JJNY : พิธาซัดศก.พังหนัก/มิ่งขวัญตอก ศก.เหลื่อมล้ำสูง/จุลพันธ์บี้ประยุทธ์ซัดเป็นฆาตกรทางศก./สมชัยจ่อร้องปปช.สอบกกต.

“พิธา” ซัด เศรษฐกิจพังหนัก บิ๊กตู่ อยู่ต่ออีกวันเดียวไม่ได้แล้ว ชี้ยิ่งอยู่ประเทศยิ่งเสียหาย
https://www.khaosod.co.th/politics/news_3636849

 
เวลา 17.50 น. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ อภิปรายถึงความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ว่า ปัญหาเศรษฐกิจเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของคนทั้งประเทศ เป็นภารกิจสำคัญของรัฐบาลที่ต้องดำเนินการคลี่คลายโดยเร็วที่สุด แต่วันนี้เศรษฐกิจเลวร้าย นโยบายเศรษฐกิจของพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนโยบายเศรษฐกิจของนายทุน โดยนายทุน เพื่อนายทุน
 
เศรษฐกิจวันนี้แย่แค่ไหนในมุมมองชาวบ้าน ตามนิยามตอนนี้ภาวะตอนนี้อาจยังไม่ใช่วิกฤตเศรษฐกิจ เพราะจีดีพียังไม่ติดลบ แต่ปัญหาเศรษฐกิจของคนบางกลุ่มมีอยู่จริงไม่ได้เป็นมายาคติ เทียบกับวิกฤตตอนน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ถือว่า ตอนนี้แย่พอๆกัน ตัวเลขของผู้ว่างงานที่ขอใช้สิทธิประกันสังคมในปี 2562 อยู่ที่ 1.7 แสนคน ซึ่งวันนี้คนว่างงานของประเทศสูงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ถือเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย ตัวเลขทางเศรษฐกิจของไทยวันนี้ที่ไม่ได้ดูว่าแย่นัก เพราะวันนี้คนรวยกับคนจนอยู่กันบนโลกคนละใบเท่านั้นเอง
 
นายพิธา กล่าวอีกว่า คำว่ามั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นคำสัญญาที่อยู่ในยุทธศาสตร์ วิสัยทัศน์ นโยบาย แต่ตนถามว่าใครกันแน่ที่มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน คำตอบคือถ้าท่านคือกลุ่มคนหนุ่มสาวที่กำลังจะเรียนจบ เต็มไปด้วยความหวัง แต่กว่า 5 แสนคนในตอนนี้รู้สึกไม่มั่นคง พวกเขาอาจเป็นรุ่นแรกในรอบ 20 ปี  ที่รู้สึกว่ามาตรฐานของเขาย่ำแย่กว่ารุ่นพ่อแม่ของเขา ส่วนกลุ่มเกษตรกรที่มีรายได้ลดลง มีหนี้สินมากขึ้น ท่านไม่ได้อยู่ลำพัง เพราะเกิดขึ้นกับเกษตรกร 18 ล้านคนทั่วประเทศ

ตราบใดที่ปัจจัยการผลิต ที่ดิน น้ำ ปุ๋ย และตลาดที่ขายยังถูกผูกขาดท่านก็จะรู้สึกไม่มั่นคง ส่วนใครบ้างที่มั่งคั่งมากขึ้นในการบริหารงานของรัฐบาลที่ผ่านมา คงต้องบอกว่า เมื่อเราเอาความมั่งคั่งของ 5 เจ้าสัวในประเทศไทยจะมีมูลค่าถึง 2.3 ล้านล้านบาท ขณะที่มีคนจำนวนมากต้องเจอพิษเศรษฐกิจ
ดังนั้น จริงหรือไม่ที่พล.อ.ประยุทธ์ เอื้อประโยชน์ให้เจ้าสัว ให้นายทุน ถ้าท่านไม่ใช่อภิสิทธิ์ชนหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของประเทศนี้ ท่านก็คงไม่มั่นคง มั่งคั่ง ที่เรามาถึงจุดนี้ เพราะเหมือนเอายาพาราไปให้คนเป็นมะเร็ง ไม่ว่าจะเป็นการแจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการชิมช้อปใช้ ที่เอาไปบรรเทาความปวดไปเรื่อยๆ และยาพารานี้ก็ไม่ใช่ราคาถูก เพราะมีมูลค่าถึง 5 แสนล้านบาท แต่กลับไม่มีประสิทธิภาพ
 
นายพิธา กล่าวอีกว่า ในส่วนความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมหนีไม่พ้นปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ซึ่งมาจากนโยบายของพล.อ.ประยุทธ์ ต้นตอมาจากการเผาอ้อยซึ่งเผากันมากขึ้นจากนโยบายเกตรประชารัฐ ที่ต้องการเปลี่ยนพื้นที่ปลูกอ้อยทั่วประเทศ และเพิ่มโรงงานน้ำตาลในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงเป็นที่น่าสงสัยว่านโยบายเกษตรประชารัฐหรืออ้อยประชารัฐ ใครได้ประโยชน์
 
เพราะราคาอ้อยก็ไม่ได้ดีไปกว่าราคาข้าว ที่น่าสงสัยยิ่งกว่าคือที่มาของนโยบาย ซึ่งพบว่าคณะทำงานยุทธศาสตร์อ้อย แต่งตั้งโดยคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งหนึ่งในอนุกรรมการเป็นบริษัทน้ำตาลรายใหญ่ของประเทศ จึงอดสงสัยไม่ได้ว่า มีการเอื้อประโยชน์ให้นายทุนหรือไม่

ผมไม่สามารถไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ ให้เป็นนายกฯ ได้อีกต่อไปแม้แต่วันเดียว ยิ่งอยู่นานประเทศยิ่งเสียหาย ประเทศเสียหายมามากแล้ว การบริหารงานเศรษฐกิจล้มเหลว ผิดพลาด เสียหาย นโยบายเป็นของนายทุน โดยนายทุน เพื่อนายทุน รัฐบาลนี้อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว
 
วันนี้เศรษฐกิจของเราต้องผ่าตัดเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง ชีวิตจึงจะรอดต่อไปได้ มีดที่เราใช้ผ่าตัดต้องคมพอที่จะตัดอดีตที่ขมขื่น ตัดก้อนมะเร็งร้ายของเราออกไป ทลายทุนผูกขาดที่จะให้คนไทยเท่าเทียมกัน และเท่าทันโลก วันนี้ประเทศชาติเสียหายมามากแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ต่อไปอีกหนึ่งวันก็ยิ่งสร้างความเสียหายให้ประเทศมากขึ้นอีกหนึ่งวัน" นายพิธา กล่าว
 

 
มิ่งขวัญ ตอก ศก. เหลื่อมล้ำสูง เปิดชื่อตระกูลใหญ่สุดมั่งคั่ง ปี 57-62 จนบิ๊กตู่ ต้องลุกแจง
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2001995
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศการอภิปรายช่วงดึกเป็นไปอย่างเรียบร้อย ผ่อนคลายต่างจากเมื่อช่วงบ่าย ที่มีการประท้วงกันเป็นระยะ
 
โดยเวลา 21.00 น. นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ อภิปรายว่า ตนมีคำถามแทนใจจากชาวบ้านว่า เศรษฐกิจไม่ดี พวกท่านจะพูดหรืออธิบายอย่างไร แต่ผลลัพธ์สุดท้ายคือชาวบ้านไม่มีจะกิน คนตกงาน มีแต่ข่าวจี้ปล้นรายวัน โรงงานปิดตัว วันนี้คนไทยมีบัญชีเงินฝาก 12 ล้านล้านบาท โดยมีเงินฝากสดๆ มากกว่า 10 ล้านบาท เพียง 0.2% น้อยกว่า 10 ล้านบาท 10% น้อยกว่า 3,142 บาท 56% และน้อยกว่า 500 บาท 32.8% มีเงินติดบัญชีไม่ถึง 3 พันบาท และคนไทยมีหนี้ครัวเรือนท่วม ส่วนที่นายสมคิดบอกเศษฐกิจดี โครงการอีอีซีก็ดี แต่ถ้าค่าแรงขั้นต่ำของไทยอยู่ที่ 308-330 บาท
 
ทีมเศรษฐกิจของพวกท่านคงต้องเร่งแก้แล้ว เพราะแค่นี่เราก็แพ้แล้ว ในสมัยวิกฤติต้มยำกุ้งปี 40-42 มีผลสะเทือนกับประชาชนในประเทศ 15% ไฟแนนซ์ปิด 56 แห่ง ธนาคารปิดตัวหลายแห่ง ส่วนที่เหลืออยู่เป็นธนาคารลูกผสม อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แกว่งไปมา 25-58 บาท แต่ปี 60-62 มีผู้ได้รับผลกระทบ 85% กลายเป็นปีรามิดกลับหัวกลับหางจนเกิดความเหลื่อมล้ำ การครอบงำและผูกขาด จนทำให้บางคนรวยจนห่างจนไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร
 
นายมิ่งขวัญ อภิปรายว่า ในปี 58 ไทยเหลื่อมล้ำอันดับ 11 พอปี 59 ขึ้นมาอยู่อันดับ 3 และในปี 60-61 ไทยขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ประเทศที่เหลื่อมล้ำที่สุดในโลก คนไม่ถึง 1% เป็นเจ้าของความมั่งคั่ง ส่วนจีดีพีของไทยตั้งแต่ปี 52-62 โตขึ้นมาเรื่อยๆ ก็จริง แต่เมื่อดูการเติบโตปีต่อปี โดยเฉพาะช่วง 57-62 อาจเป็นเพราะเศรษฐกิจโลกไม่ดี เรากำลังปรับตัวด้วย ทำให้เราโตแบบกระดึบๆ แต่ตระกูลใหญ่ๆ เช่น ปราสาททองโอสถ ในปี 57 รวย 0.74 แสนล้านบาทแต่ในปี 62 มั่งคั่งถึง 1.08 แสนล้านบาท
 
ส่วนตระกูลเจียรวนนท์มั่งคั่งเป็นอันดับ 1 ในปี 57 รวย 3.74 แสนล้านบาท แต่ปี 62 มั่งคั่งถึง 9.41 แสนล้านบาท ดังนั้นเมื่อเทียบจีดีพีกับการเติบโตของมหาเศรษฐีไทย ชี้ให้เห็นว่าไทยมีความเหลื่อมล้ำมากที่สุด ส่วนตลาดอีคอมเมิร์ซไทยรวมทั้งการค้าออนไลน์ในปี 62 มีมูลค่าถึง 3.8 ล้านล้านบาท ซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ มีมากกว่างบประมาณแผ่นดินของประเทศในปี 63 ที่มี 3.2 ล้านล้านบาท ดังนั้นรัฐบาลต้องเร่งปรับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อคุมเงินที่ไหลออก ส่วนโครงการชิมช้อปใช้นั้น มีรัฐมนตรีใน ครม.มาพูดกับตนว่า กระทรวงการคลังมีหน้าที่เก็บเงิน เก็บภาษี จัดสรรเงินไปตามกระทรวงต่างๆ แต่กลับมาใช้เงินเองผ่านโครงการนี้ถึง 2 หมื่นล้านบาทผ่านบัตรชิมช้อปใช้และต้องใช้เงิน 1,000 บาทผ่านบาร์โค้ด พวกแม่ค้าส้มตำข้างทางก็ไม่มีโอกาสได้รับเงินส่วนนี้ เพราะเงินไหลผ่านไปแค่เจ้าของกิจการขนาดใหญ่ แล้วจะไม่ให้พูดถึงตระกูลเจ้าสัวได้อย่างไร
 
นายมิ่งขวัญ อภิปรายอีกว่า ในวิกฤติยังมีโอกาส เชื้อโควิด – 19 ที่กำลังระบาดในหลายประเทศ โดยเฉพาะในฮ่องกงซึ่งกำลังมีปัญหาและติดอยู่กับจีน ซึ่งฮ่องกงเป็นศูนย์กลางการเงินของเอเชียและภูมิภาค ดังนั้นขอให้นายกฯ สั่งให้ไทยเป็นศูนย์กลางการเงินของเอเชีย เชื่อว่าธนาคาร ไฟแนนซ์ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่กำลังปวดหัวอยู่อยากย้ายออก ดังนั้นได้เวลาย้ายศูนย์กลางการเงินมาอยู่ในไทย แล้วเปิดเสรีธนาคาร แล้วมาดูกันว่าส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากจะเป็นอย่างไร คนไทยจะมีความสุขเพิ่มขึ้น ดังนั้นขอให้นายกฯ กำหนดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ให้ช่องว่างไม่เกิน 3%
 
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงว่า ตนนั่งฟังมานานพอสมควร บรรยากาศเป็นไปอย่างดียิ่ง เสียงนายมิ่งขวัญก็นุ่มๆ ทุ้มๆ น่าฟังดี จนเกือบจะง่วงเหมือนกัน แต่ถือว่า เป็นประโยชน์ ตนจดทุกอันที่ท่านพูดมา โดยจะรับไว้พิจารณา ที่ผ่านมาก็เคยคุยกับนายมิ่งขวัญมาแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือวิธีการกฏหมายกลไกต่างๆยังมีปัญหาอยู่มากพอสมควร เราจำเป็นต้องวางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้เป็นศูนย์กลางจริงๆ แต่หากเราแตกความสามัคคีประเทศชาติไม่พร้อม ต่างชาติก็พร้อมจะอ้อมเราไปทันที เช่น รถไฟความเร็วสูงที่จะผ่านไทยก็เตรียม จะอ้อมไปทางประเทศเพื่อนบ้านของเราแล้ว
 
อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณในคำแนะนำ อะไรทำได้ตนพร้อมตัดสินใจอยู่แล้ว แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องของกฏหมาย เป็นการตัดสินใจร่วมกันของครม. แม้แต่รัฐบาลชุดที่แล้วตนก็ไม่เคยติดสินใจคนเดียว ต้องแก้ไขกฏหมายหลายร้อยฉบับถึงมีวันนี้ อย่างมองว่า ตนเข้ามาแล้วจะสร้างความเสียหายอะไรหนักเลย ไม่มีใครอยากทำให้เสียหาย เพราะที่นี่คือแผ่นดินไทย อย่างไรก็ตาม ตนขอใช้เวลาให้สั้นที่สุด จะได้ตั้งหลักไว้ เดี๋ยวจะหมดแรงกันเสียก่อน พรุ่งนี้แล้วมาสู้กันใหม่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่