายเป็นตอนนี้ต้องแย่งแดดกับต้นไม้อยู่แล้ว
ฉะนั้นจะเห็นว่าทั้ง พลังงานน้ำ ลม และแสง ยิ่งเราใช้มากเท่าไหร่ก็ต้องไปแย่งกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากเท่านั้น แต่กลับกันพลังงานฟอสซิล ไม่ว่าแก๊ส น้ำมันหรือถ่านหิน เท่าที่ทราบนอกจากมนุษย์แล้ว สิ่งมีชีวิตอื่นๆไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมันทั้งสิ้น และมักจะเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมด้วยซ้ำ
การที่เรานำมันมาแปลงเป็นพลังงาน และก๊าซ CO2 ซึ่งไม่เป็นอัตรายต่อพืชและสัตว์ แถมพืชยังเอาไปใช้ประโยชน์ได้ด้วยซ้ำ จึงไม่ได้เป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใด ดีกว่าเก็บไว้ในรูปเดิมให้เป็นพิษเป็นภัยต่อสิ่งมีชีวิตด้วยซ้ำ
"ฉะนั้นปัญหาจริงๆแล้วมันก็เหมือนกับเรื่องถุงพลาสติก คือต้องรู้จักการจัดการวิธีการใช้ประโยชน์จากมันให้เด็มที่ ถ้าจะเผาใหม้ก็ให้เผาไหม้สมบูรณ์ไม่เหลือเป็นสารพิษต่อสิ่งแวดล้อม หรืออาจจะใช้วิธีการดึงพลังงานวิธีอื่นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเช่นการใช้ Fuel cell เป็นตัวแปลงพลังงานออกมาใช้ประโยชน์ก็ได้"
เข้าใจกันผิดแล้ว การใช้พลังงานน้ำ ลม แสง ไม่ไช้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานฟอสซิลต่างหากเป็นมิตรที่สุด
วันนี้จะมาพูดถึงเรื่องพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด นั่นคือแก๊ส น้ำมัน ถ่านหิน หรือพลังงานฟอลซิลนั่นเอง
ทำไมผมถึงพูดอย่างนั้น คนมักจะเข้าใจผิด ว่าพลังงานที่เราจะเอามาใช้โดยไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม คือพลังงานธรรมชาติ อย่างพลังงานน้ำ พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งผิดถนัด ที่เราคิดว่ามันไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพราะเราเพิ่งเริ่มใช้งานมันเพียงเล็กน้อย จนไม่เห็นผลกระทบก็เท่านั้น ถ้าเมื่อไหร่เราใช้งานเหล่านี้กันเต็มทีเหมือนที่เราใช้พลังงานฟอสซิลกันทุกนั้นนี้ จะยิ่งเป็นภัยต่อธรรมชาติมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะพลังงานในธรรมชาติเหล่านี้ ทั้งพลังงานน้ำ พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ สิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศน์ในธรรมชาติ ต่างใช้พลังงานเหล่านี้กันอยู่แล้ว หากเราเอามาใช้มากจนเป็นพลังงานหลัก ก็คือเราจะไปแย่ง ไม่เบียดเบียนธรรมชาติ จนกระทบกับสิ่งมึชีวิตอื่นๆ
เช่นถ้าเราสร้างเขื่อน หรือกังหันน้ำในปริมาณมากๆ ปลาก็จะสวนน้ำไปวางไข่ไม่ได้ น้ำก็จะไหลช้าลง การระบายน้ำเสีย น้ำเค็ม และการกระจายแร่ธาตุต่างๆก็จะลดลง ทำให้ระบบนิเวศน์ต่างๆได้รับผลกระทบไปหมด
พลังงานลม ถ้าเราสร้างฟาร์มกังหันลมมากๆ นกจะชนกังหันตายเยอะ และลมจะไหลผ่านได้ยาก ทำให้อากาศไม่หมุนเวียนได้ดีดังเดิม การระบายความร้อน ความเย็น ให้เข้าสู่สมดุลก็ช้า สร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศน์เช่นกัน ลองทำกังหันไว้รอบบ้านบังทางลมสิ คุณจะรู้สึกเลยว่าอากาศในบริเวณบ้านจะร้อนขึ้นมาก ลมไม่พัดเย็นสบายเหมือนก่อนหน้า
ส่วนพลังงานแสงอาทิตย์ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ต่างใช้พลังงานตัวนี้เป็นหลัก คิดดูหากเราทำโซล่าฟาร์มเยอะๆ มันก็บดบังแสงจากดวงอาทิตย์ สมมุติว่า ถ้าบ้านผมติดแผงโซล่าเซลครอบบริเวณที่ดินไว้หมด ต้นไม้ใหญ่ต่างๆไม่รอดแน่นอน ไม้เล็กก็ไม่เติบโตอย่างที่ควรจะเป็น ผมเห็นตัวอย่างจากบ้านผมเอง ตอนสร้างเสร็จแรกๆปลูกต้นไม้ไว้ยังไม่โต แฟนทำครัวหลังบ้านแดดสาดมาโดดบ่นร้อนๆ ต้องเอาสแลนมาขึงบังแดดให้ ทุกวันนี้พอต้นไม้หลังบ้านโต สแลนบังแดดรื้อออกไม่ต้องใช้ แต่ตากผ้าหลังบ้านไม่ได้แล้ว ต้องย้ายไปตากหน้าบ้าน ทุกวันนี้บ่ายๆต้องไปย้ายราวตากผ้าตามแสงเงาที่เคลื่อนไป กลายเป็นตอนนี้ต้องแย่งแดดกับต้นไม้อยู่แล้ว
ฉะนั้นจะเห็นว่าทั้ง พลังงานน้ำ ลม และแสง ยิ่งเราใช้มากเท่าไหร่ก็ต้องไปแย่งกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากเท่านั้น แต่กลับกันพลังงานฟอสซิล ไม่ว่าแก๊ส น้ำมันหรือถ่านหิน เท่าที่ทราบนอกจากมนุษย์แล้ว สิ่งมีชีวิตอื่นๆไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมันทั้งสิ้น และมักจะเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมด้วยซ้ำ
การที่เรานำมันมาแปลงเป็นพลังงาน และก๊าซ CO2 ซึ่งไม่เป็นอัตรายต่อพืชและสัตว์ แถมพืชยังเอาไปใช้ประโยชน์ได้ด้วยซ้ำ จึงไม่ได้เป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใด ดีกว่าเก็บไว้ในรูปเดิมให้เป็นพิษเป็นภัยต่อสิ่งมีชีวิตด้วยซ้ำ
"ฉะนั้นปัญหาจริงๆแล้วมันก็เหมือนกับเรื่องถุงพลาสติก คือต้องรู้จักการจัดการวิธีการใช้ประโยชน์จากมันให้เด็มที่ ถ้าจะเผาใหม้ก็ให้เผาไหม้สมบูรณ์ไม่เหลือเป็นสารพิษต่อสิ่งแวดล้อม หรืออาจจะใช้วิธีการดึงพลังงานวิธีอื่นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเช่นการใช้ Fuel cell เป็นตัวแปลงพลังงานออกมาใช้ประโยชน์ก็ได้"