ถ้าเป็นคุณ จะทำอย่างไร?
จะทยอยพิมพ์เรื่อยๆ เรื่องราวยาวมาก แค่อยากแชร์ประสบการณ์ที่เกิดให้อ่าน
เรากับสามีอยู่ด้วยกันมานานกว่า 18 ปี ด้วยความเป็นคนที่ทำงานด้วยความตั้งใจ งานประจำทำจันทร์-เสาร์เต็มวัน
ส่วนสามี ทำงานอิสระกว่า ไม่ต้องนั่งประจำออฟฟิศ
เป้าหมายที่ตั้งใจตั้งแต่แรกที่ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน คือ สร้างตัวเองครอบครัว ดูแลพ่อแม่พี่น้อง เราก็ตั้งใจสร้างทรัพย์สินจากการทำงานประจำ และรับงานมาทำเป็นเคสๆ เก็บหอมรอมริบ ซื้อรถ คอนโด บ้าน ที่ดินเล็กๆน้อยๆ จากน้ำพักน้ำแรงเราคนเดียว
สงสัยใช่ไหมว่า แล้วทำไมสามีไม่ช่วย ด้วยความที่เขาเป็นคนมีอดีต เคยผ่านการมีครอบครัว แต่หย่าล้างกันไป แต่ยังคงต้องส่งเสียตามหน้าที่
เราก็คิดดีว่า นั่นคือหน้าที่ที่เขาพึงจะต้องทำ โดยบอกเราว่าส่งให้ลูกเดือนละหนึ่งหมื่นสองพันบาทและไม่เคยก้าวก่ายใดใด
และบอกเราว่าต้องส่งให้พ่อแม่ทุกเดือนๆละสามหมื่น
ด้วยความที่เราก็เป็นคนดูแลพ่อแม่เรา คิดในแง่ดี ว่าเขาเป็นคนกตัญญู
ระหว่างที่ใช้ชีวิตด้วยกัน เราก็ทำงานของเรา ผ่อนรถ ผ่อนคอนโด ผ่อนบ้าน จัดการค่าใช้จ่ายส่วนของพ่อแม่เรา ด้วยเงินที่มาจากน้ำพักน้ำแรงเราคนเดียว ไม่ได้รู้สึกว่าเสียเปรียบอะไรเลย แต่เป็นความภูมิใจที่เรากำลังสร้างความมั่นคงให้ครอบครัว ก่อนจะวางแผนการมีลูกในอนาคต
ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตามปกติ วันหยุดก็ไปต่างจังหวัดไปบ้านพ่อแม่เรา ดูมีความสุขดี ตลอดแปดปีกว่าๆ ไม่มีสิ่งใดมาทำให้รู้สึกไม่ดี
แต่วันหนึ่ง ก็มีสัญญานที่ไม่ดีเลยกับชีวิตเราและเขา อยู่ๆก็มีผู้หญิงโทรมาด่า ว่าเรา ต่างๆนานา ในวันเดียวกันถึงสองคน (**1.1,1.2) แบบไม่คาดคิดมาก่อน
เป็นไปได้อย่างไร ผู้ชายคนนี้ มีคนอื่น มีลูกที่ไม่ใช่อดีตที่เราเคยรับรู้มาเมื่อแปดปีที่แล้ว
ณ.วันนั้น เราตัดสินใจเลิก อย่างแน่นอน แต่เวรหรือกรรมอันใด เขาไม่ยอมเลิกกับเรา ด้วยเหตุผลต่างๆนานา
ด้วยความที่เราเป็นภรรยาคนเดียว ณ.เวลานั้น ที่คนในสังคมและตัวเรารับรู้ และด้วยสิ่งแวดล้อม สังคม ครอบครัว พ่อแม่เราทั้งสองฝ่าย
อะไรหลายอย่างก็มีส่วนเราให้โอกาสเขา และให้อภัย ให้เขาปรับปรุงพฤติกรรมทุกอย่างใหม่
และเริ่มต้นใหม่.....เราถามตัวเองว่า ทำไมต้องให้โอกาส วนไปมาหลายต่อหลายครั้ง
จากจุดนั้น เราก็ทบทวนและดูการกระทำ เขาก็พิสูจน์ให้เราเห็นว่า เขาดีขึ้น เริ่มสร้างตัวเองใหม่
แต่ความรับผิดชอบที่เรารับรู้เพิ่มขึ้นคือ การส่งเสียลูกที่เรารับรู้เพิ่มอีก 1 คน ค่าบ้าน ค่าเล่าเรียน อื่นๆ
ส่วนตัวสามี ก็เรียนต่อในระดับปริญญาตรี อีกสาขาอาชีพทางด้านกม. ซึ่งเราเป็นคนบอกให้เขาเรียน พาไปสมัคร กรอกใบสมัครให้ อ่านหนังสือ สรุปให้
เหมือนตัวเองเรียนเอง แต่เรารู้สึกสนุก ได้เรียนรู้ ได้อ่านหนังสือ และคิดว่าทุกอย่างก็จะดีขึ้น
เราจะได้ไม่ต่างกันมากในพื้นฐานความรู้ ในขณะนั้นเราจบปริญญาโทแล้ว
ขณะที่เขาเรียน เราก็วางแผนกันว่า ถึงเวลาที่ควรมีลูก แล้วก็มีลูกตามแผนที่วางกันไว้
ขณะที่เราท้อง เราก็ทำงานตามปกติ สามีก็ทำงานอิสระมีรายได้ตามปกติ สามีจะเรียนช่วงเย็นวันศุกร์ กลางวันเสาร์-อาทิตย์ ดึกแค่ไหนก็กลับมานอนบ้าน
เราก็ไม่โทรตาม และไม่คิดว่าจะมีอะไรเหลวไหล
แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีก บางอย่างก็เปลี่ยนไป ....มีอ้างว่าเมาขับรถกลับไม่ได้นอนบ้านเพื่อน จนเราคลอดลูก ก็มีบางสิ่งให้เราสงสัยได้อีก
กลางวันเขาทำงานเสร็จก็กลับมาเล่น ดูแลลูก แต่เย็นๆ สี่โมงกว่าๆจะขับรถออกไปทุกวัน วันเสาร์ หลังเรียนก็สังสรรค์อ้างว่าเมาตลอด นอนหอเพื่อน ไม่กล้าขับรถ กลัวตำรวจจับเป่า ตรวจวัดแอลกอฮอล์
แล้วก็ถึงวันที่ทุกอย่างออกมาให้รับรู้ สามีโทรหาเราระหว่างเราขับรถกลับจากที่ทำงาน ถามว่าจะทานอะไร จะซื้อเข้าบ้าน
เราก็บอกเมนูไป...ผ่านไปสองทุ่ม สามทุ่ม สี่ทุ่ม ยังไม่ถึงบ้าน เราโทรไปไม่รับสาย จนเวลาสี่ทุ่มกว่าๆ เราโทร(**1.3) มีผู้หญิงรับสาย เราถามว่า "ใครรับสาย" ปลายทางบอกว่า "เมีย" เราเลยบอกว่า "งั้นบอกเขาด้วยว่าลูกนอนรออยู่บ้าน" แล้วเราก็วางสาย
สามีโทรหาเราเป็นร้อยครั้ง เราไม่รับสาย
ในใจคิด นี่คือผู้หญิงคนที่สามที่เข้ามากระทบใจเรา แรงนะแบบนี้ ...แต่เราเลือกที่จะนิ่งมาตลอด
เวลาผ่านไปถึงเที่ยงคืนกว่าๆ สามีกลับมา เสียงดังโวยวาย พูดจาไม่สุภาพ
แต่เราก็นิ่ง กอดลูก อุ้มลูกไว้ ในขณะที่เขาโวยวาย พูดจาไม่ดีมากๆ บอกให้เราด่าเขา หรือทำอะไรเขา แต่สำหรับเราไม่มีอะไรต้องพูด เขาพยายามจะมาแย่งลูกจากเรา แต่เราไม่ให้ วนเวียนแบบนี้ 2-3 ชั่วโมง เราก็นิ่ง ไม่โต้ตอบ
จนถึงจุดๆหนึ่ง เราบอกว่า ถ้าจะให้ด่า ด้วยคำหยาบคาย ได้ จัดให้ แต่จะมีแค่ครั้งเดียวในชีวิต ถ้าต้องการก็จัดให้ได้ แต่ไม่ต้องมาเรียกร้องอีกนะ ครั้งเดียวพอ ..เราด่าด้วยคำหยาบจริงๆ และทุกอย่างที่เราเก็บไว้ในใจ เราพูดทีเดียว ด่าม้วนเดียวสามชั่วโมง
...ส่วนตัวเขาเงียบ นิ่ง ช็อค นอนตาแข็งไปสามชั่วโมง และอีกหนึ่งวัน หนึ่งคืน
จากวันนั้น ทุกอย่างสำหรับเขา ดีขึ้น ก็อยู่บ้านแบบไม่เกเร ทำงาน เรียน ทำตัวดีดีได้สักหนึ่งเดือน
แล้ววันหนึ่งขณะที่เขาเล่นกับลูก อยู่ๆก็มีเสียงโทรศัพท์ เข้ามา สามีขับรถออกไป ในขณะที่ลูกก็ทำหน้างงงง แล้วก็หายไปทั้งคืน วันรุ่งขึ้นกลับมาอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า หายไปอีกสามคืน
เราตัดสินใจเปลี่ยนกุญแจบ้าน พาลูกไปไหว้พระ เที่ยวเรื่อยๆ เพราะเราตั้งใจ ตั้งสติคิดแล้วว่า ถ้าวันไหนหายครบสามคืน ก็ควรไปที่ชอบนั้นเลย
จากจุดนั้น เราแยกกันอยู่ ไม่พบ ไม่สนทนา บล็อคการสื่อสารทุกช่องทาง เราทำเหมือนกับที่เขาทำกับเราใน 3-4 คืนที่หายไปนั่นหละ
ความอดทนเราสิ้นสุดลงแล้ว
สามีหายไปจากชีวิตเราและลูกนานเกือบเจ็ดเดือน วันหนึ่งเราพาลูกไปหัดเดินในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เพื่อนเขามีเฟสเรากับลูก คงบอกเขา ด้วยความเป็นพ่อ ก็พยายามเดินตามหาเรากับลูก วันแรกที่ได้กลับมาเจอกัน เราไม่เคยกีดกันความเป็นพ่อลูก
อีกสองเดือนต่อมา สามีก็ขอกลับเข้ามาอยู่บ้านกับเราและลูก แต่ด้วยความที่เราก็ยังไม่เชื่อใจและไม่คิดว่าจะปรับปรุงตัวเขาเองได้ จึงตัดสินใจเช่าห้องพักให้อยู่หน้าปากซอยหมู่บ้าน
แต่ก็จับได้ภายหลังว่า ยังไม่เลิกลากับผู้หญิงคนนั้น เพราะผู้หญิงโทรมาที่เบอร์เรา ยั่วยุ ใช้วาจาไม่ดี ด่าว่าผู้ชายที่เรายกให้ไปใช้ชีวิตด้วยต่างๆ นานา แต่เขาและเธอก็ยังวนเวียน ไปนอน ไปเที่ยวด้วยกัน
เราก็ไม่มีอะไรจะต้องสนทนา เราบอกว่า "ไม่เป็นไรคะ สามีพี่ยกให้โสเภณีมานานแล้ว"
ปลายสายกรี๊ดเสียงดัง เราก็วางสายไป ทุกอย่างเป้นอย่างไร เราก็ไม่ได้ใส่ใจอีกจากนั้น
บางคราวก็มีภาพที่ผู้หญิงถ่ายรูปกับรถเรามาโพสในไลน์ ในเฟส ส่งมาให้เรา..
เราก็ไม่คิดอะไร เพราะเราปลงและไม่ใส่ใจอะไรไปมากกว่าลูก
วันเวลาผ่านไป ผู้หญิงคนนั้นก็หายไปจากชีวิตเขา เราก็ไม่เคยถามอะไร
ส่วนเราก็อยู่บ้านเรา สามีก็อยู่อพาร์ทเม้นหน้าปากทางเข้าหมู่บ้าน จะเที่ยว จะไปไหนก็แล้วแต่ตามสบาย
เราบอกแค่ว่า ทำตัวดี พฤติกรรมดีได้เมื่อไหร่ ค่อยกลับมาอยู่บ้าน
แต่ดูเหมือนสามีจะหลงระเริงบันเทิงใจมากกว่า
นี่เป็นสัตว์จะทำของคนคิดไม่ได้จริงๆ ก็คงใช่
เราให้อยู่เช่นนั้นนานเกือบสามปี วันหนึ่งก็มีเหตุ นี่ขนาดอยู่ซอยเดียวกันนะ
ลูกบอกไปกินข้าวกัน ไปกับพ่อด้วยนะ เดี๋ยวเราแวะไปห้องพ่อกัน เราก็พยายามโทรยังงัยก็ไม่รับสาย เลยเดินไปเคาะประตู..ไม่เปิด เลยไขกุญแจเข้าไป ป๊าดดดดดด..เจอหมาขี้เรื้อนใส่ชุดดำบางๆ (**1.4) นอนบนเตียง เฮ้ยๆๆๆ มันใช่ไหมนั่น
โสเภณีคนใหม่ มาแต่ชาติปางไหน ไม่ทราบ
สามีพยายามมาล็อคประตู
เราเลยใช้ตรีนเพชรฆาตรถีบประตู กลอนล็อคกระจาย ส่วนลูกตกใจ งง
ด้วยความเป็นแม่ เลยบอกลูกตรงหน้าห้องว่า
วันนี้เราไม่ต้องเข้าห้องพ่อนะครับ พ่อเอาหมาขี้เรื้อนมาเลี้ยง สกปรก ขนร่วงเต็มห้อง เดี๋ยวเราเข้าบ้านกันก่อน พ่อจะตามเข้าไปเอง
...เจ็บปวดแค่ไหน แต่แม่ก็คือแม่ อ่อนโยนสำหรับลูกเสมอ
ใครๆ คงคิดว่า เหตุการณ์แรงขนาดนี้ ความสงบน่าจะเกิดขึ้นได้ เราก็ยังคงปกติ เวลาผ่านไปนาน 2-3 เดือน สามีบอกเลิกกับหมาขี้เรื้อนแล้ว เราก็เฉยๆ เพราะไม่เคยเชื่อในวาจาของเขา คิดว่า แยกกันอยู่แบบนี้ดีแล้ว เราสบายใจดี
แล้วอยู่มาวันหนึ่ง มีเหตุให้เราต้องเดินทางมาห้องที่สามีอยู่ วันนี้ไม่เคาะประตู ไขกุญแจเข้าไปเลย เจอสิครับ หมาขี้เรื้อนนั่งอยู่บนที่นอน เราไล่ออกไป และโยนของเขาออกไป ส่วนสามีเดินมากอดเราแล้วทำหน้ากะล่อน ขอโทษ ไม่มีอะไรจริงๆ น้องมาอ่านหนังสือ เราเลยบอก อีหมาขี้เรื้อนที่มานอนวันนั้นนี่นะมาอ่านหนังสือ ตบหน้าไปสองที เราก็กลับไปกิจกรรมงานที่ทำงานต่อ
พอสิ้นเดือนนั้นเราแจ้งย้ายห้อง ขนของทั้งหมดเข้าบ้าน บางส่วนทิ้งเลย
ตัวสามียังดึงดัน จะไม่มาอยู่บ้าน นอนแถอยู่ห้อง ถึงสิ้นเดือน แต่นั่นก็เรื่องของเขา
สักพักก็เข้ามาอยู่บ้าน แต่สันดานและพฤติกรรมยังไม่เปลี่ยน หายไปข้ามวันข้ามคืนยามหมาขี้เรื้อนเรียกร้อง วนเวียนแบบนั้นเป็นวัฏจักร
ช่วงเวลาที่อยู่บ้านก็ช่วงเวลาที่คู่ขาออกไปหากินต่างประเทศ 2-3 เดือน พอกลับมาก็วนเวียนแบบเดิม
คำถาม ถ้าเป็นคุณจะกล้านอนกับสามีไหม...ส่วนตัวเราบอกเลยว่าไม่
ตอนไม่รู้อะไร เห็นทำตัวดีดีเป็นระยะ เราก็ทำหน้าที่ภรรยาตามปกติ ไม่ได้ขาดตกบกพร่องในหน้าที่ภรรยา
แต่ทุกอย่างเกิดจากความไม่รู้จักพอของเขาคนเดียว
พอทราบสถานการณ์ที่เป็นไป เราล็อคประตูห้องนอนสองชั้น นอนกอดลูกให้สบายใจ ปลอดภัยตัวเองดีกว่า
วันเวลาผ่านไป ก็ดูเหมือนว่าจะดี กลับมาตั้งใจทำงาน เข้าสู่สภาวะเกือบปกติ
การเที่ยว สังสรรค์ เราไม่ว่าอะไร แค่ขอให้กลับมานอนบ้านทุกคืนก่อนเรากับลูกจะตื่น....
(เดี๋ยวมาเหลาต่อ..... เรื่องราวเยอะเกิ๊นนนน ที่เหลามาแค่หัวเรื่อง)
((**1.1,1.2,1.3,1.4,1........ เอาไว้ Ref. ในหัวข้อเพิ่มเติม)
ถ้าเป็นคุณ จะทำอย่างไร?? อดทนได้นานแค่ไหน?? ให้อภัย??
จะทยอยพิมพ์เรื่อยๆ เรื่องราวยาวมาก แค่อยากแชร์ประสบการณ์ที่เกิดให้อ่าน
เรากับสามีอยู่ด้วยกันมานานกว่า 18 ปี ด้วยความเป็นคนที่ทำงานด้วยความตั้งใจ งานประจำทำจันทร์-เสาร์เต็มวัน
ส่วนสามี ทำงานอิสระกว่า ไม่ต้องนั่งประจำออฟฟิศ
เป้าหมายที่ตั้งใจตั้งแต่แรกที่ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน คือ สร้างตัวเองครอบครัว ดูแลพ่อแม่พี่น้อง เราก็ตั้งใจสร้างทรัพย์สินจากการทำงานประจำ และรับงานมาทำเป็นเคสๆ เก็บหอมรอมริบ ซื้อรถ คอนโด บ้าน ที่ดินเล็กๆน้อยๆ จากน้ำพักน้ำแรงเราคนเดียว
สงสัยใช่ไหมว่า แล้วทำไมสามีไม่ช่วย ด้วยความที่เขาเป็นคนมีอดีต เคยผ่านการมีครอบครัว แต่หย่าล้างกันไป แต่ยังคงต้องส่งเสียตามหน้าที่
เราก็คิดดีว่า นั่นคือหน้าที่ที่เขาพึงจะต้องทำ โดยบอกเราว่าส่งให้ลูกเดือนละหนึ่งหมื่นสองพันบาทและไม่เคยก้าวก่ายใดใด
และบอกเราว่าต้องส่งให้พ่อแม่ทุกเดือนๆละสามหมื่น
ด้วยความที่เราก็เป็นคนดูแลพ่อแม่เรา คิดในแง่ดี ว่าเขาเป็นคนกตัญญู
ระหว่างที่ใช้ชีวิตด้วยกัน เราก็ทำงานของเรา ผ่อนรถ ผ่อนคอนโด ผ่อนบ้าน จัดการค่าใช้จ่ายส่วนของพ่อแม่เรา ด้วยเงินที่มาจากน้ำพักน้ำแรงเราคนเดียว ไม่ได้รู้สึกว่าเสียเปรียบอะไรเลย แต่เป็นความภูมิใจที่เรากำลังสร้างความมั่นคงให้ครอบครัว ก่อนจะวางแผนการมีลูกในอนาคต
ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตามปกติ วันหยุดก็ไปต่างจังหวัดไปบ้านพ่อแม่เรา ดูมีความสุขดี ตลอดแปดปีกว่าๆ ไม่มีสิ่งใดมาทำให้รู้สึกไม่ดี
แต่วันหนึ่ง ก็มีสัญญานที่ไม่ดีเลยกับชีวิตเราและเขา อยู่ๆก็มีผู้หญิงโทรมาด่า ว่าเรา ต่างๆนานา ในวันเดียวกันถึงสองคน (**1.1,1.2) แบบไม่คาดคิดมาก่อน
เป็นไปได้อย่างไร ผู้ชายคนนี้ มีคนอื่น มีลูกที่ไม่ใช่อดีตที่เราเคยรับรู้มาเมื่อแปดปีที่แล้ว
ณ.วันนั้น เราตัดสินใจเลิก อย่างแน่นอน แต่เวรหรือกรรมอันใด เขาไม่ยอมเลิกกับเรา ด้วยเหตุผลต่างๆนานา
ด้วยความที่เราเป็นภรรยาคนเดียว ณ.เวลานั้น ที่คนในสังคมและตัวเรารับรู้ และด้วยสิ่งแวดล้อม สังคม ครอบครัว พ่อแม่เราทั้งสองฝ่าย
อะไรหลายอย่างก็มีส่วนเราให้โอกาสเขา และให้อภัย ให้เขาปรับปรุงพฤติกรรมทุกอย่างใหม่
และเริ่มต้นใหม่.....เราถามตัวเองว่า ทำไมต้องให้โอกาส วนไปมาหลายต่อหลายครั้ง
จากจุดนั้น เราก็ทบทวนและดูการกระทำ เขาก็พิสูจน์ให้เราเห็นว่า เขาดีขึ้น เริ่มสร้างตัวเองใหม่
แต่ความรับผิดชอบที่เรารับรู้เพิ่มขึ้นคือ การส่งเสียลูกที่เรารับรู้เพิ่มอีก 1 คน ค่าบ้าน ค่าเล่าเรียน อื่นๆ
ส่วนตัวสามี ก็เรียนต่อในระดับปริญญาตรี อีกสาขาอาชีพทางด้านกม. ซึ่งเราเป็นคนบอกให้เขาเรียน พาไปสมัคร กรอกใบสมัครให้ อ่านหนังสือ สรุปให้
เหมือนตัวเองเรียนเอง แต่เรารู้สึกสนุก ได้เรียนรู้ ได้อ่านหนังสือ และคิดว่าทุกอย่างก็จะดีขึ้น
เราจะได้ไม่ต่างกันมากในพื้นฐานความรู้ ในขณะนั้นเราจบปริญญาโทแล้ว
ขณะที่เขาเรียน เราก็วางแผนกันว่า ถึงเวลาที่ควรมีลูก แล้วก็มีลูกตามแผนที่วางกันไว้
ขณะที่เราท้อง เราก็ทำงานตามปกติ สามีก็ทำงานอิสระมีรายได้ตามปกติ สามีจะเรียนช่วงเย็นวันศุกร์ กลางวันเสาร์-อาทิตย์ ดึกแค่ไหนก็กลับมานอนบ้าน
เราก็ไม่โทรตาม และไม่คิดว่าจะมีอะไรเหลวไหล
แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีก บางอย่างก็เปลี่ยนไป ....มีอ้างว่าเมาขับรถกลับไม่ได้นอนบ้านเพื่อน จนเราคลอดลูก ก็มีบางสิ่งให้เราสงสัยได้อีก
กลางวันเขาทำงานเสร็จก็กลับมาเล่น ดูแลลูก แต่เย็นๆ สี่โมงกว่าๆจะขับรถออกไปทุกวัน วันเสาร์ หลังเรียนก็สังสรรค์อ้างว่าเมาตลอด นอนหอเพื่อน ไม่กล้าขับรถ กลัวตำรวจจับเป่า ตรวจวัดแอลกอฮอล์
แล้วก็ถึงวันที่ทุกอย่างออกมาให้รับรู้ สามีโทรหาเราระหว่างเราขับรถกลับจากที่ทำงาน ถามว่าจะทานอะไร จะซื้อเข้าบ้าน
เราก็บอกเมนูไป...ผ่านไปสองทุ่ม สามทุ่ม สี่ทุ่ม ยังไม่ถึงบ้าน เราโทรไปไม่รับสาย จนเวลาสี่ทุ่มกว่าๆ เราโทร(**1.3) มีผู้หญิงรับสาย เราถามว่า "ใครรับสาย" ปลายทางบอกว่า "เมีย" เราเลยบอกว่า "งั้นบอกเขาด้วยว่าลูกนอนรออยู่บ้าน" แล้วเราก็วางสาย
สามีโทรหาเราเป็นร้อยครั้ง เราไม่รับสาย
ในใจคิด นี่คือผู้หญิงคนที่สามที่เข้ามากระทบใจเรา แรงนะแบบนี้ ...แต่เราเลือกที่จะนิ่งมาตลอด
เวลาผ่านไปถึงเที่ยงคืนกว่าๆ สามีกลับมา เสียงดังโวยวาย พูดจาไม่สุภาพ
แต่เราก็นิ่ง กอดลูก อุ้มลูกไว้ ในขณะที่เขาโวยวาย พูดจาไม่ดีมากๆ บอกให้เราด่าเขา หรือทำอะไรเขา แต่สำหรับเราไม่มีอะไรต้องพูด เขาพยายามจะมาแย่งลูกจากเรา แต่เราไม่ให้ วนเวียนแบบนี้ 2-3 ชั่วโมง เราก็นิ่ง ไม่โต้ตอบ
จนถึงจุดๆหนึ่ง เราบอกว่า ถ้าจะให้ด่า ด้วยคำหยาบคาย ได้ จัดให้ แต่จะมีแค่ครั้งเดียวในชีวิต ถ้าต้องการก็จัดให้ได้ แต่ไม่ต้องมาเรียกร้องอีกนะ ครั้งเดียวพอ ..เราด่าด้วยคำหยาบจริงๆ และทุกอย่างที่เราเก็บไว้ในใจ เราพูดทีเดียว ด่าม้วนเดียวสามชั่วโมง
...ส่วนตัวเขาเงียบ นิ่ง ช็อค นอนตาแข็งไปสามชั่วโมง และอีกหนึ่งวัน หนึ่งคืน
จากวันนั้น ทุกอย่างสำหรับเขา ดีขึ้น ก็อยู่บ้านแบบไม่เกเร ทำงาน เรียน ทำตัวดีดีได้สักหนึ่งเดือน
แล้ววันหนึ่งขณะที่เขาเล่นกับลูก อยู่ๆก็มีเสียงโทรศัพท์ เข้ามา สามีขับรถออกไป ในขณะที่ลูกก็ทำหน้างงงง แล้วก็หายไปทั้งคืน วันรุ่งขึ้นกลับมาอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า หายไปอีกสามคืน
เราตัดสินใจเปลี่ยนกุญแจบ้าน พาลูกไปไหว้พระ เที่ยวเรื่อยๆ เพราะเราตั้งใจ ตั้งสติคิดแล้วว่า ถ้าวันไหนหายครบสามคืน ก็ควรไปที่ชอบนั้นเลย
จากจุดนั้น เราแยกกันอยู่ ไม่พบ ไม่สนทนา บล็อคการสื่อสารทุกช่องทาง เราทำเหมือนกับที่เขาทำกับเราใน 3-4 คืนที่หายไปนั่นหละ
ความอดทนเราสิ้นสุดลงแล้ว
สามีหายไปจากชีวิตเราและลูกนานเกือบเจ็ดเดือน วันหนึ่งเราพาลูกไปหัดเดินในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เพื่อนเขามีเฟสเรากับลูก คงบอกเขา ด้วยความเป็นพ่อ ก็พยายามเดินตามหาเรากับลูก วันแรกที่ได้กลับมาเจอกัน เราไม่เคยกีดกันความเป็นพ่อลูก
อีกสองเดือนต่อมา สามีก็ขอกลับเข้ามาอยู่บ้านกับเราและลูก แต่ด้วยความที่เราก็ยังไม่เชื่อใจและไม่คิดว่าจะปรับปรุงตัวเขาเองได้ จึงตัดสินใจเช่าห้องพักให้อยู่หน้าปากซอยหมู่บ้าน
แต่ก็จับได้ภายหลังว่า ยังไม่เลิกลากับผู้หญิงคนนั้น เพราะผู้หญิงโทรมาที่เบอร์เรา ยั่วยุ ใช้วาจาไม่ดี ด่าว่าผู้ชายที่เรายกให้ไปใช้ชีวิตด้วยต่างๆ นานา แต่เขาและเธอก็ยังวนเวียน ไปนอน ไปเที่ยวด้วยกัน
เราก็ไม่มีอะไรจะต้องสนทนา เราบอกว่า "ไม่เป็นไรคะ สามีพี่ยกให้โสเภณีมานานแล้ว"
ปลายสายกรี๊ดเสียงดัง เราก็วางสายไป ทุกอย่างเป้นอย่างไร เราก็ไม่ได้ใส่ใจอีกจากนั้น
บางคราวก็มีภาพที่ผู้หญิงถ่ายรูปกับรถเรามาโพสในไลน์ ในเฟส ส่งมาให้เรา..
เราก็ไม่คิดอะไร เพราะเราปลงและไม่ใส่ใจอะไรไปมากกว่าลูก
วันเวลาผ่านไป ผู้หญิงคนนั้นก็หายไปจากชีวิตเขา เราก็ไม่เคยถามอะไร
ส่วนเราก็อยู่บ้านเรา สามีก็อยู่อพาร์ทเม้นหน้าปากทางเข้าหมู่บ้าน จะเที่ยว จะไปไหนก็แล้วแต่ตามสบาย
เราบอกแค่ว่า ทำตัวดี พฤติกรรมดีได้เมื่อไหร่ ค่อยกลับมาอยู่บ้าน
แต่ดูเหมือนสามีจะหลงระเริงบันเทิงใจมากกว่า
นี่เป็นสัตว์จะทำของคนคิดไม่ได้จริงๆ ก็คงใช่
เราให้อยู่เช่นนั้นนานเกือบสามปี วันหนึ่งก็มีเหตุ นี่ขนาดอยู่ซอยเดียวกันนะ
ลูกบอกไปกินข้าวกัน ไปกับพ่อด้วยนะ เดี๋ยวเราแวะไปห้องพ่อกัน เราก็พยายามโทรยังงัยก็ไม่รับสาย เลยเดินไปเคาะประตู..ไม่เปิด เลยไขกุญแจเข้าไป ป๊าดดดดดด..เจอหมาขี้เรื้อนใส่ชุดดำบางๆ (**1.4) นอนบนเตียง เฮ้ยๆๆๆ มันใช่ไหมนั่น
โสเภณีคนใหม่ มาแต่ชาติปางไหน ไม่ทราบ
สามีพยายามมาล็อคประตู
เราเลยใช้ตรีนเพชรฆาตรถีบประตู กลอนล็อคกระจาย ส่วนลูกตกใจ งง
ด้วยความเป็นแม่ เลยบอกลูกตรงหน้าห้องว่า
วันนี้เราไม่ต้องเข้าห้องพ่อนะครับ พ่อเอาหมาขี้เรื้อนมาเลี้ยง สกปรก ขนร่วงเต็มห้อง เดี๋ยวเราเข้าบ้านกันก่อน พ่อจะตามเข้าไปเอง
...เจ็บปวดแค่ไหน แต่แม่ก็คือแม่ อ่อนโยนสำหรับลูกเสมอ
ใครๆ คงคิดว่า เหตุการณ์แรงขนาดนี้ ความสงบน่าจะเกิดขึ้นได้ เราก็ยังคงปกติ เวลาผ่านไปนาน 2-3 เดือน สามีบอกเลิกกับหมาขี้เรื้อนแล้ว เราก็เฉยๆ เพราะไม่เคยเชื่อในวาจาของเขา คิดว่า แยกกันอยู่แบบนี้ดีแล้ว เราสบายใจดี
แล้วอยู่มาวันหนึ่ง มีเหตุให้เราต้องเดินทางมาห้องที่สามีอยู่ วันนี้ไม่เคาะประตู ไขกุญแจเข้าไปเลย เจอสิครับ หมาขี้เรื้อนนั่งอยู่บนที่นอน เราไล่ออกไป และโยนของเขาออกไป ส่วนสามีเดินมากอดเราแล้วทำหน้ากะล่อน ขอโทษ ไม่มีอะไรจริงๆ น้องมาอ่านหนังสือ เราเลยบอก อีหมาขี้เรื้อนที่มานอนวันนั้นนี่นะมาอ่านหนังสือ ตบหน้าไปสองที เราก็กลับไปกิจกรรมงานที่ทำงานต่อ
พอสิ้นเดือนนั้นเราแจ้งย้ายห้อง ขนของทั้งหมดเข้าบ้าน บางส่วนทิ้งเลย
ตัวสามียังดึงดัน จะไม่มาอยู่บ้าน นอนแถอยู่ห้อง ถึงสิ้นเดือน แต่นั่นก็เรื่องของเขา
สักพักก็เข้ามาอยู่บ้าน แต่สันดานและพฤติกรรมยังไม่เปลี่ยน หายไปข้ามวันข้ามคืนยามหมาขี้เรื้อนเรียกร้อง วนเวียนแบบนั้นเป็นวัฏจักร
ช่วงเวลาที่อยู่บ้านก็ช่วงเวลาที่คู่ขาออกไปหากินต่างประเทศ 2-3 เดือน พอกลับมาก็วนเวียนแบบเดิม
คำถาม ถ้าเป็นคุณจะกล้านอนกับสามีไหม...ส่วนตัวเราบอกเลยว่าไม่
ตอนไม่รู้อะไร เห็นทำตัวดีดีเป็นระยะ เราก็ทำหน้าที่ภรรยาตามปกติ ไม่ได้ขาดตกบกพร่องในหน้าที่ภรรยา
แต่ทุกอย่างเกิดจากความไม่รู้จักพอของเขาคนเดียว
พอทราบสถานการณ์ที่เป็นไป เราล็อคประตูห้องนอนสองชั้น นอนกอดลูกให้สบายใจ ปลอดภัยตัวเองดีกว่า
วันเวลาผ่านไป ก็ดูเหมือนว่าจะดี กลับมาตั้งใจทำงาน เข้าสู่สภาวะเกือบปกติ
การเที่ยว สังสรรค์ เราไม่ว่าอะไร แค่ขอให้กลับมานอนบ้านทุกคืนก่อนเรากับลูกจะตื่น....
(เดี๋ยวมาเหลาต่อ..... เรื่องราวเยอะเกิ๊นนนน ที่เหลามาแค่หัวเรื่อง)
((**1.1,1.2,1.3,1.4,1........ เอาไว้ Ref. ในหัวข้อเพิ่มเติม)