New Zealand
ประเทศแห่งขุนเขาและทะเลสาป ประเทศที่ผมมั่นใจว่าต้องเป็นเป้าหมายของนักเดินทางสายธรรมชาติหลายๆคนที่อยากจะไปชื่นชมความงดงามของธรรมชาติถึงขีดสุดของประเทศนี้
ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ครั้งแรกที่นิวซีแลนด์เข้ามาในความสนใจของผมก็ต้องย้อนไปตั้งแต่สมัยที่ได้ดูภาพยน์ Lord of the ring
"นี่มันไปถ่ายกันที่ไหน โคตรสวยเลย" นี่คือความคิดแรกที่แว๊บเข้ามาในหัวหลังจากที่ได้เห็นฉากภูเขาหิมะอันกว้างใหญ่ ในฉากต้นของ The two towers
ตั้งแต่นั้นมานิวซีแลนด์ก็เป็นหนึ่งในความฝันของผม จนมาได้มีโอกาศได้เดินทางไปตามความฝันในปี 2019 นี่เอง
ผมเลือกเดินทางไปเกาะใต้ ด้วยคำเล่าลือที่ได้ยินมาว่าเกาะใต้อุดมไปด้วยธรรมชาติที่สมบูรณ์มากกว่าเกาะเหนือ
การเดินทางจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย
สิ่งที่ยากที่สุดก็คือการวางแผนการเดินทาง เนื่องด้วยระยะเวลาที่จำกัดแต่สถานที่เที่ยวที่มีมากมายทำให้การวางแผนไปให้หมดตามที่ต้องการนั้นยากมาก
ส่วนที่ง่ายก็คือการเดินทางและการท่องเที่ยวในนิวซีแลนด์นั้นค่อนข้างสะดวกมาก ตั้งแต่ลงเครื่องก็แทบจะไม่เจอปัญหาอะไรใหญ่ๆให้ปวดหัวเลยจนถึงวันกลับ
มาดูกันเป็นข้อๆดีกว่าครับ ว่าการวางแผนเที่ยวนิวซีแลนด์นั้นต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
1.การจองตั๋ว
ถ้าจะไปเกาะใต้ สนามบินปลายทางที่เราจะลงได้มีอยู่ 2 แห่งคือ Queenstown (ZQN) และ Christchurch (CHC)
Queenstown จะเป็นเมืองที่ติดทะเลสาปสวยกว่าและมีความพลุกพล่านมากกว่า Christchurch
ในขณะที่ Christchurch จะเป็นเมืองเงียบๆเรียบๆ จะมีส่วนของเมืองน้อยกว่า Queenstonw ค่อนข้างมาก
การเลือกลงที่ไหนแนะนำว่าให้ดูค่าตั๋วที่หาได้เป็นและระยะเวลาในการเดินทางเป็นหลักครับ ผมเลือกไปลงที่ Christchurch เนื่องจากหาตั๋วได้ราคาดีกว่าและเวลาที่ไปถึงสวยกว่า
ส่วนใหญ่ที่ผมลองกดตั๋วดูตามเวปจองตั๋วต่างๆ ตั๋วส่วนใหญ่จะเป็นสายการบิน low cost ราคาประมาณ 22,000 - 25,000 แต่ข้อเสียหลักเลยคือเวลาจะไม่สวย
ต้องแวะเปลี่ยนเครื่อง 2 รอบคือที่ รอบแรกคือที่ Singapore และรองที่สองคือ Australia หรือ Auckland บางเส้นทางอาจยังต้องรอต่อเครื่องที่ Australia หรือ Auckland นานมาก อาจะนานกว่า 10 ชั่วโมง
เวลาที่ถึง Christchurch ก็อาจเป็นช่วงบ่ายแก่ๆรึช่วงหัวค่ำไปเลย ซึ่งก็หมดวันและไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว ผมเลยเลือก Singapore airline บินจาก Singapore ถึง Christchurch โดยตรงเลย
ใช้เวลาน้อยกว่าและเวลาถึง Christchurch ก็จะประมาณ 10.30 สามารถรับรถและไปเที่ยวต่อได้เลย
ค่าตั๋วที่ผมหาได้จากช่วง promotion ของ Singapore airline อยู่ที่คนละประมาณ 33,000
แต่ที่ผมเคยเห็น promotion ถูกสุดของ Singapore airline อยู่ 22,000 ถ้าใครที่เน้นเรื่องระยะเวลาเดินทางและเวลาที่ถึงแนะนำว่ารอตั๋ว promotion จาก Singapore airline ดีกว่าครับ
2.การเช่ารถ
**ต้องใช่ใบขับขี่สากลในการเช่ารถนะครับ ทำเตรียมไว้ด้วย**
ชนิดของรถที่จะเช่าผมขอแบ่งเป็น 3 ชนิดหลักๆนะครับ
1.รถเก๋งทั่วไป
2.รถบ้านแบบไม่มีห้องน้ำในตัว
3.รถบ้านแบบมีห้องน้ำในตัว
รถเก๋งทั่วไป
ข้อดี สะดวก คล่องตัว ทำเวลาในการเดินทางได้ดี ราคาถูกกว่าเช่ารถบ้าน
ข้อเสีย เนื่องจากนอนบนรถไม่ได้ ต้องนอนตามห้องพักเท่านั้น ถ้าเลือกราคาที่พักแพงก็อาจจะทำให้ค่าใช้จ่ายโดยรวมแพงกว่า และถ้าเราไปเจอสถานที่ไหนที่เราชอบจริงๆ แต่ไม่มีห้องพักก็จะไม่สมารถค้างคืนได้
รถเก๋งสามารถนอนตาม campsite ได้นะครับ campsite ส่วนใหญ่จะมีห้องพักไว้ให้บริการเช่นกันสำหรับคนที่ไม่ได้เช่ารถบ้าน ราคาจะถูกกว่าพักตามโรงแรม
รถบ้านแบบไม่มีห้องน้ำในตัว
รถชนิดนี้ส่วนใหญ่จะเป็นรถตู้ที่นำมาดัดแปลงทำเป็นรถบ้านส่วนใหญ่จะนอนได้ 2 คน อาจมีบางรุ่นที่นอนได้ 4 คนโดยจะมีการต่อเติมด้านบนหลังคาเป็นห้องนอนเพิ่มขึ้นมา
แต่ไม่แนะนำให้นอน 4 คนบนรถแบบนี้นะครับถ้าไม่อยากจะประหยัดค่าใช้จ่ายจริงๆเนื่องจากพื้นที่จะคับแคบมาก ไม่สะดวกแน่นอน
ข้อดี ยังคงมีความสะดวกคล่องตัวมากกว่ารถบ้านขนาดใหญ่ ราคาถูกกว่าและนอนบนรถได้เลยทำให้ประหยัดค่าที่พักไปได้ส่วนนึง
ข้อเสีย ขนาดค่อนข้างเล็ก พื้นที่เก็บของน้อย ถ้ามีกระเป๋าขนาดใหญ่ไปด้วยเวลาจะเปิดกระเป๋าเอาของจะไม่สะดวก ไม่มีเตาแก๊สหรือไมโครเวฟในรถ ทำให้ปรุงอาหารในรถไม่ได้
การที่ไม่มีห้องน้ำทำให้ไม่สมารถจอดนอนได้ในทุกสถานที่เนื่องจากบางที่จะอนุญาติให้รถบ้านที่มีห้องน้ำในตัวเท่านั้นถึงจะจอดนอนได้
รถบ้านแบบมีห้องน้ำในตัว
จะเป็นรถบ้านขนาดใหญ่ มีอุปกรณ์ทำอาหารและเครื่องครัวครบ นอนได้ 4-6 คนแล้วแต่รุ่น
แบบนอน 4 คนบางรุ่นจะเป็นเตียงแบบ 2 ชั้นทางด้านท้ายรถ บางรุ่นจะเป็นแบบนอนกลางรถ 2 คน และนอนท้ายรถ 2 คน
แบบนอน 6 คนจะเป็นแบบนอนกลางรถและท้ายรถอย่างละ 2 คน และจะต่อเติมด้านด้านหน้ารถด้านบนให้ปีนขึ้นไปนอนได้อีก 2 คน
ข้อดี มีพื้นที่เก็บของเยอะ สามารถทำอาหารและมีห้องน้ำในตัว สามารถจอดนอนได้ทุกที่ที่เจ้าของสถานที่อนุญาติให้จอดนอน
ข้อเสีย ขนาดใหญ่ ไม่คล่องตัว ทำเวลาในการเดินทางได้ไม่ดี ต้องเผื่อเวลาในการเดินทางค่อนข้างเยอะ
หลังจากรู้จักชนิดของรถกันแล้วก็ลองเลือกรถให้เหมาะกับแผนการเดินทางของตัวเองได้เลยครับ แต่ถ้าอ่านแล้วก็ยังไม่รู้จะเลือกแบบไหนก็อ่านหัวข้อต่อไปเรื่องที่พักประกอบการตัดสินใจได้เลยครับ
3.ที่พัก
1.โรงแรม
2.campsite ของ รัฐบาล (DOC campsite)
3. non power site
4. power site
โรงแรม
สำหรับคนที่เช่ารถเก๋งนะครับ ก็เลือกโรงแรมนอนใกล้สถานที่ท่องเที่ยวตามปรกติได้เลย
DOC Campsite (Department of conservation)
Campsite สาธารณะที่สามารถจอดรถนอนได้ จะเรียกว่าเป็น campsite ก็ไม่เชิงเอาเป็นว่ามันเป็นลานโล่งๆที่อนุญาตให้จอดรถนอนดีกว่า
ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ ต้องใช้อุปกรณ์ในรถทั้งหมด
campsite แบบนี้จะไม่มีคนดูแล แต่จะมีกล่องตั้งไว้หน้า campsite และจะมีกระดาษให้เขียนจำนวนคนเข้าพักและเก็บค่าค้างคืนไว้ เขียนรายละเอียดแล้วเอาไว้หน้ารถครับเผื่อมีจำหน้าที่มาตรวจ
รถที่จะนอนพักในจุดนี้ได้ต้องเป็นรถที่มีห้องน้ำในตัวนะครับ
ค่าค้างคืนต่อคนตกอยู่ประมาน 20 nzd อาจจะแตกต่างกันตามสถานที่นะครับ
Non power และ Power site
camp แบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นของเอกชน โดยส่วนมากจะเป็น camp ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็น ห้องน้ำ ห้องครัว ให้ โดยจะเป็นลักษณะ share facility
ข้อแตกต่างก็คือ power site จะมีปลั๊กเสียบไฟเข้ากับตัวรถให้ แต่ non power site จะไม่มี
มีไฟฟ้ากับไม่มีไฟฟ้าต่างกันยังไง?
อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆในรถบ้านรวมถึงปลั๊กไฟสำหรับเสียบชาจจะสามารถใช้งานได้ต่อเมื่อเสียบสายไฟเข้ากับรถบ้านเท่านั้นครับถึงจะใช้งานได้ รวมถึงถ้าเราจะชาจแบตอุปกรณ์ต่างๆของเราด้วย
พวกแสงสว่าง จะสามารถเปิดได้ โดยไม่ต้องเสียบสายไฟเข้ารถ แต่ถ้าจะใช้ microwave หรือ heater ต้องเสียบไฟเข้ารถก่อน
ถ้าวางแผนว่าจะมีคืนไหนนอน camp ที่ไม่มีไฟฟ้า อย่าลืมจัดการเรื่องแบตเตอรี่ของกล้อง รึ โทรศัพท์ด้วยครับ
นอกจากจะเป็นการจ่ายพลังงานให้อุปกรณ์ไฟฟ้าภายในรถแล้ว ยังเป็นการชาจแบตให้กับรถด้วยครับ
ถ้าจะเติมน้ำสะอาดหรือทิ้งน้ำเสีย/ของเสียก็สามารถทำได้ที่ camp เอกชนเช่นกันครับ จะมีจุดบริการไว้ให้
การนอน power site และเสียบปลั๊กค้างไว้1คืนเต็มๆจะทำให้เราสามาถรถนอน camp ที่ไม่มีไฟได้ 1 คืนครับ เพราะฉะนั้นการจอดนอนถ้าคิดว่าจะนอน camp ที่ไม่มีไฟฟ้าต้องวางแผนสลับวันดีๆนะครับ
ห้ามนอน camp ที่ไม่มีไฟ 2 คืนติดเพราะไฟฟ้าจะไม่พอใช้
เพิ่มเติมเรื่อง campsite
camp ของเอกชน จะมีทั้งที่เป็นแบรนด์ใหญ่ๆ เช่น top 10 และ camp ที่เป็น local
ข้อแตกต่างก็คือ แบรนด์ ใหญ่ๆก็จะมี ความเป็นมาตรฐานมากกว่า แต่ไม่ใช่ว่า camp ที่เป็น local จะไม่ดีนะครับ
ผมกลับชอบ camp ที่มีลักษณะเป็น local มากกว่าด้วยซ้ำ โดยเฉพาะในห้องครัว camp ที่เป็น local ส่วนใหญ่จะมีมุมที่ผมเรียกว่ามุมแบ่งปันอยู่
นักเดินทางที่มีของกิน เครื่องปรุงรส หรือสิ่งของที่ไม่ใช้แล้วสามารถนำมาวางไว้ตรงจุดนี้ได้ คนที่มาทีหลังถ้าเห็นว่ามีคนวางของทิ้งไว้ให้ก็สามารถนำไปใช้ได้เลยครับ
ในขณะที่ camp ของแบรนด์ใหญ่ๆจะทำแบบนี้ไม่ได้
4.การวางแผนเดินทาง
ผมเลือกลง Christchurch แล้วขับข้ามไปทางตะวันตกของเกาะ ก่อนที่จะไล่ลงใต้มาแล้ววนกลับขึ้นเหนือเพื่อกลับมา Christchurch
แผนของผมที่ตั้งไว้แต่แรกเป็นแบบนี้ครับ
Day 1
CHC - Greymounth
Day 2
Greymounth - Franz Josef Glacier - Fox Glacier (Lake Matheson)
Day 3
Fox Glacier - Lake wanaka
Day 4
Lake Wanaka - Queenstown - Kinloch
Day 5
Kinloch - Milford sound
Day 6
Milford sound - Dunedin
Day 7
Dunedin - Mt Cook
Day 8
Mt Cook - Lake Tekapo
Day 9
Lake Tekapo - Mt Sunday
Day 10
Mt Sunday - CHC
วันที่ 1Arrival
เครื่องลงเวลา 10.30 ถ้าเช่ารถบ้านไว้ ส่วนใหญ่ทุกบริษัทจะมีรถตู้เวียนรับสั่งระหว่างสนามบินกับที่รับรถครับ
รถตู้เกือบทุกบริษัทจะจอดรออยู่ประตู ทางออก 2 ครับ เดินออกมารอรถได้เลย รถจะออกทุกๆ30นาที
แผนแรกที่วางไว้คือพอรับรถแล้วจะขับผ่าน Arthur's pass ไปทางตะวันตกเพื่อไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่ หาด Motukiekie ก่อนจะค้างคืนที่ เมือง Greymouth
แต่เนื่องจากสถานการณ์ผิดจากที่คาดไว้มาก ระยะทางตาม google คือ 256 กม ใช้เวลาเดินทาง 3.21 ชม กะว่าเย็นน่าจะถึง
แต่ว่าพอขับจริงแล้วใช้เวลานานกว่าที่คิดมากครับ เนื่องจากรถคันใหญ่ทำให้ไปได้ไม่เร็ว และทางเป็นทางโค้ง ขึ้นเขาลงเขาเยอะมาก
ขับๆอยู่จะทุ่มนึงแล้ว ยังไม่ใกล้ถึงเลย จึงต้องเปลี่ยนแผนมานอนระหว่างทางครับ ที่พักวันแรกคือ Jackson retreat campsite
camp นี้ดีมากครับ ห้องน้ำสะอาด ห้องครัวก็ดี ยกให้เป็น camp ที่ดีที่สุดประจำทริปเลย ข้อเสียอย่างเดียวคือ location ไม่ได้ติดจุดท่องเที่ยวอะไร เป็นที่พักสำหรับคนเดินผ่านตัดออกมาจากเส้น Arthur's pass เท่านั้นเอง
วันที่ 2 Lake Matheson
Lake Matheson ทะเลสาปนี้ จะได้มุมที่ผืนน้ำสะท้อน Mt Cook มาจากด้านหลังครับ ผมมาที่นี่เร็วหน่อย เพราะอยากจะมาเก็บแสงเย็น พระอาทิตจะตกด้านตรงข้ามกับภูเขา ถ้าโชคดี จะได้แสงเย็นทอดไปที่ยอดเขาพอดี
ตอนเช้าก็มาได้ครับ พระอาทิตย์จะขึ้นหลังภูเขาพอดี สำหรับคนที่จะมาตอนเช้าแนะนำให้มาถึงก่อนพระอาทิตขึ้นสัก 1 ชั่วโมงนะครับ เพราะต้องใช้เวลาเดินไปทะเลสาปราวๆ 20 นาที
ถ้าใครอยากมาที่ทะเลสาปนี้เลือกพักได้ที่ top 10 fox glacier นะครับ ขับรถจากที่พักมาแค่ 5 นาที
รูปนี้ถ่ายตอนเย็นครับ เสียดายไม่มีแดด เมฆบังหมดเลย
มุมยามเช้าจาก jetty viewpoint
อีกมุมจาก Reflection Island
วันที่ 3 ThatWanakaTree
มาชมต้นไม้ชื่อดังที่ทะเลสาป wanaka จุด highlight ของเมืองนี้ครับ มีคนไปรอถ่ายรูปเจ้าต้นนี้เยอะมาก
พักที่ Wanaka lake view holiday park ครับ ขับรถจาก camp นี้ไปจนถึงต้น wanaka แค่ 5 นาที
จากที่พักขับรถมาจอดตรงที่ปักหมุดเลยครับ เดินไปอีกนิดเดียว
Wanaka Tree
New Zealand South Island Road trip Oct 2019
ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ครั้งแรกที่นิวซีแลนด์เข้ามาในความสนใจของผมก็ต้องย้อนไปตั้งแต่สมัยที่ได้ดูภาพยน์ Lord of the ring
"นี่มันไปถ่ายกันที่ไหน โคตรสวยเลย" นี่คือความคิดแรกที่แว๊บเข้ามาในหัวหลังจากที่ได้เห็นฉากภูเขาหิมะอันกว้างใหญ่ ในฉากต้นของ The two towers
ตั้งแต่นั้นมานิวซีแลนด์ก็เป็นหนึ่งในความฝันของผม จนมาได้มีโอกาศได้เดินทางไปตามความฝันในปี 2019 นี่เอง
ผมเลือกเดินทางไปเกาะใต้ ด้วยคำเล่าลือที่ได้ยินมาว่าเกาะใต้อุดมไปด้วยธรรมชาติที่สมบูรณ์มากกว่าเกาะเหนือ
การเดินทางจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย
สิ่งที่ยากที่สุดก็คือการวางแผนการเดินทาง เนื่องด้วยระยะเวลาที่จำกัดแต่สถานที่เที่ยวที่มีมากมายทำให้การวางแผนไปให้หมดตามที่ต้องการนั้นยากมาก
ส่วนที่ง่ายก็คือการเดินทางและการท่องเที่ยวในนิวซีแลนด์นั้นค่อนข้างสะดวกมาก ตั้งแต่ลงเครื่องก็แทบจะไม่เจอปัญหาอะไรใหญ่ๆให้ปวดหัวเลยจนถึงวันกลับ
มาดูกันเป็นข้อๆดีกว่าครับ ว่าการวางแผนเที่ยวนิวซีแลนด์นั้นต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
1.การจองตั๋ว
ถ้าจะไปเกาะใต้ สนามบินปลายทางที่เราจะลงได้มีอยู่ 2 แห่งคือ Queenstown (ZQN) และ Christchurch (CHC)
Queenstown จะเป็นเมืองที่ติดทะเลสาปสวยกว่าและมีความพลุกพล่านมากกว่า Christchurch
ในขณะที่ Christchurch จะเป็นเมืองเงียบๆเรียบๆ จะมีส่วนของเมืองน้อยกว่า Queenstonw ค่อนข้างมาก
การเลือกลงที่ไหนแนะนำว่าให้ดูค่าตั๋วที่หาได้เป็นและระยะเวลาในการเดินทางเป็นหลักครับ ผมเลือกไปลงที่ Christchurch เนื่องจากหาตั๋วได้ราคาดีกว่าและเวลาที่ไปถึงสวยกว่า
ส่วนใหญ่ที่ผมลองกดตั๋วดูตามเวปจองตั๋วต่างๆ ตั๋วส่วนใหญ่จะเป็นสายการบิน low cost ราคาประมาณ 22,000 - 25,000 แต่ข้อเสียหลักเลยคือเวลาจะไม่สวย
ต้องแวะเปลี่ยนเครื่อง 2 รอบคือที่ รอบแรกคือที่ Singapore และรองที่สองคือ Australia หรือ Auckland บางเส้นทางอาจยังต้องรอต่อเครื่องที่ Australia หรือ Auckland นานมาก อาจะนานกว่า 10 ชั่วโมง
เวลาที่ถึง Christchurch ก็อาจเป็นช่วงบ่ายแก่ๆรึช่วงหัวค่ำไปเลย ซึ่งก็หมดวันและไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว ผมเลยเลือก Singapore airline บินจาก Singapore ถึง Christchurch โดยตรงเลย
ใช้เวลาน้อยกว่าและเวลาถึง Christchurch ก็จะประมาณ 10.30 สามารถรับรถและไปเที่ยวต่อได้เลย
ค่าตั๋วที่ผมหาได้จากช่วง promotion ของ Singapore airline อยู่ที่คนละประมาณ 33,000
แต่ที่ผมเคยเห็น promotion ถูกสุดของ Singapore airline อยู่ 22,000 ถ้าใครที่เน้นเรื่องระยะเวลาเดินทางและเวลาที่ถึงแนะนำว่ารอตั๋ว promotion จาก Singapore airline ดีกว่าครับ
2.การเช่ารถ
**ต้องใช่ใบขับขี่สากลในการเช่ารถนะครับ ทำเตรียมไว้ด้วย**
ชนิดของรถที่จะเช่าผมขอแบ่งเป็น 3 ชนิดหลักๆนะครับ
1.รถเก๋งทั่วไป
2.รถบ้านแบบไม่มีห้องน้ำในตัว
3.รถบ้านแบบมีห้องน้ำในตัว
รถเก๋งทั่วไป
ข้อดี สะดวก คล่องตัว ทำเวลาในการเดินทางได้ดี ราคาถูกกว่าเช่ารถบ้าน
ข้อเสีย เนื่องจากนอนบนรถไม่ได้ ต้องนอนตามห้องพักเท่านั้น ถ้าเลือกราคาที่พักแพงก็อาจจะทำให้ค่าใช้จ่ายโดยรวมแพงกว่า และถ้าเราไปเจอสถานที่ไหนที่เราชอบจริงๆ แต่ไม่มีห้องพักก็จะไม่สมารถค้างคืนได้
รถเก๋งสามารถนอนตาม campsite ได้นะครับ campsite ส่วนใหญ่จะมีห้องพักไว้ให้บริการเช่นกันสำหรับคนที่ไม่ได้เช่ารถบ้าน ราคาจะถูกกว่าพักตามโรงแรม
รถบ้านแบบไม่มีห้องน้ำในตัว
รถชนิดนี้ส่วนใหญ่จะเป็นรถตู้ที่นำมาดัดแปลงทำเป็นรถบ้านส่วนใหญ่จะนอนได้ 2 คน อาจมีบางรุ่นที่นอนได้ 4 คนโดยจะมีการต่อเติมด้านบนหลังคาเป็นห้องนอนเพิ่มขึ้นมา
แต่ไม่แนะนำให้นอน 4 คนบนรถแบบนี้นะครับถ้าไม่อยากจะประหยัดค่าใช้จ่ายจริงๆเนื่องจากพื้นที่จะคับแคบมาก ไม่สะดวกแน่นอน
ข้อดี ยังคงมีความสะดวกคล่องตัวมากกว่ารถบ้านขนาดใหญ่ ราคาถูกกว่าและนอนบนรถได้เลยทำให้ประหยัดค่าที่พักไปได้ส่วนนึง
ข้อเสีย ขนาดค่อนข้างเล็ก พื้นที่เก็บของน้อย ถ้ามีกระเป๋าขนาดใหญ่ไปด้วยเวลาจะเปิดกระเป๋าเอาของจะไม่สะดวก ไม่มีเตาแก๊สหรือไมโครเวฟในรถ ทำให้ปรุงอาหารในรถไม่ได้
การที่ไม่มีห้องน้ำทำให้ไม่สมารถจอดนอนได้ในทุกสถานที่เนื่องจากบางที่จะอนุญาติให้รถบ้านที่มีห้องน้ำในตัวเท่านั้นถึงจะจอดนอนได้
รถบ้านแบบมีห้องน้ำในตัว
จะเป็นรถบ้านขนาดใหญ่ มีอุปกรณ์ทำอาหารและเครื่องครัวครบ นอนได้ 4-6 คนแล้วแต่รุ่น
แบบนอน 4 คนบางรุ่นจะเป็นเตียงแบบ 2 ชั้นทางด้านท้ายรถ บางรุ่นจะเป็นแบบนอนกลางรถ 2 คน และนอนท้ายรถ 2 คน
แบบนอน 6 คนจะเป็นแบบนอนกลางรถและท้ายรถอย่างละ 2 คน และจะต่อเติมด้านด้านหน้ารถด้านบนให้ปีนขึ้นไปนอนได้อีก 2 คน
ข้อดี มีพื้นที่เก็บของเยอะ สามารถทำอาหารและมีห้องน้ำในตัว สามารถจอดนอนได้ทุกที่ที่เจ้าของสถานที่อนุญาติให้จอดนอน
ข้อเสีย ขนาดใหญ่ ไม่คล่องตัว ทำเวลาในการเดินทางได้ไม่ดี ต้องเผื่อเวลาในการเดินทางค่อนข้างเยอะ
หลังจากรู้จักชนิดของรถกันแล้วก็ลองเลือกรถให้เหมาะกับแผนการเดินทางของตัวเองได้เลยครับ แต่ถ้าอ่านแล้วก็ยังไม่รู้จะเลือกแบบไหนก็อ่านหัวข้อต่อไปเรื่องที่พักประกอบการตัดสินใจได้เลยครับ
3.ที่พัก
1.โรงแรม
2.campsite ของ รัฐบาล (DOC campsite)
3. non power site
4. power site
โรงแรม
สำหรับคนที่เช่ารถเก๋งนะครับ ก็เลือกโรงแรมนอนใกล้สถานที่ท่องเที่ยวตามปรกติได้เลย
DOC Campsite (Department of conservation)
Campsite สาธารณะที่สามารถจอดรถนอนได้ จะเรียกว่าเป็น campsite ก็ไม่เชิงเอาเป็นว่ามันเป็นลานโล่งๆที่อนุญาตให้จอดรถนอนดีกว่า
ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ ต้องใช้อุปกรณ์ในรถทั้งหมด
campsite แบบนี้จะไม่มีคนดูแล แต่จะมีกล่องตั้งไว้หน้า campsite และจะมีกระดาษให้เขียนจำนวนคนเข้าพักและเก็บค่าค้างคืนไว้ เขียนรายละเอียดแล้วเอาไว้หน้ารถครับเผื่อมีจำหน้าที่มาตรวจ
รถที่จะนอนพักในจุดนี้ได้ต้องเป็นรถที่มีห้องน้ำในตัวนะครับ
ค่าค้างคืนต่อคนตกอยู่ประมาน 20 nzd อาจจะแตกต่างกันตามสถานที่นะครับ
Non power และ Power site
camp แบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นของเอกชน โดยส่วนมากจะเป็น camp ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็น ห้องน้ำ ห้องครัว ให้ โดยจะเป็นลักษณะ share facility
ข้อแตกต่างก็คือ power site จะมีปลั๊กเสียบไฟเข้ากับตัวรถให้ แต่ non power site จะไม่มี
มีไฟฟ้ากับไม่มีไฟฟ้าต่างกันยังไง?
อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆในรถบ้านรวมถึงปลั๊กไฟสำหรับเสียบชาจจะสามารถใช้งานได้ต่อเมื่อเสียบสายไฟเข้ากับรถบ้านเท่านั้นครับถึงจะใช้งานได้ รวมถึงถ้าเราจะชาจแบตอุปกรณ์ต่างๆของเราด้วย
พวกแสงสว่าง จะสามารถเปิดได้ โดยไม่ต้องเสียบสายไฟเข้ารถ แต่ถ้าจะใช้ microwave หรือ heater ต้องเสียบไฟเข้ารถก่อน
ถ้าวางแผนว่าจะมีคืนไหนนอน camp ที่ไม่มีไฟฟ้า อย่าลืมจัดการเรื่องแบตเตอรี่ของกล้อง รึ โทรศัพท์ด้วยครับ
นอกจากจะเป็นการจ่ายพลังงานให้อุปกรณ์ไฟฟ้าภายในรถแล้ว ยังเป็นการชาจแบตให้กับรถด้วยครับ
ถ้าจะเติมน้ำสะอาดหรือทิ้งน้ำเสีย/ของเสียก็สามารถทำได้ที่ camp เอกชนเช่นกันครับ จะมีจุดบริการไว้ให้
การนอน power site และเสียบปลั๊กค้างไว้1คืนเต็มๆจะทำให้เราสามาถรถนอน camp ที่ไม่มีไฟได้ 1 คืนครับ เพราะฉะนั้นการจอดนอนถ้าคิดว่าจะนอน camp ที่ไม่มีไฟฟ้าต้องวางแผนสลับวันดีๆนะครับ
ห้ามนอน camp ที่ไม่มีไฟ 2 คืนติดเพราะไฟฟ้าจะไม่พอใช้
เพิ่มเติมเรื่อง campsite
camp ของเอกชน จะมีทั้งที่เป็นแบรนด์ใหญ่ๆ เช่น top 10 และ camp ที่เป็น local
ข้อแตกต่างก็คือ แบรนด์ ใหญ่ๆก็จะมี ความเป็นมาตรฐานมากกว่า แต่ไม่ใช่ว่า camp ที่เป็น local จะไม่ดีนะครับ
ผมกลับชอบ camp ที่มีลักษณะเป็น local มากกว่าด้วยซ้ำ โดยเฉพาะในห้องครัว camp ที่เป็น local ส่วนใหญ่จะมีมุมที่ผมเรียกว่ามุมแบ่งปันอยู่
นักเดินทางที่มีของกิน เครื่องปรุงรส หรือสิ่งของที่ไม่ใช้แล้วสามารถนำมาวางไว้ตรงจุดนี้ได้ คนที่มาทีหลังถ้าเห็นว่ามีคนวางของทิ้งไว้ให้ก็สามารถนำไปใช้ได้เลยครับ
ในขณะที่ camp ของแบรนด์ใหญ่ๆจะทำแบบนี้ไม่ได้
4.การวางแผนเดินทาง
ผมเลือกลง Christchurch แล้วขับข้ามไปทางตะวันตกของเกาะ ก่อนที่จะไล่ลงใต้มาแล้ววนกลับขึ้นเหนือเพื่อกลับมา Christchurch
แผนของผมที่ตั้งไว้แต่แรกเป็นแบบนี้ครับ
Day 1
CHC - Greymounth
Day 2
Greymounth - Franz Josef Glacier - Fox Glacier (Lake Matheson)
Day 3
Fox Glacier - Lake wanaka
Day 4
Lake Wanaka - Queenstown - Kinloch
Day 5
Kinloch - Milford sound
Day 6
Milford sound - Dunedin
Day 7
Dunedin - Mt Cook
Day 8
Mt Cook - Lake Tekapo
Day 9
Lake Tekapo - Mt Sunday
Day 10
Mt Sunday - CHC
วันที่ 1Arrival
เครื่องลงเวลา 10.30 ถ้าเช่ารถบ้านไว้ ส่วนใหญ่ทุกบริษัทจะมีรถตู้เวียนรับสั่งระหว่างสนามบินกับที่รับรถครับ
รถตู้เกือบทุกบริษัทจะจอดรออยู่ประตู ทางออก 2 ครับ เดินออกมารอรถได้เลย รถจะออกทุกๆ30นาที
แผนแรกที่วางไว้คือพอรับรถแล้วจะขับผ่าน Arthur's pass ไปทางตะวันตกเพื่อไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่ หาด Motukiekie ก่อนจะค้างคืนที่ เมือง Greymouth
แต่เนื่องจากสถานการณ์ผิดจากที่คาดไว้มาก ระยะทางตาม google คือ 256 กม ใช้เวลาเดินทาง 3.21 ชม กะว่าเย็นน่าจะถึง
แต่ว่าพอขับจริงแล้วใช้เวลานานกว่าที่คิดมากครับ เนื่องจากรถคันใหญ่ทำให้ไปได้ไม่เร็ว และทางเป็นทางโค้ง ขึ้นเขาลงเขาเยอะมาก
ขับๆอยู่จะทุ่มนึงแล้ว ยังไม่ใกล้ถึงเลย จึงต้องเปลี่ยนแผนมานอนระหว่างทางครับ ที่พักวันแรกคือ Jackson retreat campsite
camp นี้ดีมากครับ ห้องน้ำสะอาด ห้องครัวก็ดี ยกให้เป็น camp ที่ดีที่สุดประจำทริปเลย ข้อเสียอย่างเดียวคือ location ไม่ได้ติดจุดท่องเที่ยวอะไร เป็นที่พักสำหรับคนเดินผ่านตัดออกมาจากเส้น Arthur's pass เท่านั้นเอง
วันที่ 2 Lake Matheson
Lake Matheson ทะเลสาปนี้ จะได้มุมที่ผืนน้ำสะท้อน Mt Cook มาจากด้านหลังครับ ผมมาที่นี่เร็วหน่อย เพราะอยากจะมาเก็บแสงเย็น พระอาทิตจะตกด้านตรงข้ามกับภูเขา ถ้าโชคดี จะได้แสงเย็นทอดไปที่ยอดเขาพอดี
ตอนเช้าก็มาได้ครับ พระอาทิตย์จะขึ้นหลังภูเขาพอดี สำหรับคนที่จะมาตอนเช้าแนะนำให้มาถึงก่อนพระอาทิตขึ้นสัก 1 ชั่วโมงนะครับ เพราะต้องใช้เวลาเดินไปทะเลสาปราวๆ 20 นาที
ถ้าใครอยากมาที่ทะเลสาปนี้เลือกพักได้ที่ top 10 fox glacier นะครับ ขับรถจากที่พักมาแค่ 5 นาที
มาชมต้นไม้ชื่อดังที่ทะเลสาป wanaka จุด highlight ของเมืองนี้ครับ มีคนไปรอถ่ายรูปเจ้าต้นนี้เยอะมาก
พักที่ Wanaka lake view holiday park ครับ ขับรถจาก camp นี้ไปจนถึงต้น wanaka แค่ 5 นาที