ผมไปเห็นบทความเกี่ยวกับหงส์แดงซึ่งวิจารณ์โดยอดีตบอสราฟาครับ เห็นว่าน่าสนใจดีจึงเอามาให้ชมกันครับ
----------------
📖| How Jurgen Klopp’s side play and how to beat them.
บทความที่พูดถึงสไตล์การเล่นของ Liverpool ในยุคของ Jurgen Klopp ซึ่งเขียนโดย Rafael Benitez ใน The Athletic
__________________________
🖋.. ตลอดเวลาที่ผ่านมา Liverpool ทำงานอย่างหนักเพื่อพยายามคว้าแชมป์ลีกมาครอบครองให้ได้, และพวกเขาสมควรเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับมันเมื่อวันที่การคอนเฟิร์มการเป็นแชมป์ได้มาถึงในท้ายที่สุด, พวกเขาเข้าใกล้กับการเป็นแชมป์มาหลายปีรวมถึงเมื่อตอนที่เราเคยอยู่ในจุดนั้น และอีกครั้งภายใต้ยุคของ Brendan Rodgers, และในที่สุดพวกเขาจะสามารถทำการเฉลิมฉลองกับงานที่พวกเขาทำได้ออกมาอย่างดีมากๆ, ในฐานะอดีตผู้จัดการทีมของพวกเขา, ผู้ที่เคยผ่านพบกับประสบการณ์แห่งความสุขและกับหลายสิ่งที่ได้รับที่ Anfield, ผมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก,
หลังจากสิ้นสุดฤดูกาลซูเปอร์ลีกที่จีนในเดือนธันวาคม, บางครั้งผมก็ใช้เวลาอยู่ที่บ้านในอังกฤษและมีความสุขกับการได้ดู Liverpool ลงเล่น, ตอนนี้ผมอยู่ในสเปนกับต้าเหลียนทีมของเรา, ผมพอจะมีเวลาว่างอยู่บ้างในค่ายฝึกซ้อมพรี-ซีซั่นของเราเพื่อดูว่าในพรีเมียร์ลีกตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง, ดูเพื่อวิเคราะห์วิธีการเล่นของ Liverpool, แทคติคกลยุทธ์ที่นำพาพวกเขามายืนอยู่ถึงจุดนี้ และมีอะไรบ้างที่พวกเขาได้พัฒนาปรับปรุงขึ้นมา,
ผมขอเริ่มต้นด้วยสิ่งที่เป็นพื้นฐานก่อน, Liverpool เล่นด้วยระบบ 4-3-3 โดยมีฟูลแบ็คคอยวิ่งทะยานพุ่งขึ้นไปข้างหน้าตลอดเวลา, จริงๆมันก็เป็นวิธีการที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในการขึ้นเกม,โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกทีมระดับท็อปเนื่องด้วยผู้เล่นคุณภาพที่พวกเขามักจะมีอยู่ตรงบริเวณโซนกลางสนาม, Jurgen Klopp ทำในแบบเดียวกันกับที่ Borussia Dortmund, แต่ในตอนนี้มันได้รับการยกระดับขึ้นมาอีกด้วยความเข้มข้นดุดันและความแข็งแกร่งของสภาพร่างกายของผู้เล่น Liverpool,
นี่คือสิ่งที่เป็นความหมายของมันอย่างแท้จริงเมื่อมีคนพูดถึงคำว่า ‘Gegenpressing’, เมื่อ Klopp พูดถึงคำว่า ‘เฮฟวีเมทัลฟุตบอล’, มันเป็นเรื่องของความเข้มข้นดุดันระดับสูง, เพรสซิ่งในแดนสูง, การสปริ้นต์ และวิ่ง, หากผู้เล่นหลายๆคนสามารถทำสิ่งเหล่านั้นได้พร้อมๆกัน มันจะเป็นเรื่องยากสำหรับฝ่ายตรงข้ามที่จะต้องรับมือ, นั่นหมายถึงการต้องเจอกับฟูลแบ็คที่จะคอยวิ่งสอดทะลุขึ้นมาตลอดเวลา, แนวรับดันขึ้นสูง, ผู้เล่นทุกคนเล่นอย่างดุเดือดเลือดพล่าน,
ที่ Napoli ในปี 2013, เราได้เจอกับ Dortmund ของ Jurgen ในแชมเปี้ยนส์ลีก, โดยเราเอาชนะพวกเขาได้ 2-1ในบ้านและแพ้ไป 3-1 เมื่อออกไปเยือน, การทำเข้าประตูตัวเองของเราในช่วงท้ายเกมของเกมแรกมีผลกระทบต่อการเข้ารอบในกลุ่มของเราอย่างแท้จริง, ซึ่งต้องวัดกันด้วยผล H2H เมื่อ Napoli, Dortmund และ Arsenal จบด้วยการมี 12 คะแนนเท่ากัน, ผมไม่คิดว่าจะต้องเจออะไรกับเรื่องแบบนี้อีก หรือแม้แต่เรื่องอื่นๆแต่เป็นอะไรทำนองนี้!,
ผมจำได้ถึงตอนที่เตรียมทีมสำหรับการแข่งขันนัดแรก และพูดคุยกันอยู่นานเกี่ยวกับแทคติคของ Dortmund, เพราะเรารู้ว่าพวกเขาจะดันกันขึ้นมาอยู่ในโซนของพวกเราอย่างรวดเร็ว และฟูลแบ็คของพวกเขาจะดันขึ้นมาสูงมากๆ, Pierre-Emerick Aubameyang ซึ่งตอนนี้อยู่กับ Arsenal ยืนเป็นศูนย์หน้าให้พวกเขา และเขาเร็วเอาอย่างมากๆ, ดังนั้นเราต้องแน่ใจว่าเราจะแพ็คกันให้แน่น และจัดระเบียบโซนกันให้ดี และหยุดการครอสบอลเข้าไปในกรอบของพวกเขาในทุกๆพื้นที่ที่เราสามารถจะทำได้,
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเล่นด้วยความเรียบง่าย, เราบอกกับผู้เล่นของเราว่า ‘เมื่อคุณได้ครองบอล คุณจะต้องเล่นให้ง่ายเข้าไว้ และหาทางหนีออกจากการเพรสซิ่งของพวกเขาให้ได้, และแอบไปอยู่ในแนวหลังของพวกเขา’ เราทำอย่างนั้นในเกมแรกเพราะเรามีผู้เล่นดีๆในการโจมตีด้วยความเร็วและความสามารถเฉพาะตัว, ดังนั้นเราจึงสามารถผ่านบอลกันอย่างรวดเร็วสามหรือสี่จังหวะตรงแดนกลาง และทะลุไปถึงแนวหลังของพวกเขา, นั่นคือสิ่งที่ Gonzalo Higuain ทำ [ในเดือนกันยายน] เมื่อ Roman Weidenfeller ผู้รักษาประตูของ Dortmund ถูกไล่ออกเพราะทำแฮนด์บอล [ในเกมกับ Napoli],
คุณต้องมีแผนรับมือเสมอเมื่อต้องเจอกับทีมอย่าง Dortmund หรือว่า Liverpool, ซึ่งมันก็เช่นเดียวกันกับที่คุณจะต้องเจอทีมคู่แข่งอื่น ๆนั่นแหละ, แต่แน่นอนว่ามันก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้เล่นที่คุณมีด้วย, เมื่อทีม Newcastle United ของเราต้องเจอกับ Liverpool, แต่ผู้เล่นที่มีความเร็วของเรากลับไม่เร็วไปกว่าผู้เล่นของพวกเขา, ดังนั้น ในที่สุดวิธีเดียวที่จะพอทำอะไรได้บ้าง คือต้องยืนกันให้แน่นเอาไว้ให้มากๆ, แต่ปัญหาก็คือคุณไม่สามารถรักษาความเหนียวแน่นแบบนี้ไปได้อยู่ตลอดหรอกถ้าพวกเขาคอยขึงพรืดพวกคุณอยู่ในแดนตัวเองตลอดเวลา,
การตั้งรับทั้ง 90 นาทีนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้, ดังนั้นคุณต้องพยายามทำอะไรให้ได้บ้างในการเล่น Counter-attack, เพื่อคุกคาม เพื่อให้พวกเขามีความกังวลมากขึ้น, คุณต้องพยายามหนีออกจากเพรสซิ่งของพวกเขาให้ได้, การจะล้มทีมอย่าง Liverpool หรือว่า Manchester City คุณต้องมีความเร็วและความสามารถเฉพาะตัวในพื้นที่ด้านข้างในแดนหน้า, ถ้าทำไม่ได้ มันก็จะทำได้แค่ถอยลงแล้วส่งบอลกันไปมาแค่นั้น - ซึ่งคุณก็ไม่มีทางทำได้ดีกว่าพวกเขาในเรื่องนั้นอีกเช่นกัน, พวกเขาจะเร็วและแข็งแกร่งกว่าคุณเสมอ,
Liverpool มีแนวทางการเล่นเช่นเดียวกับ Dortmund, ระบบเดียวกันและแคแรคเตอร์ของผู้เล่นที่เหมือนกัน, แสดงให้เห็นถึงความเข้มข้นที่เหมือนกัน, เพรสซิ่งสูงและดุดันเหมือนกัน, ถ้างั้น แล้วทำไม Liverpool ถึงทำได้ดีกว่า? นั่นก็เป็นเพราะการที่พวกเขาเซ็นสัญญากับ Virgil van Dijk และ Alisson ยังไงล่ะ, ผู้รักษาประตูของพวกเขาทำให้พวกเขามีอะไรที่พิเศษยิ่งขึ้นไปอีกนอกเหนือจากสิ่งที่พวกเขามีอยู่แล้วนั่นคือกลุ่มผู้เล่นที่ดีมากๆ,
เมื่อคุณวิเคราะห์สถิติ, การเปรียบเทียบระหว่างLiverpool กับ Manchester City คุณจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนมากๆ, City ทำประตูได้มากกว่า, ประตูที่คาดหมายได้มีมากกว่า, จังหวะยิงมีมากกว่า และผ่านบอลมากกว่า Liverpool, แต่ทีมของ Klopp มีความแม่นยำมากกว่า, พวกเขาสร้างโอกาสได้มากกว่าในการเล่นลูกเซ็ทพีซ และผ่านบอลเข้าไปในกรอบได้มากกว่าซึ่งรวมทั้งการครอสบอลและลูกคอร์เนอร์, พวกเขาแข็งแกร่งกว่าในเกมรับในพื้นที่เกือบทุกตารางนิ้ว, แข็งแกร่งกว่าในลูกกลางอากาศ การแย่งบอลคืนและการดวลกันตัวต่อตัว,
สิ่งทั้งหมดนี้บอกอะไรเราได้บ้าง? บางทีอาจมีบางส่ิงที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพจิตใจและความมั่นใจที่เหนือกว่า, เมื่อคุณเอาชนะได้ตลอด, คุณจะรู้ว่าตัวเองว่าคุณสามารถที่จะเก็บแต้มได้เสมอ, เช่นเดียวกันกับในเกมที่ยากขึ้นกับช่วงเวลาที่ต้องมีความอดทนสักเล็กน้อย,
นอกจากนั้น, มันยังบอกเราได้อีกว่าจุดแข็งของ Liverpool คือการเป็นทีมที่ถนัดการโจมตีด้วยเกมเคาน์เตอร์แอทแท็ค, พวกเขายอดเยี่ยมและแข็งแกร่งมากจนทีมอื่นๆต้องได้แต่ถอยลงไปอุดกันตลอด, แต่พวกเขาก็จะหาทางเจาะคู่ต่อสู้ด้วยลูกครอส และลูกเตะมุม และอะไรแบบนั้น - ฟูลแบ็คทั้งสองข้างอย่าง Andy Robertson และ Trent Alexander-Arnold ต่างครอสบอล และทำแอสซิสต์กันได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ - แต่ความเป็นจริงก็คือสไตล์การเล่นของพวกเขาเหมาะกับพรีเมียร์ลีกเป็นอย่างมากเพราะพลังและความแข็งแกร่งทางร่างกายของพวกเขา,
การที่ความแม่นยำของการยิงมีสถิติสูงมาก, นั่นเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นมาจากการที่คุณมีโอกาสจะแจ้งในการทำประตู และนั่นมักจะมาจากเกมเคาน์เตอร์แอทแท็ค, เมื่อทีมใดทีมหนึ่งได้ครองบอลอยู่ตลอดเวลา, เช่นเดียวกับที่ City ทำ, ทีมอื่น ๆ จะได้แต่ตั้งรับ และต้องใช้ผู้เล่นทั้ง 11 คนเพื่อเล่นบอล, ซึ่งมันยิ่งเป็นเรื่องที่ยากขึ้นไปอีกที่จะมีโอกาสแบบจะๆในการทำประตู, และด้วยความแม่นยำในระดับเดียวกัน, และพอเมื่อคุณโต้กลับ โซนอีกทีมก็จะเปิด, คุณก็จะทะลุเข้าในกรอบได้ และทำประตูได้ง่ายขึ้น,
มันเป็นเรื่องที่เพอร์เฟคท์ถ้าทีมมีผู้เล่นหนึ่งคนที่ทำงานหนักน้อยกว่าคนอื่นๆเขา แต่สามารถสร้างความแตกต่างได้, แต่ถ้าเขาได้รับบาดเจ็บขึ้นมาก็มีโอกาสมากที่คุณจะไม่ประสบความสำเร็จ, แต่ในกรณีของ Liverpool,เรากำลังพูดถึงสิ่งที่พวกเขากำลังแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ และไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้เล่นแค่เพียงคนเดียว, พวกเขาสามารถโรเตชั่นผู้เล่นสี่หรือห้าคนในไลน์อัพ และยังคงรักษาความแข็งแกร่ง และทีมเวิร์ค,
Van Dijk ไม่เพียงแต่มีความสำคัญเพราะสิ่งที่เขาสามารถทำได้ในเกมรับเท่านั้น, แต่ด้วยสิ่งที่เขาสามารถสร้างออกมาได้จากแนวหลังทำให้เพื่อนร่วมทีมของเขาสามารถยืนอยู่ในตำแหน่งที่ดีได้อีกด้วย และเพราะเขาอันตรายเสมอในลูกเซ็ทพีซ, ฟูลแบ็คเป็นส่วนสำคัญเพราะพวกเขาผ่านบอล และครอสบอลได้เยอะมาก และทะยานขึ้นไปข้างหน้าตลอดเวลา, มิดฟิลด์คอยเก็บบอล และรักษาระดับความเข้มข้นเอาไว้, ในขณะที่แนวรุกทั้งสาม Mohamed Salah, Sadio Mane และ Roberto Firmino สามารถทำประตูได้และสร้างความแตกต่าง,
สิ่งสำคัญของที่นี่คือคุณไม่จำเป็นต้องพูดว่าใครเป็นคนที่สำคัญที่สุดเพราะ Liverpool เป็นทีมที่ทุกคนมีหน้าที่ของตัวเองที่ต้องทำ และพวกเขาก็ทำได้ดี, ทีมดีๆบางทีมต้องพึ่งพาผู้เล่นสำคัญเพียงรายเดียวแต่ไม่ใช่กับที่นี่, พวกเขาไม่ได้มีแค่เพียงคนเดียว แต่พวกเขาทุกคนมีส่วนร่วมที่เต็มไปด้วยบทบาทของตนเองเพื่อให้ทุกคนแข็งแกร่งขึ้นและดีขึ้น,
โจทก์เหล่านี้ขึ้นอยู่กับทีมของคุณ, ผู้เล่นที่คุณมีและสถานการณ์ที่คุณต้องเจอ, ตัวอย่างเช่น, เมื่อครั้งที่เราทำงานที่ Valencia ที่เราคว้าแชมป์ลาลีกาได้สองครั้ง เช่นเดียวกับ UEFA Cup, เราเดินหน้า และเล่นด้วยสไตล์ที่ดุดัน และเล่นฟุตบอลเคาน์เตอร์แอทแท็คได้ดี, และเช่นกันเมื่อสมัยเราทำทีม Extremadura คุณต้องเล่นแบบตั้งรับ, คุณต้องมีวิธีการบริหารจัดการทีมของคุณ,
เราคงไม่สามารถที่จะลืมได้ว่า ทีมที่อยู่หัวตารางมักจะเป็นสโมสรที่มีเงินมากที่สุด, มันเป็นอย่างนั้นตั้งแต่สมัยผมมาคุมทีมที่อังกฤษเป็นครั้งแรก, ส่วนเรื่องเล่าขานแบบ Leicester City มันจะเกิดขึ้นได้ก็แค่ในรอบ 100 ปีมีทีหนึ่ง หรืออาจจะมากกว่านั้น, แต่โดยปกติแล้วก็มักจะเป็นทีมที่ซื้อผู้เล่นมากที่สุด และจ่ายค่าเหนื่อยได้มากที่สุด มีรายได้มากที่สุดนั่นแหล่ะ, ซึ่งถ้าหากคุณไปที่สเปน, เยอรมนี หรืออิตาลี มันก็จะเป็นในแบบเดียวกัน,
เงินช่วยให้คุณสามารถที่จะทำผิดพลาดได้ และหนีห่างจากมันได้, ตามทฤษฎี ถ้าคุณซื้อผู้เล่นคุณภาพและมีราคาแพงเข้ามาสักห้าคน, แต่มีหนึ่งหรือสองคนที่มันไม่เกิด มันก็ยังมีผู้เล่นอีกสามคนที่เหลือที่สามารถแจ้งเกิดได้ สามารถที่จะสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นได้, แต่ถ้าคุณต้องทำทีมงบน้อยต้องใช้จ่ายแบบวัดดวง, โอกาสที่คุณจะมีข้อผิดพลาดก็เพิ่มมากขึ้นเพราะคุณต้องซื้อผู้เล่นจากกลุ่มที่อยู่ในอีกเลเวลหนึ่ง,
ข้อดีของ Liverpool คือพวกเขาสามารถที่จะเซ็นสัญญากับนักเตะที่พวกเขาต้องการที่เข้ากับผู้จัดการทีมที่มีสไตล์การเล่นที่ดีได้ เป็นอีกหนึ่งสมการที่ช่วยส่งเสริมให้ประสบความสำเร็จ, แต่เหนือสิ่งอื่นใด เราต้องให้เครดิตทั้งหมดแก่พวกเขาเพราะพวกเขาทำได้ดีมากๆ, เป็นเรื่องที่ดีที่ได้เห็นจริงๆ./
ที่มา : Liverpool Thailand Fanclub - LTF
สไตล์การเล่นของหงส์แดงในยุคคล็อปป์ : บทความโดยราฟาเอล เบนิเตซ
----------------
📖| How Jurgen Klopp’s side play and how to beat them.
บทความที่พูดถึงสไตล์การเล่นของ Liverpool ในยุคของ Jurgen Klopp ซึ่งเขียนโดย Rafael Benitez ใน The Athletic
__________________________
🖋.. ตลอดเวลาที่ผ่านมา Liverpool ทำงานอย่างหนักเพื่อพยายามคว้าแชมป์ลีกมาครอบครองให้ได้, และพวกเขาสมควรเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับมันเมื่อวันที่การคอนเฟิร์มการเป็นแชมป์ได้มาถึงในท้ายที่สุด, พวกเขาเข้าใกล้กับการเป็นแชมป์มาหลายปีรวมถึงเมื่อตอนที่เราเคยอยู่ในจุดนั้น และอีกครั้งภายใต้ยุคของ Brendan Rodgers, และในที่สุดพวกเขาจะสามารถทำการเฉลิมฉลองกับงานที่พวกเขาทำได้ออกมาอย่างดีมากๆ, ในฐานะอดีตผู้จัดการทีมของพวกเขา, ผู้ที่เคยผ่านพบกับประสบการณ์แห่งความสุขและกับหลายสิ่งที่ได้รับที่ Anfield, ผมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก,
หลังจากสิ้นสุดฤดูกาลซูเปอร์ลีกที่จีนในเดือนธันวาคม, บางครั้งผมก็ใช้เวลาอยู่ที่บ้านในอังกฤษและมีความสุขกับการได้ดู Liverpool ลงเล่น, ตอนนี้ผมอยู่ในสเปนกับต้าเหลียนทีมของเรา, ผมพอจะมีเวลาว่างอยู่บ้างในค่ายฝึกซ้อมพรี-ซีซั่นของเราเพื่อดูว่าในพรีเมียร์ลีกตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง, ดูเพื่อวิเคราะห์วิธีการเล่นของ Liverpool, แทคติคกลยุทธ์ที่นำพาพวกเขามายืนอยู่ถึงจุดนี้ และมีอะไรบ้างที่พวกเขาได้พัฒนาปรับปรุงขึ้นมา,
ผมขอเริ่มต้นด้วยสิ่งที่เป็นพื้นฐานก่อน, Liverpool เล่นด้วยระบบ 4-3-3 โดยมีฟูลแบ็คคอยวิ่งทะยานพุ่งขึ้นไปข้างหน้าตลอดเวลา, จริงๆมันก็เป็นวิธีการที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในการขึ้นเกม,โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกทีมระดับท็อปเนื่องด้วยผู้เล่นคุณภาพที่พวกเขามักจะมีอยู่ตรงบริเวณโซนกลางสนาม, Jurgen Klopp ทำในแบบเดียวกันกับที่ Borussia Dortmund, แต่ในตอนนี้มันได้รับการยกระดับขึ้นมาอีกด้วยความเข้มข้นดุดันและความแข็งแกร่งของสภาพร่างกายของผู้เล่น Liverpool,
นี่คือสิ่งที่เป็นความหมายของมันอย่างแท้จริงเมื่อมีคนพูดถึงคำว่า ‘Gegenpressing’, เมื่อ Klopp พูดถึงคำว่า ‘เฮฟวีเมทัลฟุตบอล’, มันเป็นเรื่องของความเข้มข้นดุดันระดับสูง, เพรสซิ่งในแดนสูง, การสปริ้นต์ และวิ่ง, หากผู้เล่นหลายๆคนสามารถทำสิ่งเหล่านั้นได้พร้อมๆกัน มันจะเป็นเรื่องยากสำหรับฝ่ายตรงข้ามที่จะต้องรับมือ, นั่นหมายถึงการต้องเจอกับฟูลแบ็คที่จะคอยวิ่งสอดทะลุขึ้นมาตลอดเวลา, แนวรับดันขึ้นสูง, ผู้เล่นทุกคนเล่นอย่างดุเดือดเลือดพล่าน,
ที่ Napoli ในปี 2013, เราได้เจอกับ Dortmund ของ Jurgen ในแชมเปี้ยนส์ลีก, โดยเราเอาชนะพวกเขาได้ 2-1ในบ้านและแพ้ไป 3-1 เมื่อออกไปเยือน, การทำเข้าประตูตัวเองของเราในช่วงท้ายเกมของเกมแรกมีผลกระทบต่อการเข้ารอบในกลุ่มของเราอย่างแท้จริง, ซึ่งต้องวัดกันด้วยผล H2H เมื่อ Napoli, Dortmund และ Arsenal จบด้วยการมี 12 คะแนนเท่ากัน, ผมไม่คิดว่าจะต้องเจออะไรกับเรื่องแบบนี้อีก หรือแม้แต่เรื่องอื่นๆแต่เป็นอะไรทำนองนี้!,
ผมจำได้ถึงตอนที่เตรียมทีมสำหรับการแข่งขันนัดแรก และพูดคุยกันอยู่นานเกี่ยวกับแทคติคของ Dortmund, เพราะเรารู้ว่าพวกเขาจะดันกันขึ้นมาอยู่ในโซนของพวกเราอย่างรวดเร็ว และฟูลแบ็คของพวกเขาจะดันขึ้นมาสูงมากๆ, Pierre-Emerick Aubameyang ซึ่งตอนนี้อยู่กับ Arsenal ยืนเป็นศูนย์หน้าให้พวกเขา และเขาเร็วเอาอย่างมากๆ, ดังนั้นเราต้องแน่ใจว่าเราจะแพ็คกันให้แน่น และจัดระเบียบโซนกันให้ดี และหยุดการครอสบอลเข้าไปในกรอบของพวกเขาในทุกๆพื้นที่ที่เราสามารถจะทำได้,
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเล่นด้วยความเรียบง่าย, เราบอกกับผู้เล่นของเราว่า ‘เมื่อคุณได้ครองบอล คุณจะต้องเล่นให้ง่ายเข้าไว้ และหาทางหนีออกจากการเพรสซิ่งของพวกเขาให้ได้, และแอบไปอยู่ในแนวหลังของพวกเขา’ เราทำอย่างนั้นในเกมแรกเพราะเรามีผู้เล่นดีๆในการโจมตีด้วยความเร็วและความสามารถเฉพาะตัว, ดังนั้นเราจึงสามารถผ่านบอลกันอย่างรวดเร็วสามหรือสี่จังหวะตรงแดนกลาง และทะลุไปถึงแนวหลังของพวกเขา, นั่นคือสิ่งที่ Gonzalo Higuain ทำ [ในเดือนกันยายน] เมื่อ Roman Weidenfeller ผู้รักษาประตูของ Dortmund ถูกไล่ออกเพราะทำแฮนด์บอล [ในเกมกับ Napoli],
คุณต้องมีแผนรับมือเสมอเมื่อต้องเจอกับทีมอย่าง Dortmund หรือว่า Liverpool, ซึ่งมันก็เช่นเดียวกันกับที่คุณจะต้องเจอทีมคู่แข่งอื่น ๆนั่นแหละ, แต่แน่นอนว่ามันก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้เล่นที่คุณมีด้วย, เมื่อทีม Newcastle United ของเราต้องเจอกับ Liverpool, แต่ผู้เล่นที่มีความเร็วของเรากลับไม่เร็วไปกว่าผู้เล่นของพวกเขา, ดังนั้น ในที่สุดวิธีเดียวที่จะพอทำอะไรได้บ้าง คือต้องยืนกันให้แน่นเอาไว้ให้มากๆ, แต่ปัญหาก็คือคุณไม่สามารถรักษาความเหนียวแน่นแบบนี้ไปได้อยู่ตลอดหรอกถ้าพวกเขาคอยขึงพรืดพวกคุณอยู่ในแดนตัวเองตลอดเวลา,
การตั้งรับทั้ง 90 นาทีนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้, ดังนั้นคุณต้องพยายามทำอะไรให้ได้บ้างในการเล่น Counter-attack, เพื่อคุกคาม เพื่อให้พวกเขามีความกังวลมากขึ้น, คุณต้องพยายามหนีออกจากเพรสซิ่งของพวกเขาให้ได้, การจะล้มทีมอย่าง Liverpool หรือว่า Manchester City คุณต้องมีความเร็วและความสามารถเฉพาะตัวในพื้นที่ด้านข้างในแดนหน้า, ถ้าทำไม่ได้ มันก็จะทำได้แค่ถอยลงแล้วส่งบอลกันไปมาแค่นั้น - ซึ่งคุณก็ไม่มีทางทำได้ดีกว่าพวกเขาในเรื่องนั้นอีกเช่นกัน, พวกเขาจะเร็วและแข็งแกร่งกว่าคุณเสมอ,
Liverpool มีแนวทางการเล่นเช่นเดียวกับ Dortmund, ระบบเดียวกันและแคแรคเตอร์ของผู้เล่นที่เหมือนกัน, แสดงให้เห็นถึงความเข้มข้นที่เหมือนกัน, เพรสซิ่งสูงและดุดันเหมือนกัน, ถ้างั้น แล้วทำไม Liverpool ถึงทำได้ดีกว่า? นั่นก็เป็นเพราะการที่พวกเขาเซ็นสัญญากับ Virgil van Dijk และ Alisson ยังไงล่ะ, ผู้รักษาประตูของพวกเขาทำให้พวกเขามีอะไรที่พิเศษยิ่งขึ้นไปอีกนอกเหนือจากสิ่งที่พวกเขามีอยู่แล้วนั่นคือกลุ่มผู้เล่นที่ดีมากๆ,
เมื่อคุณวิเคราะห์สถิติ, การเปรียบเทียบระหว่างLiverpool กับ Manchester City คุณจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนมากๆ, City ทำประตูได้มากกว่า, ประตูที่คาดหมายได้มีมากกว่า, จังหวะยิงมีมากกว่า และผ่านบอลมากกว่า Liverpool, แต่ทีมของ Klopp มีความแม่นยำมากกว่า, พวกเขาสร้างโอกาสได้มากกว่าในการเล่นลูกเซ็ทพีซ และผ่านบอลเข้าไปในกรอบได้มากกว่าซึ่งรวมทั้งการครอสบอลและลูกคอร์เนอร์, พวกเขาแข็งแกร่งกว่าในเกมรับในพื้นที่เกือบทุกตารางนิ้ว, แข็งแกร่งกว่าในลูกกลางอากาศ การแย่งบอลคืนและการดวลกันตัวต่อตัว,
สิ่งทั้งหมดนี้บอกอะไรเราได้บ้าง? บางทีอาจมีบางส่ิงที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพจิตใจและความมั่นใจที่เหนือกว่า, เมื่อคุณเอาชนะได้ตลอด, คุณจะรู้ว่าตัวเองว่าคุณสามารถที่จะเก็บแต้มได้เสมอ, เช่นเดียวกันกับในเกมที่ยากขึ้นกับช่วงเวลาที่ต้องมีความอดทนสักเล็กน้อย,
นอกจากนั้น, มันยังบอกเราได้อีกว่าจุดแข็งของ Liverpool คือการเป็นทีมที่ถนัดการโจมตีด้วยเกมเคาน์เตอร์แอทแท็ค, พวกเขายอดเยี่ยมและแข็งแกร่งมากจนทีมอื่นๆต้องได้แต่ถอยลงไปอุดกันตลอด, แต่พวกเขาก็จะหาทางเจาะคู่ต่อสู้ด้วยลูกครอส และลูกเตะมุม และอะไรแบบนั้น - ฟูลแบ็คทั้งสองข้างอย่าง Andy Robertson และ Trent Alexander-Arnold ต่างครอสบอล และทำแอสซิสต์กันได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ - แต่ความเป็นจริงก็คือสไตล์การเล่นของพวกเขาเหมาะกับพรีเมียร์ลีกเป็นอย่างมากเพราะพลังและความแข็งแกร่งทางร่างกายของพวกเขา,
การที่ความแม่นยำของการยิงมีสถิติสูงมาก, นั่นเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นมาจากการที่คุณมีโอกาสจะแจ้งในการทำประตู และนั่นมักจะมาจากเกมเคาน์เตอร์แอทแท็ค, เมื่อทีมใดทีมหนึ่งได้ครองบอลอยู่ตลอดเวลา, เช่นเดียวกับที่ City ทำ, ทีมอื่น ๆ จะได้แต่ตั้งรับ และต้องใช้ผู้เล่นทั้ง 11 คนเพื่อเล่นบอล, ซึ่งมันยิ่งเป็นเรื่องที่ยากขึ้นไปอีกที่จะมีโอกาสแบบจะๆในการทำประตู, และด้วยความแม่นยำในระดับเดียวกัน, และพอเมื่อคุณโต้กลับ โซนอีกทีมก็จะเปิด, คุณก็จะทะลุเข้าในกรอบได้ และทำประตูได้ง่ายขึ้น,
มันเป็นเรื่องที่เพอร์เฟคท์ถ้าทีมมีผู้เล่นหนึ่งคนที่ทำงานหนักน้อยกว่าคนอื่นๆเขา แต่สามารถสร้างความแตกต่างได้, แต่ถ้าเขาได้รับบาดเจ็บขึ้นมาก็มีโอกาสมากที่คุณจะไม่ประสบความสำเร็จ, แต่ในกรณีของ Liverpool,เรากำลังพูดถึงสิ่งที่พวกเขากำลังแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ และไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้เล่นแค่เพียงคนเดียว, พวกเขาสามารถโรเตชั่นผู้เล่นสี่หรือห้าคนในไลน์อัพ และยังคงรักษาความแข็งแกร่ง และทีมเวิร์ค,
Van Dijk ไม่เพียงแต่มีความสำคัญเพราะสิ่งที่เขาสามารถทำได้ในเกมรับเท่านั้น, แต่ด้วยสิ่งที่เขาสามารถสร้างออกมาได้จากแนวหลังทำให้เพื่อนร่วมทีมของเขาสามารถยืนอยู่ในตำแหน่งที่ดีได้อีกด้วย และเพราะเขาอันตรายเสมอในลูกเซ็ทพีซ, ฟูลแบ็คเป็นส่วนสำคัญเพราะพวกเขาผ่านบอล และครอสบอลได้เยอะมาก และทะยานขึ้นไปข้างหน้าตลอดเวลา, มิดฟิลด์คอยเก็บบอล และรักษาระดับความเข้มข้นเอาไว้, ในขณะที่แนวรุกทั้งสาม Mohamed Salah, Sadio Mane และ Roberto Firmino สามารถทำประตูได้และสร้างความแตกต่าง,
สิ่งสำคัญของที่นี่คือคุณไม่จำเป็นต้องพูดว่าใครเป็นคนที่สำคัญที่สุดเพราะ Liverpool เป็นทีมที่ทุกคนมีหน้าที่ของตัวเองที่ต้องทำ และพวกเขาก็ทำได้ดี, ทีมดีๆบางทีมต้องพึ่งพาผู้เล่นสำคัญเพียงรายเดียวแต่ไม่ใช่กับที่นี่, พวกเขาไม่ได้มีแค่เพียงคนเดียว แต่พวกเขาทุกคนมีส่วนร่วมที่เต็มไปด้วยบทบาทของตนเองเพื่อให้ทุกคนแข็งแกร่งขึ้นและดีขึ้น,
โจทก์เหล่านี้ขึ้นอยู่กับทีมของคุณ, ผู้เล่นที่คุณมีและสถานการณ์ที่คุณต้องเจอ, ตัวอย่างเช่น, เมื่อครั้งที่เราทำงานที่ Valencia ที่เราคว้าแชมป์ลาลีกาได้สองครั้ง เช่นเดียวกับ UEFA Cup, เราเดินหน้า และเล่นด้วยสไตล์ที่ดุดัน และเล่นฟุตบอลเคาน์เตอร์แอทแท็คได้ดี, และเช่นกันเมื่อสมัยเราทำทีม Extremadura คุณต้องเล่นแบบตั้งรับ, คุณต้องมีวิธีการบริหารจัดการทีมของคุณ,
เราคงไม่สามารถที่จะลืมได้ว่า ทีมที่อยู่หัวตารางมักจะเป็นสโมสรที่มีเงินมากที่สุด, มันเป็นอย่างนั้นตั้งแต่สมัยผมมาคุมทีมที่อังกฤษเป็นครั้งแรก, ส่วนเรื่องเล่าขานแบบ Leicester City มันจะเกิดขึ้นได้ก็แค่ในรอบ 100 ปีมีทีหนึ่ง หรืออาจจะมากกว่านั้น, แต่โดยปกติแล้วก็มักจะเป็นทีมที่ซื้อผู้เล่นมากที่สุด และจ่ายค่าเหนื่อยได้มากที่สุด มีรายได้มากที่สุดนั่นแหล่ะ, ซึ่งถ้าหากคุณไปที่สเปน, เยอรมนี หรืออิตาลี มันก็จะเป็นในแบบเดียวกัน,
เงินช่วยให้คุณสามารถที่จะทำผิดพลาดได้ และหนีห่างจากมันได้, ตามทฤษฎี ถ้าคุณซื้อผู้เล่นคุณภาพและมีราคาแพงเข้ามาสักห้าคน, แต่มีหนึ่งหรือสองคนที่มันไม่เกิด มันก็ยังมีผู้เล่นอีกสามคนที่เหลือที่สามารถแจ้งเกิดได้ สามารถที่จะสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นได้, แต่ถ้าคุณต้องทำทีมงบน้อยต้องใช้จ่ายแบบวัดดวง, โอกาสที่คุณจะมีข้อผิดพลาดก็เพิ่มมากขึ้นเพราะคุณต้องซื้อผู้เล่นจากกลุ่มที่อยู่ในอีกเลเวลหนึ่ง,
ข้อดีของ Liverpool คือพวกเขาสามารถที่จะเซ็นสัญญากับนักเตะที่พวกเขาต้องการที่เข้ากับผู้จัดการทีมที่มีสไตล์การเล่นที่ดีได้ เป็นอีกหนึ่งสมการที่ช่วยส่งเสริมให้ประสบความสำเร็จ, แต่เหนือสิ่งอื่นใด เราต้องให้เครดิตทั้งหมดแก่พวกเขาเพราะพวกเขาทำได้ดีมากๆ, เป็นเรื่องที่ดีที่ได้เห็นจริงๆ./
ที่มา : Liverpool Thailand Fanclub - LTF