▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
กล้องฟิล์ม
บันทึกนักเดินทาง
Backpack
สถานที่ท่องเที่ยวต่างประเทศ
Online Travel Agency
Jesselton เมืองตลกร้ายของจริยา | Kota Kinabalu, Malaysia : KK | Feb, 2020
Part 1 : บันทึกการเดินทาง
Part 2 : ค่าใช้จ่าย
Part 3 : สถานที่เยี่ยมชม
Part 4 : สิ่งของจำเป็น
หมายเหตุ: เนื่องจากกระทู้นี้อยากเขียนเพื่อเก็บไว้อ่านยามแก่ ก็เลยขออนุญาต แตะความรีวิวน้อยหน่อย แต่ก็พอเป็นข้อมูลในการเที่ยวตามได้บ้าง ข้ามไป Part 2 เลยก็ได้ฮับ
เจสเซลตัล คือชื่อเดิมของเมือง โกตากีนาบาลู เมืองหลวงของรัฐซาบะห์ ประเทศมาเลเซีย
Part 1
วันนี้เป็นวันศุกร์ ที่พรุ่งนี้จะหยุดยาว 3 วัน เนื่องจากเป็นวันมาฆบูชา แน่นอนว่าเราทำงานอยู่แล้วล่ะ 5555 ขอบคุณเพื่อนร่วมงานที่น่ารักทุกคนม๊ากกกกกมากกกก ที่ไม่โกรธไม่เคือง และสนับสนุนส่งเสริมให้แว๊บครึ่งวันไปขึ้นเครื่องให้ทัน น่ารักที่มีพี่ ๆ ทุกคนที่เข้าใจ กิกิ
ด้วยความรีบร้อน ไปถึงท่ารถตู้เวลา 13.00 น. กำลังจะจ่ายเงิน ตั่ยยยยแล้วววว ไม่มีเงินสด แต่ด้วยความใจดีของมนุษย์พี่แถวนั้น จึงขอรบกวนพี่เป็นตู้เอทีเอ็มให้หนูหน่อยนะคะ 1,000 บาท ได้มาละ กริ๊ก กริ๊ก ไม่เสียค่าธรรมเนียม ไปกันต่อได้ รถออกเวลาบ่ายโมงสิบห้า รถแสนจะติด ใจเต้นตึกตัก ฉันต้องไปลงหมอชิต และกว่าจะต่อไปดอนเมืองอีกแหนะ ระหว่างนั้นก็ดูกูเกิลแมพตลอดเพื่อจะเทียบเวลา ควรจะถึงไม่เกินสี่โมงเย็น เมื่อเทียบเวลาแล้ว จึงตัดสินใจลงรถที่สายใต้เลย แล้วเรียกแท็กซี่ต่อ เพื่อประหยัดเวลาได้ 25 นาที เจ้ากรรม ไปทางไหนก็ติด โชคดีที่ออกมาเร็ว ถึงเวลา 15.30 น. สวย ๆ แฮปปี้กันไป เดินเอากระเป๋าไปเช็คอินน์ พนักงานมองนาฬิกาและหันมามองหน้ากัน ประมาณว่า กระเป๋าที่โหลดเนี่ย จะรับได้อยู่ไหม สุดท้ายก็ได้ รอดตัวไป
บินฟิ้ววววว ข้ามน้ำข้ามทะเลมาแล้ว พี่คนขับรถน่ารักมาก แนะนำและพาเราไปซื้อซิมเพื่อใช้อินเตอร์เน็ตทันที เนื่องจากเรา message ไว้ตั้งแต่ยังไม่บินแล้ว ว่าต้องการซิม คนขับคนนี้ ชื่อ เอ็ดเวิร์ด เราเรียกให้มารอรับที่สนามบินเลยผ่าน Traveloka เขามีส่วนลดให้ และเลือกรถรุ่นพรีเมี่ยมขึ้นมาหน่อยพร้อม ๆ กับตั๋วเครื่องบินและที่พัก
ถึงโรงแรม เช็คอิน คุณพระ ต้องมัดจำ 150 ริงกิต ฮ่า ฮ่า ที่ตัวมีอยู่แค่ 200 ริงกิต ก็ต้องตามนั้นไปก่อนแหละ
เนื่องจากถึงค่ำ คืนนี้ก็ไม่ได้ทำอะไรมากมาย เราเดินตามเสียงคลื่นทะเลไปบริเวณ KK waterfront ซึ่งอยู่ตรงข้ามโรงแรมเรานี่เอง เสน่ห์ของทุกที่คือวิถีชีวิตในแบบของตน เราชอบที่สุดเลยล่ะ
เช้านี้อากาศแจ่มใส เราตื่นแต่เช้าเพื่อกินมื้อเช้าที่โรงแรม เนื่องจากไม่ได้วางแผนอะไรไว้ ก็เลยไม่ต้องกระตือรือร้นอะไรมาก และที่ตัวก็มีเงินแค่ 50 ริงกิตเอง ฮ่า ๆ ๆ วันนี้ก็เดินเล่นไปเรื่อย ๆ ในเมือง มีอะไรให้ดูก็ดูไปแล้วกันเนาะ
เมืองค่อนข้างใหม่ และแนวโน้มความเจริญสูงมาก ๆ สังเกตุได้จาก ตึก ห้างร้าน โรงแรม และอื่น ๆ ผุดสร้างกันอย่างใหญ่โตโอ่อ่า และค่อนไปทางสวยหรูเลยด้วยซ้ำ ในอนาคต ที่นี่อาจจะเป็นอารมณ์ฮาวาย ดริ้ง แดร้ง ดรั้งซ์ เพิ่มขึ้น (แค่ความเห็นส่วนตัวนะ)
นี่คือภาพจาก กล้องฟิล์ม Minalta capios 140 และขอขอบคุณพี่เปี๊ยกที่ยกให้ใช้หนึ่งวันพร้อมกับส่งล้างให้อีกด้วย มันทำให้หนูสนุกและคลายความเบื่อหน่ายไปได้มาก ๆ เลย ขอบคุณอีกครั้งค่าาาา
เดินมาทั้งวัน ก็มานั่งพักเย็น ๆ กินชาเขียวปั่น 1 แก้ว และพูดคุยกับพนักงานร้านสตาร์บัคส์ (พูดอังกฤษห่วย ๆ อย่างเรา ก็พยายามใช้เครื่องมือช่วยอ่ะเนาะ เอ็นดูตัวเองจริง ๆ ฮับ) จากนั้นก็ไปร้านสะดวกซื้อเพื่อกาอะไรรองท้องสักหน่อย เราเลือกคนอร์คัพโจ๊ก และซื้อไว้สำหรับตอนเย็นด้วย เพราะรู้สึกไม่คุ้นเคยกับกลิ่นเครื่องเทศหนัก ๆ เท่าไรนัก
เวลา 17.00 น. (เวลาท้องถิ่น) เราเริ่มกมุนซ้ายหมุนขวาอยู่บนเตียง เบื่อแหละดูออก แต่เงินก็ไม่มีไง ด้วยคำแนะนำจากพี่รมย์ หัวหน้าเผ่าในกลุ่มเพื่อน ๆ ที่เดินป่าด้วยกัน บอกว่า ชายหาดอยู่ไม่ไกล และสามารถไปดูพระอาทิตย์ตกได้ ตอนแรกจะเรียกแกร็บ พี่แกบอก ตังค์ไม่มีก็วิ่งไป และพอดีว่าเอารองเท่าวิ่งมาด้วยจ้าาาา เอาก็เอาวะ เดิน ๆ วิ่ง ๆ เดี๋ยวก็ถึง 6.6 กม. เอง
นี่คือระหว่างทางที่วิ่ง ๆ เดิน ๆ ไปที่ชายหาด ชอบตรงที่มีลู่วิ่งและลู่สำหรับจักรยานตลอดทาง แต่ด้วยความที่ไม่ค่อยมีประชาชนใช้สักเท่าไรมั้ง ถึงได้มี homeless ยึดพื้นที่บางส่วนไปบ้าง แหะ ๆ อ้อ อีกเรื่อง เหมือนว่าระบบจัดการน้ำ จัดการขยะของเมือง ยังไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่เท่าที่ควร คิดว่าถ้ายิ่งเมืองโตเร็วแบบนี้แต่การจัดการน้ำเน่าเสียและขยะมูลฝอยขาดการเอาใจใส่ อาจมีผลทำให้เสน่ห์ของที่นี่ลดลงไปมากโขเลยล่ะ ระหว่างที่วิ่งไปชายหาดก็เข้าใจเลยว่าทำไมประชาชนไม่ค่อยวิ่งหรือปั่นบนทางที่จัดให้เท่าไรเลย ก็เพราะระหว่างที่เราวิ่งอยู่เลียบคูคลอง ก็จะอ้วกตลอดเวลาเพราะเหม็นน้ำเน่ามาก ๆ พอวิ่งถึงบริเวณท่าเทียบเรือ ก็เหม็นกลิ่นน้ำมันเรือสุด ๆ ได้อารมณ์ความมลพิษเข้าปอดระดับหนึ่ง น่าเสียดายจริง ๆ เลย แต่เรื่องดี ๆ อื่น ๆ ก็มีนะ เอาใจช่วยโกตากีนาบาลู เมืองที่ภูมิประเทศถูกจัดสรรค์มาให้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ครบครัน ตั้งแต่ใต้ท้องทะเล ป่า พืชพันธุ์ เทือกเขาสูงโอ่อ่า ให้เป็นเมืองที่น่าค้นหาต่อไป สู้ ๆ นะ
จุก ๆ อยู่เหมือนกันนะ ด้วยความที่พี่รมย์ เข้าใจว่าเรามีเวลาตั้งสองชั่วโมงก่อนพระอาทิตย์จะตก แต่มันลืมไปไงว่า ที่นี่เร็วกว่าหนึ่งชั่วโมงนะ ฮ่า ๆ ๆ สุดท้ายก็ได้นั่งมองขอบฟ้าได้นานเท่าที่ใจอยากมองเลยล่ะ
นั่งมองไปเรื่อย ฟังเสียงคลื่นไปเพลิน ๆ คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนพระอาทิตย์ลาลับไป เราจึงเรียกแกร็บเพื่อกลับไปพัก และเตรียมแผนสำหรับผจญภัยในวันพรุ่งนี้สักหน่อย ก่อนจะราตรีสวัสดิ์