บทที่ 747 "สันติ 100 ปี"
เมื่อฤดูใบไม้ผลิใกล้จะผ่านพ้นไป
ฟ่านเสียนและครอบครัว ก็ได้ออกเดินทาง จากเจียงหนานกลับต้านโจว
เพื่อไปเยี่ยมพ่อและย่า และได้อาศัยอยู่ที่นั้น เป็นเวลาอีกสองสามเดือน
ในระหว่างนี้ ฟ่านเสียนได้เขียนและออกหนังสือใหม่ชื่อว่า "ประวัติของเย่ชิงเหม่ย"
และหลังจากนั้นฟ่านเสียน ก็ได้ออกเดินทางไปแคว้นเป่ยฉี เพียงลำพัง
(จริงๆไต้เท้าเงาไปด้วย)
เพื่อแก้ปัญหาร้อนใจ... ให้ฮ่องเต้เป่ยฉี
หนังสือเล่มนี้ได้พิมพ์ และออกจำหน่ายไปแล้ว ในทุกๆแคว้น
ทำให้เป็นที่กล่าวถึง และถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากมาย
เหลือแต่ในแคว้นชิ่ง ที่รออณุมัติจากกองแปดเท่านั้น
ฮ่องเต้แคว้นชิ่ง ร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง คิดจะกลับไปหาฟ่านเสียนอีกครั้ง
แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะทหารได้รายงานว่า ฟ่านเสียนได้เข้าเขตแดนเป่ยฉีไปแล้ว
จนในที่สุด ก็ได้รับคำแนะนำจากอ๋องจินว่า "ความจริงจะปลดปล่อยเจ้า"
ถึงไม่ขายที่แคว้นชิ่ง แต่ที่อื่นก็ขายไปทั่วแล้ว ยังจะมีประโยชน์อะไรที่จะต่อต้าน
หนังสือ "ประวัติของเย่ชิงเหม่ย" จึงได้รับการอณุมัติให้ขายได้ ในแคว้นชิ่ง
กล่าวถึงฟ่านเสียน
ฟ่านเสียนที่ได้มาถึงแคว้นเป่ยฉี ก็ได้ถูกตำหนิไปหลายยก ที่มาช้าไปเป็นปีๆ
โดยฮ่องเต้เป่ยฉี ยื่นคำขาดว่า อย่างไรในครั้งนี้ ข้าต้องได้พระโอรสเท่านั้น
ดังนั้น ในคราวนี้ฟ่านเสียน จึงได้เตรียมการล่วงหน้า มากเท่าที่ทำได้
เพื่อให้มั่นใจว่า จะได้พระโอรส โดยหลังใช้เวลาอยู่ด้วยกันสองสามเดือน
ฮ่องเต้เป่ยฉีก็ได้ตั้งครรภ์ แล้วฟ่านเสียนจึงได้อำลาไปถูเขาตงใหญ่
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังจากหลายปี ที่ฟ่านเสียนรักษาตัว จนอาการบาดเจ็บหายสนิทแล้ว
แต่ในพักหลังๆ กลับมักเกิดอาการ ของลมปรานที่ปั่นป่วน แบบแปลกๆ
จนยากที่จะควบคุม ฟ่านเสียนรู้ว่าเป็นอาการของ การที่ใกล้จะข้ามขั้น
จึงต้องการไปทำสมาธิที่ถูเขาตงใหญ่ (จุดที่มีลมปราณฟ้าดิน หนาแน่นที่สุด)
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
กล่าวถึงไห่ถัง (งานสุดท้ายที่ทำให้เผ่าหู)
เนื่องจากในหลายปีที่ผ่านมา เยี่ยวานได้ทำการรบล้างอายและสร้างชื่อ
โดยการรุกรานเผ่าหูอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประชากรหูลดลงเป็นอย่างมาก
และถึงแม่ว่าในที่สุด หัวหน้าเผ่าหู จะรวบรวบชนเผ่าสำเร็จ
แต่ก็ได้เสียอำนาจไปกว่าครึ่ง ให้กับเฝ่าของไห่ถัง
จึงจำยอม ทำตามความเห็นของนาง ที่จะสงบคึกกับรัฐชิ่ง
(เผ่าหูต่างๆที่ผู้ชายเหลือน้อย ได้ถูกชายของเผ่าของไห่ถัง
ยึดเด็กและสตรี แล้วกลึนเผ่า ตามที่ฟ่านเสียนเคยแนะนำ)
ไห่ถังเธอได้นำคณะราชทูตของเผ่าหู มาส่งเครื่องบรรณาการที่แคว้นชิ่ง
เพื่อยุติสงครามระหว่างกัน โดยหลักๆ เผ่าหูจะส่งบรรณาการทุกปีเป็นม้า
หรือเพชรพลอยที่มีมูลค่าเทียบเท่า โดยมีการตกลง ให้มีเขตปลอดทหาร
เป็นเมืองกันชน สำหรับทำการค้าขาย และจะไม่รบกันอีกเป็นเวลา20ปี
ณ. ภูเขาตงใหญ่
ฟ่านเสียนและไต้เท้าเงา ได้มาถึงก่อนหน้า หน้าหนาวอยู่หลายวัน
จีงได้ทำการเตรียมเสบียงที่ทานง่ายๆ ไว้ในวิหารที่ยอดเขาเป็นจำนวนมาก
จากนั้นฟ่านเสียนจึงเริ่มทำสมาธิเดินลมปราณ โดยมีไต้เท้าเงาเป็นผู้คุ้มกัน
หลังจากเดินลมปราณ...
ผ่านไปได้ 25 วัน ฟ่านเสียนก็ได้สำเร็จในวิชา ของราชครูขู่เหอ
ผ่านไปอีก 15 วัน ฟ่านเสียนก็ได้สำเร็จในวิชา ของเยี่ยหลิวหวิน
ระหว่างนี้เงาได้ประโยชน์มากมาย จากการรับรู้การเคลื่อนไหวของลมปราณฟ้าดิน
แต่ก็ยังได้แค่ มองเห็นประตู ที่ปิดอยู่เท่านั้น เพราะนั้นยังไม่ใช้วิชาที่ตนชำนาญ
ผ่านไปอีก 15 วัน ฟ่านเสียนก็ได้สำเร็จในวิชา ของซือกู้เจี้ยน
ถึงตอนนี้เงาก็ได้อาศัยจังหวะนี้ ก้าวไปยืนอยู่บนธรณีประตูของขั้นที่สิบจนได้
ในเวลาต่อมา เมื่อฟ่านเสียนเริ่มเดินลมปราณ ในแนวทางสุดแข็งกร้าว
ความเกรี้ยวกราด ของลมปราณ ทำให้เงาที่แต่เดิมอยู่ห่างจาก
ฟ่านเสียนสิบว่า ต้องถอยออกห่างไปไกลกว่ายี่สิบวา จึงจะทนอยู่ได้
ผ่านไปอีก 15 วัน ฟ่านเสียนก็ได้สำเร็จในวิชาแรก ที่ตนเองฝึกฝนได้ในที่สุด**
แต่ฟ่านเสียนกลับไม่ได้หยุดลงแค่นั้น ถึงเวลานี้ไห่ถังกับวังที่สิบสามก็มาถึง
แต่ทั้งสองก็ไม่สามารถขึ้นมาบนยอดเขาได้ ได้แต่นั่งทำสมาธิที่ทางขึ้นยอดเขา
กลาวถึงที่ตีนภูเขาตงใหญ่
ดูเหมือนว่าฟ่านเสียน จะทำให้เกิดความปั่นป่วน ของลมปรานฟ้าดินไปทั่ว
จนในที่สุดทุกๆแคว้นรู้ว่า ฟ่านเสียนได้มาทำสมาธิที่ถูเขาดง จึงได้ตามมา
และอีกอย่างก็คือ เมื่อทุกแคว้นได้รู้จากหนังสือ "ประวัติของเย่ชิงเหม่ย"
ว่าเย่ชิงเหม่ยจริงๆแล้ว เป็นเทียนไมย(เทวะทูต)จากพระวิหาร และหน้าที่ของเทวะทูต
คือการถ่ายทอดวิทยาการแก่ ผู้คนในใต้หล้า จึงต้องการมาปรึกษา
กับฟ่านเสียน ถึงอนาคตของทุกทุกแคว้น
ผ่านไปอีกจนครบ 30 วัน ฟ่านเสียนก็ได้สำเร็จขั้นสุงสุดของลมปราน ที่จะไปถึงได้**
โดยในระหว่างนั้น เงาและไห่ถังกับวังที่สิบสาม ก็ต้องถอยร่นลงต่ำมาเรื่อยๆ
เพราะการเคลื่อนที่ ของลมปราณฟ้าดิน บนยอดเขาดง พัดไปมารุนแรงมาก
เหมือนจะพัดพา ลมปราณในร่างกาย ไปจนไม่สามารถควมคุมได้ อีกต่อไป
ถึงบัดนี้ ฟ่านเสียนสามารถควบคุมลมปราณ ได้ทั้งในและนอกร่างกาย
ได้อย่างสมบูรณ์แบบ จนน่าจะเรียกว่าเป็นขั้นที่11 หรือขั้นเทพมากกว่า
โดยปรมาจารย์ก็ไม่สามารถควบคุมลมปราณในร่างคนอื่นได้ แบบฟ่านเสียน
ในที่สุดฟ่านเสียนก็หยุดทำสมาธิ และได้กลับมาตระหนักรู้ ถึงสภาพการณ์รอบๆ
ถึงตอนนี้ร่างกายของฟ่านเสียนเหมือนมี ประกายสีทองฉาบที่ผิวจนสว่าง
และยังมีละอองสีทองกระจายตัว ออกไปเป็นชั้นๆ อีกทั้งปริมณฑลรอบๆก็มีแสง
สีทองจางๆ กระจายออกไปถึงห้าวา โดยเคลื่อนที่ไปพร้อมกับเจ้าตัวอีกด้วย
ฟ่านเสียนได้เดินออกไปทางหน้าผา และก้าวเดินออกไปในอากาศ
จากนั้นค่อยๆเดินลงมา แล้วก็ได้กลับหลังหันไปที่หน้าผา โดยในระหว่างนั้น
ฟ่านเสียนได้ใช้ลมปราณฟ้าดิน เขียนอักษรบนหน้าผาว่า "สันติ 100 ปี"
ส่งท้าย
หลังจากฟ่านเสียนได้ลงมาที่ตีนเขาแล้ว ฮ่องเต้เป่ยฉีเป็นคนแรกที่ได้คุกเขาคำนับ
แล้วตรัสว่า "ข้าขอคารวะ และขอแสดงความยินดีด้วย ที่ท่านสำเร็จเป็นปรมาจารย์"
และแล้วในที่สุดทุกๆคน ก็ทำตาม...
ฟ่านเสียนบอกฮ่องเต้เป่ยฉีว่า "ระวังสุขภาพท่านด้วย"
เยี่ยวานที่มากับฮ่องเต้ชิ่ง นั้นไม่ต้องการคุกเขา แต่ลมปราณกลับเหมือนสาบสูญ
บังคับควบคุมไม่ได้ จึงได้แต่ตกใจ จนต้องคุกเข่าลงไปในที่สุด
ฟ่านเสียนบอกฮ่องเต้ชิ่งว่า "ลำบากเจ้าแล้ว"
ฮ่องเต้ชิ่งตรัสว่า "ความจริงปลดปล่อยข้าแล้วท่านอาจารย์"
ฟ่านเสียนบอกเยี่ยวานว่า "เจ้าไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีสงครามให้รบ
เราแค่ไม่รบกันเอง แต่ยังอาจต้องรบกับพวกผมแดงผมทอง"
หลังจากนั้นได้มีการประชุมต่อกันอีกสามวัน สรุปใจความหลักๆได้ว่า
1 การประชุมภูเขาดง จะจัดทุกๆ 5 ปี ในฤดูใบไม้ผลิ เวลาเดียวกันนี้
2 ฟ่านเสียนจะถ่ายทอดวิทยาการที่จำเป็น เป็นหนังสือและผ่านทางคลังวังทั้งสอง
3 จะไม่รบกันเอง แต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังต่อพวกผมทอง (ให้ส่งสายลับไปแดนตะวันตก)
4 ฟ่านเสียนได้การยอมรับให้เป็นเป็นเทียนไมยที่แท้จริง ซื่งย่อมอยู่สูงกว่าฮองเต้ทุกแคว้น (ตามตำนานเทียนไมยจะเกิดขึ้นทุกๆสองสามร้อยปี)
5 ให้ขยายดินแดนไปทางตะวังตกและทางใต้เป็นหลัก
6 หนังสือ "ประวัติของเย่ชิงเหม่ย" ถูกรวมเข้าเป็นคัมภีร์ ของสำนักฟ้าเอกะด้วย เพราะมีส่วนหนึ่งเป็นเรื่อง ของประวัติของพระวิหาร
7 ...
ท้ายสุด
- หลังประชุมวันที่สองเสร็จ ฟ่านเสียนได้จากไป พร้อมกับเงา,ไห่ถัง และวังที่สิบสาม
- ในภายหลัง ผู้คนเรียกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า "สมาธิ 100 วัน สันติ 100 ปี"
- หลังฟ่านเสียนกลับต้านโจว คงต้องตกใจหนัก เพราะแม่นางน่องไก่ แอบรับอนุภรรยาให้อีกคน (คุณหนูชุน)
- ** ฟ่านเสียนไม่ได้สำเร็จในวิถีราชันแบบฮ่องเต้ชิ่ง แต่กลับใช้วิถีราชันนอกร่างกายตัวเองได้
และรวมถึงการใช้ลมปราณฟ้าดิน ในลักษณะอื่นๆด้วย
ถ้าอยากรู้ว่าในหนังสือ "ประวัติของเย่ชิงเหม่ย" เขียนอะไรไว้บ้าง ค่อยว่ากันอีกทีนะครับ!
ถ้ามีอะไรที่ผมเขียนผิดไปหรือใช้คำผิด ก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ ผมแค่เขียนเล่นๆ ให้เพื่อนๆอ่านกันสนุกๆ ก็เท่านั้นเองครับ
[SPOIL] หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร ตอนจบผมแต่งเพิ่มเองครับ!
เมื่อฤดูใบไม้ผลิใกล้จะผ่านพ้นไป
ฟ่านเสียนและครอบครัว ก็ได้ออกเดินทาง จากเจียงหนานกลับต้านโจว
เพื่อไปเยี่ยมพ่อและย่า และได้อาศัยอยู่ที่นั้น เป็นเวลาอีกสองสามเดือน
ในระหว่างนี้ ฟ่านเสียนได้เขียนและออกหนังสือใหม่ชื่อว่า "ประวัติของเย่ชิงเหม่ย"
และหลังจากนั้นฟ่านเสียน ก็ได้ออกเดินทางไปแคว้นเป่ยฉี เพียงลำพัง
(จริงๆไต้เท้าเงาไปด้วย) เพื่อแก้ปัญหาร้อนใจ... ให้ฮ่องเต้เป่ยฉี
หนังสือเล่มนี้ได้พิมพ์ และออกจำหน่ายไปแล้ว ในทุกๆแคว้น
ทำให้เป็นที่กล่าวถึง และถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากมาย
เหลือแต่ในแคว้นชิ่ง ที่รออณุมัติจากกองแปดเท่านั้น
ฮ่องเต้แคว้นชิ่ง ร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง คิดจะกลับไปหาฟ่านเสียนอีกครั้ง
แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะทหารได้รายงานว่า ฟ่านเสียนได้เข้าเขตแดนเป่ยฉีไปแล้ว
จนในที่สุด ก็ได้รับคำแนะนำจากอ๋องจินว่า "ความจริงจะปลดปล่อยเจ้า"
ถึงไม่ขายที่แคว้นชิ่ง แต่ที่อื่นก็ขายไปทั่วแล้ว ยังจะมีประโยชน์อะไรที่จะต่อต้าน
หนังสือ "ประวัติของเย่ชิงเหม่ย" จึงได้รับการอณุมัติให้ขายได้ ในแคว้นชิ่ง
กล่าวถึงฟ่านเสียน
ฟ่านเสียนที่ได้มาถึงแคว้นเป่ยฉี ก็ได้ถูกตำหนิไปหลายยก ที่มาช้าไปเป็นปีๆ
โดยฮ่องเต้เป่ยฉี ยื่นคำขาดว่า อย่างไรในครั้งนี้ ข้าต้องได้พระโอรสเท่านั้น
ดังนั้น ในคราวนี้ฟ่านเสียน จึงได้เตรียมการล่วงหน้า มากเท่าที่ทำได้
เพื่อให้มั่นใจว่า จะได้พระโอรส โดยหลังใช้เวลาอยู่ด้วยกันสองสามเดือน
ฮ่องเต้เป่ยฉีก็ได้ตั้งครรภ์ แล้วฟ่านเสียนจึงได้อำลาไปถูเขาตงใหญ่
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังจากหลายปี ที่ฟ่านเสียนรักษาตัว จนอาการบาดเจ็บหายสนิทแล้ว
แต่ในพักหลังๆ กลับมักเกิดอาการ ของลมปรานที่ปั่นป่วน แบบแปลกๆ
จนยากที่จะควบคุม ฟ่านเสียนรู้ว่าเป็นอาการของ การที่ใกล้จะข้ามขั้น
จึงต้องการไปทำสมาธิที่ถูเขาตงใหญ่ (จุดที่มีลมปราณฟ้าดิน หนาแน่นที่สุด)
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
กล่าวถึงไห่ถัง (งานสุดท้ายที่ทำให้เผ่าหู)
เนื่องจากในหลายปีที่ผ่านมา เยี่ยวานได้ทำการรบล้างอายและสร้างชื่อ
โดยการรุกรานเผ่าหูอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประชากรหูลดลงเป็นอย่างมาก
และถึงแม่ว่าในที่สุด หัวหน้าเผ่าหู จะรวบรวบชนเผ่าสำเร็จ
แต่ก็ได้เสียอำนาจไปกว่าครึ่ง ให้กับเฝ่าของไห่ถัง
จึงจำยอม ทำตามความเห็นของนาง ที่จะสงบคึกกับรัฐชิ่ง
(เผ่าหูต่างๆที่ผู้ชายเหลือน้อย ได้ถูกชายของเผ่าของไห่ถัง
ยึดเด็กและสตรี แล้วกลึนเผ่า ตามที่ฟ่านเสียนเคยแนะนำ)
ไห่ถังเธอได้นำคณะราชทูตของเผ่าหู มาส่งเครื่องบรรณาการที่แคว้นชิ่ง
เพื่อยุติสงครามระหว่างกัน โดยหลักๆ เผ่าหูจะส่งบรรณาการทุกปีเป็นม้า
หรือเพชรพลอยที่มีมูลค่าเทียบเท่า โดยมีการตกลง ให้มีเขตปลอดทหาร
เป็นเมืองกันชน สำหรับทำการค้าขาย และจะไม่รบกันอีกเป็นเวลา20ปี
ณ. ภูเขาตงใหญ่
ฟ่านเสียนและไต้เท้าเงา ได้มาถึงก่อนหน้า หน้าหนาวอยู่หลายวัน
จีงได้ทำการเตรียมเสบียงที่ทานง่ายๆ ไว้ในวิหารที่ยอดเขาเป็นจำนวนมาก
จากนั้นฟ่านเสียนจึงเริ่มทำสมาธิเดินลมปราณ โดยมีไต้เท้าเงาเป็นผู้คุ้มกัน
หลังจากเดินลมปราณ...
ผ่านไปได้ 25 วัน ฟ่านเสียนก็ได้สำเร็จในวิชา ของราชครูขู่เหอ
ผ่านไปอีก 15 วัน ฟ่านเสียนก็ได้สำเร็จในวิชา ของเยี่ยหลิวหวิน
ระหว่างนี้เงาได้ประโยชน์มากมาย จากการรับรู้การเคลื่อนไหวของลมปราณฟ้าดิน
แต่ก็ยังได้แค่ มองเห็นประตู ที่ปิดอยู่เท่านั้น เพราะนั้นยังไม่ใช้วิชาที่ตนชำนาญ
ผ่านไปอีก 15 วัน ฟ่านเสียนก็ได้สำเร็จในวิชา ของซือกู้เจี้ยน
ถึงตอนนี้เงาก็ได้อาศัยจังหวะนี้ ก้าวไปยืนอยู่บนธรณีประตูของขั้นที่สิบจนได้
ในเวลาต่อมา เมื่อฟ่านเสียนเริ่มเดินลมปราณ ในแนวทางสุดแข็งกร้าว
ความเกรี้ยวกราด ของลมปราณ ทำให้เงาที่แต่เดิมอยู่ห่างจาก
ฟ่านเสียนสิบว่า ต้องถอยออกห่างไปไกลกว่ายี่สิบวา จึงจะทนอยู่ได้
ผ่านไปอีก 15 วัน ฟ่านเสียนก็ได้สำเร็จในวิชาแรก ที่ตนเองฝึกฝนได้ในที่สุด**
แต่ฟ่านเสียนกลับไม่ได้หยุดลงแค่นั้น ถึงเวลานี้ไห่ถังกับวังที่สิบสามก็มาถึง
แต่ทั้งสองก็ไม่สามารถขึ้นมาบนยอดเขาได้ ได้แต่นั่งทำสมาธิที่ทางขึ้นยอดเขา
กลาวถึงที่ตีนภูเขาตงใหญ่
ดูเหมือนว่าฟ่านเสียน จะทำให้เกิดความปั่นป่วน ของลมปรานฟ้าดินไปทั่ว
จนในที่สุดทุกๆแคว้นรู้ว่า ฟ่านเสียนได้มาทำสมาธิที่ถูเขาดง จึงได้ตามมา
และอีกอย่างก็คือ เมื่อทุกแคว้นได้รู้จากหนังสือ "ประวัติของเย่ชิงเหม่ย"
ว่าเย่ชิงเหม่ยจริงๆแล้ว เป็นเทียนไมย(เทวะทูต)จากพระวิหาร และหน้าที่ของเทวะทูต
คือการถ่ายทอดวิทยาการแก่ ผู้คนในใต้หล้า จึงต้องการมาปรึกษา
กับฟ่านเสียน ถึงอนาคตของทุกทุกแคว้น
ผ่านไปอีกจนครบ 30 วัน ฟ่านเสียนก็ได้สำเร็จขั้นสุงสุดของลมปราน ที่จะไปถึงได้**
โดยในระหว่างนั้น เงาและไห่ถังกับวังที่สิบสาม ก็ต้องถอยร่นลงต่ำมาเรื่อยๆ
เพราะการเคลื่อนที่ ของลมปราณฟ้าดิน บนยอดเขาดง พัดไปมารุนแรงมาก
เหมือนจะพัดพา ลมปราณในร่างกาย ไปจนไม่สามารถควมคุมได้ อีกต่อไป
ถึงบัดนี้ ฟ่านเสียนสามารถควบคุมลมปราณ ได้ทั้งในและนอกร่างกาย
ได้อย่างสมบูรณ์แบบ จนน่าจะเรียกว่าเป็นขั้นที่11 หรือขั้นเทพมากกว่า
โดยปรมาจารย์ก็ไม่สามารถควบคุมลมปราณในร่างคนอื่นได้ แบบฟ่านเสียน
ในที่สุดฟ่านเสียนก็หยุดทำสมาธิ และได้กลับมาตระหนักรู้ ถึงสภาพการณ์รอบๆ
ถึงตอนนี้ร่างกายของฟ่านเสียนเหมือนมี ประกายสีทองฉาบที่ผิวจนสว่าง
และยังมีละอองสีทองกระจายตัว ออกไปเป็นชั้นๆ อีกทั้งปริมณฑลรอบๆก็มีแสง
สีทองจางๆ กระจายออกไปถึงห้าวา โดยเคลื่อนที่ไปพร้อมกับเจ้าตัวอีกด้วย
ฟ่านเสียนได้เดินออกไปทางหน้าผา และก้าวเดินออกไปในอากาศ
จากนั้นค่อยๆเดินลงมา แล้วก็ได้กลับหลังหันไปที่หน้าผา โดยในระหว่างนั้น
ฟ่านเสียนได้ใช้ลมปราณฟ้าดิน เขียนอักษรบนหน้าผาว่า "สันติ 100 ปี"
ส่งท้าย
หลังจากฟ่านเสียนได้ลงมาที่ตีนเขาแล้ว ฮ่องเต้เป่ยฉีเป็นคนแรกที่ได้คุกเขาคำนับ
แล้วตรัสว่า "ข้าขอคารวะ และขอแสดงความยินดีด้วย ที่ท่านสำเร็จเป็นปรมาจารย์"
และแล้วในที่สุดทุกๆคน ก็ทำตาม...
ฟ่านเสียนบอกฮ่องเต้เป่ยฉีว่า "ระวังสุขภาพท่านด้วย"
เยี่ยวานที่มากับฮ่องเต้ชิ่ง นั้นไม่ต้องการคุกเขา แต่ลมปราณกลับเหมือนสาบสูญ
บังคับควบคุมไม่ได้ จึงได้แต่ตกใจ จนต้องคุกเข่าลงไปในที่สุด
ฟ่านเสียนบอกฮ่องเต้ชิ่งว่า "ลำบากเจ้าแล้ว"
ฮ่องเต้ชิ่งตรัสว่า "ความจริงปลดปล่อยข้าแล้วท่านอาจารย์"
ฟ่านเสียนบอกเยี่ยวานว่า "เจ้าไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีสงครามให้รบ
เราแค่ไม่รบกันเอง แต่ยังอาจต้องรบกับพวกผมแดงผมทอง"
หลังจากนั้นได้มีการประชุมต่อกันอีกสามวัน สรุปใจความหลักๆได้ว่า
1 การประชุมภูเขาดง จะจัดทุกๆ 5 ปี ในฤดูใบไม้ผลิ เวลาเดียวกันนี้
2 ฟ่านเสียนจะถ่ายทอดวิทยาการที่จำเป็น เป็นหนังสือและผ่านทางคลังวังทั้งสอง
3 จะไม่รบกันเอง แต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังต่อพวกผมทอง (ให้ส่งสายลับไปแดนตะวันตก)
4 ฟ่านเสียนได้การยอมรับให้เป็นเป็นเทียนไมยที่แท้จริง ซื่งย่อมอยู่สูงกว่าฮองเต้ทุกแคว้น (ตามตำนานเทียนไมยจะเกิดขึ้นทุกๆสองสามร้อยปี)
5 ให้ขยายดินแดนไปทางตะวังตกและทางใต้เป็นหลัก
6 หนังสือ "ประวัติของเย่ชิงเหม่ย" ถูกรวมเข้าเป็นคัมภีร์ ของสำนักฟ้าเอกะด้วย เพราะมีส่วนหนึ่งเป็นเรื่อง ของประวัติของพระวิหาร
7 ...
ท้ายสุด
- หลังประชุมวันที่สองเสร็จ ฟ่านเสียนได้จากไป พร้อมกับเงา,ไห่ถัง และวังที่สิบสาม
- ในภายหลัง ผู้คนเรียกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า "สมาธิ 100 วัน สันติ 100 ปี"
- หลังฟ่านเสียนกลับต้านโจว คงต้องตกใจหนัก เพราะแม่นางน่องไก่ แอบรับอนุภรรยาให้อีกคน (คุณหนูชุน)
- ** ฟ่านเสียนไม่ได้สำเร็จในวิถีราชันแบบฮ่องเต้ชิ่ง แต่กลับใช้วิถีราชันนอกร่างกายตัวเองได้
และรวมถึงการใช้ลมปราณฟ้าดิน ในลักษณะอื่นๆด้วย
ถ้าอยากรู้ว่าในหนังสือ "ประวัติของเย่ชิงเหม่ย" เขียนอะไรไว้บ้าง ค่อยว่ากันอีกทีนะครับ!
ถ้ามีอะไรที่ผมเขียนผิดไปหรือใช้คำผิด ก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ ผมแค่เขียนเล่นๆ ให้เพื่อนๆอ่านกันสนุกๆ ก็เท่านั้นเองครับ