ช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ที่ผ่านมา เราจะเห็นหน้ามาริโอ้บ่อยมาก แทบจะทุก ๆ ช่องโซเชียลที่ดัง ๆทั้ง นอนบ้านเพื่อน ล้างตู้เย็น the Driver BearHug ฯลฯ เรียกได้ว่าไม่เคยเห็นโอ้เดินสายโปรโมทหนังเรื่องไหนหนักขนาดนี้มาก่อน ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะว่าหน้าเรื่องนี้ จุดขายที่พอจะดึงคนเข้าโรงหนังได้ก็น่าจะมีแค่โอ้คนเดียวนั่นแหละ
เห็นความขยันแล้ว บวกกับแนวหนัง Rom-Com ที่ชอบ ผมก็ตัดสินใจไปดูซักหน่อย โดยไม่ได้คาดหวังอะไรเลย ตอนออกจากโรงหนังนี่ ยอมรับเลยว่า รู้สึก Happy มาก เหมือนได้กินขนมอร่อย ๆ รสเบา ๆ บอกก่อนว่า Low Season ไม่จัดอยู่ในกลุ่มหนังดีเด่อะไรเลยด้วย (ถ้าอยากดูหนังดี ของเชิญดูพาราไซต์ หรือ 1917 เลยครับ หนังดีมาก) บทหนังมันแผลเยอะเลยหละ แต่มันเป็นหนังที่เรียกว่า Feel Good ได้อย่างเต็มปากครับ
พล็อตเรื่องมันสูตรสำเร็จมาก... ชุมนุมคนโสดที่หนีไปเลียแผลใจไปอยู่ท่ามกลางป่าเขา ผจญภัยด้วยกัน หนีผีด้วยกัน และบทสรุปที่ happy ending ไม่มีอะไรที่เหนือความคาดหมายเลย จะมีรสชาติแปลกๆ หน่อยก็ตอนผสานความเป็นหนังผี หนังรัก และหนังตลก ที่ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ดี หนังเรื่องนี้อย่าได้ถามหาความสมจริงนะครับ เพราะหลายตอนมันเว่อร์มาก plot hole ก็เยอะ แต่เพราะความเป็นหนังตลก มันก็เลยพอมองข้าม ๆ ไปได้บ้าง
ด้านนักแสดง มาริโอ้ คือคนที่แบกหนังไว้ทั้งเรื่อง ทุกครั้งโอ้ปรากฏตัว มันมีออร่ามาก การแสดงก็เป็นธรรมชาติลื่นไหลมาก เล่นเหมือนไม่ได้เล่น (เรียกว่ามาริโอ้เล่นเป็นตัวเองก็ได้มั้ง 555) ที่สำคัญคือหนังเรื่องนี้เป็นอีกโอกาสที่จะยืนยันว่า มาริโอ้ เล่นบทตลกได้ และเล่นได้ดีด้วย ซึ่งก็ขึ้นอยู่ว่าผู้กำกับจะดึงศักยภาพด้านนี้ของเขาออกมาได้ไหม (ถ้าเทียบกับฟ้าฟื้น เรื่องนี้โอ้เล่นบทตลกได้ลื่นไหลกว่าเยอะ) อีกคนที่จะไม่กล่าวชมไม่ได้ คือนางเอก พลอยไพลิน ตั้งประภาพร ซึ่งไม่คุ้นหน้าเลยครับ รู้สึกแค่ว่าหน้าเหมือนลิซ่า แต่ด้านฝีมือ ต้องยอมรับว่าเธอเล่นดีมาก ๆ (รู้สึกว่าเล่นดีกว่าโอ้อีก) บทก็ซับซ้อนกว่าแต่ว่าทำได้เยี่ยม คาเร็กเตอร์ของนางเอก ก็เป็นสูตรนางเอกซีรีส์เกาหลีทั่วไป ที่ต้องสวย ตลก และโก๊ะ ซึ่งมันเล่นยากนะครับ ถ้าจังหวะไม่ดีนี่พังเลย ดูเธอเล่นแล้วทำให้นึกถึงคริส หอวังกับหนูนาเลย ถือว่าเป็นนางเอกที่น่าจับตามองผลงานต่อไป
ด้านความตลกนั้น ต้องบอกว่ามุกมันตึ้งโป๊ะ ตลกคาเฟ่มาก ตัวเรื่องก็เหมือนจะจงใจยัดมุกใส่เข้ามาในตัวเรื่องมากไปหน่อย หลาย ๆ มุกก็เน้นเอาฮาอย่างเดียว เรียกว่าตรงไหนใส่ได้พี่ใส่หมด เชื่อว่าน่าจะมีการด้นมุกสดกันอยู่ไม่น้อย ที่น่าประหลาดคือมุก ๆ หลาย ๆ มุกที่ไม่น่าจะขำแต่สำหรับผมมันเวิร์กมาก ๆ ครับ งานนี้คงต้องยกว่าความดีความชอบให้กับทีมนักแสดงซึ่งเล่นกันได้เข้าขากันมาก ๆ โดยเฉพาะแก๊งค์คนโสดที่รีสอร์ท โจ๊ก (ออตโต้ โกลคลับ) กับ อ้น ศรีพรรณ ซึ่งโผล่ไม่เยอะ แต่ขโมยซีนตลอด คือถ้าแกงค์นี้เล่นไม่เข้าขากันหละก็หนังจะกร่อยไปมากเลย
มุกตลกอาจจะไม่ได้ตลกมาก แต่การแสดงที่เป็นธรรมชาติช่วยให้มันเวิร์ก ผมเข้าใจว่าการส่งมุกที่ลื่นไหลนี่น่าจะมาจากการให้อิสระกับนักแสดงให้เล่นได้โดยไม่ฟิกกับไดอะล็อกมากนัก แต่สิ่งนึงที่ผมไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ คือบางมุกนั้น เห็นเลยว่านักแสดงมีหลุดขำกันเองเนื่องจากบางคนด้นสดก็เข้าใจแหละว่าจังหวะมันได้ แต่มันก็ทำให้คนดูสะดุดเช่นกัน
ส่วนด้านความโรแมนติกนั้น เรื่องนี่สอบผ่านฉลุยครับ โอ้กับพลอย เคมีเข้ากันมาก คือดูแล้วเชื่อเลยว่าสองคนนี้รักกัน ตัวบทในส่วนนี้ก็ทำได้ดี โดยมันสะท้อนถึง ความรักที่เกิดจากการได้ลำบากด้วยกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน และการเข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงของกันและกัน ถ้าหนังรักมันทำให้คนดูเชื่อได้ว่าทั้งคู่รักกัน ที่เหลือก็ไม่ใช่ปัญหาแล้ว
อีกสองส่วนที่ต้องขอชมมาก ๆ คือเรื่องโลเคชั่นในหนังกับดนตรีประกอบ ต้องบอกว่าฉากในหนังสวยมาก ๆ ชอบซีนที่ถ่ายป่าเขียว ๆ มันสวยจนอยากจะแบกเป้ไปลุยป่าเลย ยิ่งฉากท้องนาขั้นบันได ก็สวยมาก ถือว่าเป็นunseen Thailand ที่ไม่ต้องบินไปดูถึงเวียดนาม ดนตรีประกอบก็เพราะโคตร ๆ ไม่ว่าจะเพลงดังอย่างแก้มน้องนั้นแดงกว่าใคร หรือเพลงอื่น ๆ ของ เขียนไขและวานิช คือเพลงมันเพราะอยู่แล้วครับ แต่ว่าพอไปอยู่ในหนังที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศป่าเมืองเหนือ ความเพราะมันเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณเลย แม้หลายคนจะบ่นว่า มันใช้เยอะจนกระเดียดจะเป็น MV มากไปหน่อย แต่ส่วนตัวผมถือว่าโอเคครับ
รวม ๆ แล้ว สุขสันต์วันโสดเป็นหนังลูกกวาดที่ดูได้แบบเพลิน ๆ มาก ยิ่งในช่วงเวลาที่ความเครียดมารุมเร้าทุกทาง ไม่ว่าจะเรื่องมลพิษ โรคภัยไข้เจ็บ การก่อวินาศกรรม ฯลฯ การหลบเข้าโรงหนังมาดีท็อกเรื่องเครียด ๆ ไปจากสมองบ้าง มันก็ดีไม่น้อยครับ
สุขสันต์วันโสด: ถ้าเคมีเข้ากันได้ อะไร ๆ ก็โอเค (สปอยด์แหลกลาญ)
ช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ที่ผ่านมา เราจะเห็นหน้ามาริโอ้บ่อยมาก แทบจะทุก ๆ ช่องโซเชียลที่ดัง ๆทั้ง นอนบ้านเพื่อน ล้างตู้เย็น the Driver BearHug ฯลฯ เรียกได้ว่าไม่เคยเห็นโอ้เดินสายโปรโมทหนังเรื่องไหนหนักขนาดนี้มาก่อน ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะว่าหน้าเรื่องนี้ จุดขายที่พอจะดึงคนเข้าโรงหนังได้ก็น่าจะมีแค่โอ้คนเดียวนั่นแหละ
เห็นความขยันแล้ว บวกกับแนวหนัง Rom-Com ที่ชอบ ผมก็ตัดสินใจไปดูซักหน่อย โดยไม่ได้คาดหวังอะไรเลย ตอนออกจากโรงหนังนี่ ยอมรับเลยว่า รู้สึก Happy มาก เหมือนได้กินขนมอร่อย ๆ รสเบา ๆ บอกก่อนว่า Low Season ไม่จัดอยู่ในกลุ่มหนังดีเด่อะไรเลยด้วย (ถ้าอยากดูหนังดี ของเชิญดูพาราไซต์ หรือ 1917 เลยครับ หนังดีมาก) บทหนังมันแผลเยอะเลยหละ แต่มันเป็นหนังที่เรียกว่า Feel Good ได้อย่างเต็มปากครับ
พล็อตเรื่องมันสูตรสำเร็จมาก... ชุมนุมคนโสดที่หนีไปเลียแผลใจไปอยู่ท่ามกลางป่าเขา ผจญภัยด้วยกัน หนีผีด้วยกัน และบทสรุปที่ happy ending ไม่มีอะไรที่เหนือความคาดหมายเลย จะมีรสชาติแปลกๆ หน่อยก็ตอนผสานความเป็นหนังผี หนังรัก และหนังตลก ที่ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ดี หนังเรื่องนี้อย่าได้ถามหาความสมจริงนะครับ เพราะหลายตอนมันเว่อร์มาก plot hole ก็เยอะ แต่เพราะความเป็นหนังตลก มันก็เลยพอมองข้าม ๆ ไปได้บ้าง
ด้านนักแสดง มาริโอ้ คือคนที่แบกหนังไว้ทั้งเรื่อง ทุกครั้งโอ้ปรากฏตัว มันมีออร่ามาก การแสดงก็เป็นธรรมชาติลื่นไหลมาก เล่นเหมือนไม่ได้เล่น (เรียกว่ามาริโอ้เล่นเป็นตัวเองก็ได้มั้ง 555) ที่สำคัญคือหนังเรื่องนี้เป็นอีกโอกาสที่จะยืนยันว่า มาริโอ้ เล่นบทตลกได้ และเล่นได้ดีด้วย ซึ่งก็ขึ้นอยู่ว่าผู้กำกับจะดึงศักยภาพด้านนี้ของเขาออกมาได้ไหม (ถ้าเทียบกับฟ้าฟื้น เรื่องนี้โอ้เล่นบทตลกได้ลื่นไหลกว่าเยอะ) อีกคนที่จะไม่กล่าวชมไม่ได้ คือนางเอก พลอยไพลิน ตั้งประภาพร ซึ่งไม่คุ้นหน้าเลยครับ รู้สึกแค่ว่าหน้าเหมือนลิซ่า แต่ด้านฝีมือ ต้องยอมรับว่าเธอเล่นดีมาก ๆ (รู้สึกว่าเล่นดีกว่าโอ้อีก) บทก็ซับซ้อนกว่าแต่ว่าทำได้เยี่ยม คาเร็กเตอร์ของนางเอก ก็เป็นสูตรนางเอกซีรีส์เกาหลีทั่วไป ที่ต้องสวย ตลก และโก๊ะ ซึ่งมันเล่นยากนะครับ ถ้าจังหวะไม่ดีนี่พังเลย ดูเธอเล่นแล้วทำให้นึกถึงคริส หอวังกับหนูนาเลย ถือว่าเป็นนางเอกที่น่าจับตามองผลงานต่อไป
ด้านความตลกนั้น ต้องบอกว่ามุกมันตึ้งโป๊ะ ตลกคาเฟ่มาก ตัวเรื่องก็เหมือนจะจงใจยัดมุกใส่เข้ามาในตัวเรื่องมากไปหน่อย หลาย ๆ มุกก็เน้นเอาฮาอย่างเดียว เรียกว่าตรงไหนใส่ได้พี่ใส่หมด เชื่อว่าน่าจะมีการด้นมุกสดกันอยู่ไม่น้อย ที่น่าประหลาดคือมุก ๆ หลาย ๆ มุกที่ไม่น่าจะขำแต่สำหรับผมมันเวิร์กมาก ๆ ครับ งานนี้คงต้องยกว่าความดีความชอบให้กับทีมนักแสดงซึ่งเล่นกันได้เข้าขากันมาก ๆ โดยเฉพาะแก๊งค์คนโสดที่รีสอร์ท โจ๊ก (ออตโต้ โกลคลับ) กับ อ้น ศรีพรรณ ซึ่งโผล่ไม่เยอะ แต่ขโมยซีนตลอด คือถ้าแกงค์นี้เล่นไม่เข้าขากันหละก็หนังจะกร่อยไปมากเลย
มุกตลกอาจจะไม่ได้ตลกมาก แต่การแสดงที่เป็นธรรมชาติช่วยให้มันเวิร์ก ผมเข้าใจว่าการส่งมุกที่ลื่นไหลนี่น่าจะมาจากการให้อิสระกับนักแสดงให้เล่นได้โดยไม่ฟิกกับไดอะล็อกมากนัก แต่สิ่งนึงที่ผมไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ คือบางมุกนั้น เห็นเลยว่านักแสดงมีหลุดขำกันเองเนื่องจากบางคนด้นสดก็เข้าใจแหละว่าจังหวะมันได้ แต่มันก็ทำให้คนดูสะดุดเช่นกัน
ส่วนด้านความโรแมนติกนั้น เรื่องนี่สอบผ่านฉลุยครับ โอ้กับพลอย เคมีเข้ากันมาก คือดูแล้วเชื่อเลยว่าสองคนนี้รักกัน ตัวบทในส่วนนี้ก็ทำได้ดี โดยมันสะท้อนถึง ความรักที่เกิดจากการได้ลำบากด้วยกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน และการเข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงของกันและกัน ถ้าหนังรักมันทำให้คนดูเชื่อได้ว่าทั้งคู่รักกัน ที่เหลือก็ไม่ใช่ปัญหาแล้ว
อีกสองส่วนที่ต้องขอชมมาก ๆ คือเรื่องโลเคชั่นในหนังกับดนตรีประกอบ ต้องบอกว่าฉากในหนังสวยมาก ๆ ชอบซีนที่ถ่ายป่าเขียว ๆ มันสวยจนอยากจะแบกเป้ไปลุยป่าเลย ยิ่งฉากท้องนาขั้นบันได ก็สวยมาก ถือว่าเป็นunseen Thailand ที่ไม่ต้องบินไปดูถึงเวียดนาม ดนตรีประกอบก็เพราะโคตร ๆ ไม่ว่าจะเพลงดังอย่างแก้มน้องนั้นแดงกว่าใคร หรือเพลงอื่น ๆ ของ เขียนไขและวานิช คือเพลงมันเพราะอยู่แล้วครับ แต่ว่าพอไปอยู่ในหนังที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศป่าเมืองเหนือ ความเพราะมันเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณเลย แม้หลายคนจะบ่นว่า มันใช้เยอะจนกระเดียดจะเป็น MV มากไปหน่อย แต่ส่วนตัวผมถือว่าโอเคครับ
รวม ๆ แล้ว สุขสันต์วันโสดเป็นหนังลูกกวาดที่ดูได้แบบเพลิน ๆ มาก ยิ่งในช่วงเวลาที่ความเครียดมารุมเร้าทุกทาง ไม่ว่าจะเรื่องมลพิษ โรคภัยไข้เจ็บ การก่อวินาศกรรม ฯลฯ การหลบเข้าโรงหนังมาดีท็อกเรื่องเครียด ๆ ไปจากสมองบ้าง มันก็ดีไม่น้อยครับ