ซาอุดิอารเบียประเทศต้นกำเนิด, และเป็นประเทศ ผู้นำของศาสนาอิสลาม อย่างถูกต้องจริงหรือ?

เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการฉลองวันวาเลนไทน์นี้ มาจากชื่อของนักบุญผู้มีความเมตตากรุณา "เซนต์ วาเลนไทน์" ของคริสต์ศาสนา ผู้ซึ่งเสียชีวิตไปนานกว่า พันปีมาแล้ว ไม่เป็นที่ทราบอย่างแน่นอนถึงเหตุผลที่กำหนด วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันวาเลนไทน์ หรือ ว่าทำไมท่านนักบุญผู้ทรงเกียรตผู้นี้ มีความสัมพันกับวันนี้อย่างไร, เป็นความยากลำบากที่จะหาประวัติศาสตร์ของวันวาเลนไทน์ที่แน้นอนได้จากที่ใดๆ และเมื่อเวลาได้ผ่านไป หลายๆศตวรรษ ยิ่งทำให้การค้นหาต้นกำเนิดที่อยู่เบื้องหลังวันวาเลนไทน์ยากที่จะติดตาม ดังนั้น วันวาเลนไทน์ จึงเป็นเพียงตำนานที่เล่าต่อๆกันมาเท่านั้น
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ศาสนาอิสลามส่งเสริมให้คนรักกันฉันมิตร และ รักความสงบสุข หากเป็นเช่นนั้นเราบางคนอาจคิดว่าวันวาเลนไทน์เป็นวันที่ชาวมุสลิมสามารถแพร่กระจายความรักและความสงบสุขในในสังคมร่วมกันได้ แต่เพราะ เหตุใดจึงห้ามมิให้มุสลิมเฉลิมฉลองวันวาเลนไทน์?

 เหตุผลที่สังคมมุสลิมส่วนมากไม่ฉลองวาเลนไทน์ เนื่องจากว่าเชื่อว่า วันวาเลนไทน์ เป็นวันเฉลิมฉลองและพิธีกรรมทางศาสนา ของศาสนาอื่น และ มีการอ้างอิงไปถึงพิธีกรรมทางศาสนาของ ชาวPagan ก่อนอิสลาม ซึ่งการร่วมฉลองพิธีกรรมที่บูชาเทพเจ้า หรือเจว็ด ขัดต่อหลักศรัทธาของศาสนาอิสลาม และ หลักบัญญํติ 10 ประการ ที่เป็นต้นกำเนิดของศาสนาอิบรอฮีม(อิสลาม) ซึ่ง ศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว "อัลลอฮ์" ดังนั้นการร่วมฉลอง พีธีกรรม ของชาว "PAGAN"  จึงเป็นสิ่งที่มุสลิมไม่อาจจะทำได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เนื่องจากในปัจจุบันการฉลองวันวาเลนไทน์ได้กลายเป็นวันที่ถูกกำหนดโดยนักธุระกิจเพื่อขายผลิตภันธ์ต่างๆที่เป็นเครื่องหมายของความรัก มุสลิมบางสังคมที่ไม่คำนึงถึง ประวัติศาสตร์หรือตำนานของวันวาเลนไทน์ว่า มาจากพิธีกรรมของศาสนาอื่นรวมทั้งของผู้บูชาเจว็ด จึงร่วมฉลองวันสมติ "ของความรักและความเป็นมิตร หรือวันแห่งมิตรภาพ" ซึ่งเป็นสากลในสังคม

 สำหรับมุสลิมที่ทำธุระกิจอาจจะมองว่าการส่งความรักและมิตรภาพ อย่างน้อยปีละครั้ง ระหว่าง คนรักในครอบครัวและ เพื่อนฝูงในสังคมเป็นสิ่ง"สากล" มุสลิมทำได้ เพราะไม่มีพิธีกรรมทางศาสนาใดๆ ที่แสดงให้เห็นว่ามุสลิมกราบไหว้บูชาเทพเจ้าอื่นใด เพียงแต่การส่งดอกไม้หรือ บัตรอวยพรให้กันและกันเพื่อแสดงมิตรภาพเทานั้น 

ไม่ว่ามุสลิมจะมองวันวาเลนไทน์ในรูปแบบอย่างไรก็ตาม มุสลิมจะต้องพิจารณาด้วยตนเองว่าการกระทำใดควรหรือไม่ควร และเป็นการขัดต่อหลักการของศาสนาอิสลามในการมีศรัทธาต่ออัลลอฮ์  ในสังคมมุสลิมมีวันเฉลิมฉลอง อยู่ แล้วในการแสดงความรักความเป็นมิตรภาพ ในครอบครัวและในสังคม คือ วันอีด มีสองอีด ฉลองในศาสนาอิสลามและทั้งสองติดตามการกระทำที่สำคัญของความศรัทธา อย่างแรกคือ อิด-อัล-ฟัตร ซึ่งตามหลังรอมฎอนและที่สองคือ อิด-อัล- อัดฮา ซึ่งตามหลังพิธีฮัจญ์  

เนื่องจากศาสนาอิสลามไม่มีการบังคับในเรื่องความเชื่อถือทางศาสนา แต่เมื่อมุสลิมยอมเข้ารับ อิสลามแล้ว มุสลิมจะต้องรักษาวินัยในการปฏิบัติศาสนกิจ ตามความศรัทธาในอิสลามอย่างเคร่งครัด

ประเทศซาอุดิอารเบีย เป็นประเทศที่กำเนิดของศาสนาอิสลาม เป็นประเทศที่ เมื่อมีการกำหนดพิธีกรรมอะไรแล้วมุสลิมทั่วโลกจะปฏิบัติตาม เป็นประเทศผู้นำทางศานาอิสาม แม้กระนั้น ซาอุดิอารเบีย ก็ได้ นำเจว็ด หรือ หินดำٱلْحَجَرُ ٱلْأَسْوَد ที่อรับบูชาเขว็ด เคยเคารพบูชา ไปตั้งไว้ใน อัลมัสยิด อัลฮารอม ในนครเมกกะ เพื่อให้มุสลิมไปสัมผัสและจูบ อย่างไม่มีเหตุผลทางศาสนาแม้แต่อย่างใด และในปัจจุบัน ก็เริ่มแนะนำ พิธ๊กรรมของผู้บูชาเจว็ดเข้าไว้ในสังคมของประเทศต้นกำเนิดของศาสนาอิสลาม อีกอย่างหนึ่งคือ "การฉลองวันวาเลนไทน์" 
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

https://www.arabnews.com/node/1627061/saudi-arabia
  
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่