[CR] CR 1917 ชอบจึงอยากรีวิว หนังที่ต้องดู

ก่อนอื่นถามหน่อยครับมันติด tag '1917 (ภาพยนตร์)' ยังไงนะครับ

ไม่รู้ทำไมอยู่ดีตัวอย่างเรื่องนี้โผล่ขึ้นมาใน feed ของ youtube ช่วงถ้าจำไม่ผิดตั้งแต่แถวๆ เดือน พ.ย. ปีที่แล้ว และทันทีที่เห้นตัวอย่างโดยยังไม่รู้อะไรทั้งนั้นก็รอและต้องดูเรื่องนี้ให้ได้ ซึ่งเรื่องนี้ก่อนแล้วดูคาดหวังไว้มากๆ จากคำวิจาร์ณที่ได้ดูมาตั้งแต่กลางๆ ม.ค. และหลังจากดูก็ไม่ผิดหวังจริงๆ สมกับที่รอ
 
ถึงแม้น่าจะเป็นหนัง long shot เรื่องแรกที่ได้ดู แต่ความรู้สึกบอกได้เลยว่าเทคนิค long shot ของเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ทำมาเพื่อขายคำว่าหนัง long shot แต่ long shot เรื่องนี้เป็นส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้คนดูรู้สึกเป็นเสหมือนตัวละครหลักตัวที่ 3 ในเรื่อง ที่ร่วมภารกิจไปด้วยกัน ถึงแม้ว่าเส้นเรื่องของเรื่องจะไม่มีอะไรมาก ตรงไปตรงมาคือรับคำสั่งให้เดินเอาจดหมายที่มีสารสำคัญที่จะช่วยยับยั้งการที่ทหาร 1600 จะถูกล่อไปสังหารหมู่ ไปส่งให้อีกหน่วยหนึ่งให้สำเร็จ แต่ long shot มันคือส่วนสำคัญที่ดึงอารมณ์คนดูไปกับหนัง เช่นฉากในช่วงแรกของหนังที่เป็นแค่การข้ามจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งในพื้นที่โล่ง ไม่มี action ไม่มีการยิงกันอะไรทั้งนั้น แต่รูปแบบการนำเสนอการตามติดตัวละครแบบ long shot ทำให้สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของการโผล่ขึ้นมาจากสนามเพลาะของฝ่ายตัวเอง และการก้าวข้ามไปแต่ละก้าวผ่าน no man's land จนไปถึงสนามเพลาะของฝ่ายเยอรมัน
 
การเดินเรื่องของหนัง ไม่มีการจมอยู่ที่เดิมหรือถอยหลังกลับ เพราะทุกวินาทีในเรื่องมีแต่การเดินไปข้างหน้า และทุกวินาทีของหนังคือทุกวินาทีของคนดู (ถึงแม้จะย่อเวลาจากเหตุการณ์จริงที่ควรจะกินเวลารวม 6-8 ชั่วโมง แต่หนังทำได้ให้เวลาทั้งหมดมาอยู่ในสองชั่วโมงแบบต่อเนื่อง ไม่รู้สึกถึงช่วงเวลาที่หายไป) และเทคนิค long shot เรื่องนี้สุดยอดมากๆ คือตอนดูก็ตั้งใจจะจับละว่ามีฉากที่เห็น cut แบบชัดๆ ทั้งเรื่องกี่ที สรุปได้ว่าจับมาตลอดเกือบสองชั่วโมง หนังมี scene ที่เห็นชัดๆ ว่าตัดต่อไม่เกิน 4 ครั้ง อาจจะแค่ 3 ด้วยซ้ำไป เรียกว่ามีการวางแผน production ที่ยากมากๆ
 
และมีคำพูดคำนึงถ้าหูไม่แว่วไปเอง คิดว่าได้ยินคำพูดนี้สองครั้งในเรื่อง และถ้ามันเป็นเช่นนั้น ถึงแม้จะยังไม่เห็นใครรีวิวถึงจุดนี้ แต่โดยส่วนตัวเห็นว่าคำพูดนี้น่าจะเป็นสารสำคัญนึงที่หนังต้องการจะสื่อถึงคนดู ซึ่งคำพูดนั้นคือ “You are bloody insane. You can’t possibly make it that way.” จากคำพูดนี้บวกกับถ้าสังเกตุพฤติกรรมหลักของตัวละครทั้งสอง (จะไม่สปอยโดยการเล่าเรื่องนะครับว่ามันเป็นยังไง) เมื่อนำมารวมกัน จะเป็นบทพูดที่หนังบอกและแสดงถึงความเป็นมนุษย์ในตัวของทหารแต่ละนายได้อย่างดี ว่าสุดท้ายแล้วทหารแต่ละคนจริงๆ ลึกๆ แล้ว ที่สู้สุดชีวิต ชาติและอุดมการ์ณหรือคำสั่งอาจไม่ใช่เรื่องหลักเสมอไป (ในบริบทฝั่งยุโรป ถ้าบริบทและอุดมการณ์ฝั่งญี่ปุ่นอาจแตกต่างออกไป) แต่เป็นการสู้เพื่อคนที่อยู่ข้างๆ กันนั่นเอง ซึ่งหลักการในการบริหารหรือหลักการตลาดก็ตาม ก็จะใช้จุดนี้คือ ถ้าเรารู้ human (customer) behavior เราก็จะสามารถบริหารคนให้ทำอะไรหรือจูงใจลูกค้าได้ก็เช่นกัน และก็เป็นตลกร้ายของหนังในจุดนี้ ที่โดยส่วนตัวมองว่านอกจากหนังจะค่อยข้างชี้นำให้เห็นว่าฝ่ายเยอรมันค่อนข้างเป็นตัวร้าย หนังใช้จุดนี้แสดงความโหดในด้านการบริหารคนออกมา คือปัจจัยนึง ซึ่งน่าจะเป็นเป็นใจสำคัญนอกเหนือจากความสามารถด้านการอ่านแผนที่ ที่เอามาอ้าง คือการเลือก Blake ให้มาทำภารกิจเพราะเขามีพี่ชายอยู่ในหน่วยนั้น ภารกิจนี้จะสามารถช่วยพี่ชายของเขาได้ดังนั้นคนๆ นี้จะทำทุกวีธีเพื่อที่จะให้ภารกิจสำเร็จ เรียกว่าจุดนี้เป็นจุดที่หนังแสดงความเป็นมนุษย์ออกมาได้อย่างดีที่เดียว และก็เป็นตลกร้ายอีกเช่นกันที่นอกเหนือจากในสงครามในอดีต เมื่อมีโอกาศเราจะเห็นการใช้วิธีเช่นนี้ในการเลือกมอบหมายงานอะไรสักอย่างให้ใครสักคนเช่นกันในทำงานในปัจจุบัน
 
อีกอย่างที่ชอบคือถึงแม้หนังจะดึงอารมณ์ร่วมเราให้ดิ่งและกดดันไปกับหนังได้มากแค่ไหน แต่อย่างน้อยฉากจบที่จบด้วยความสงบของทุ่งหญ้าสีเขียวแสนสงบนั้นช่วงดึงอารมณ์คนดูกลับมาเป็น neutral ได้ดีทีเดียว ซึ่งคิดว่าน่าจะแบบเดียวกันที่เปิดเรื่องมาโดยการใช้ฉากทุ่งหญ้าสีเขียวเป็น overture เพื่อเตรียมเตรียมอารมณ์คนดูก่อนดึงอารมณ์เราลงไป แล้วจบโดยทำให้เราออกจากโรง แบบทิ้งสงครามไว้เบื้องหลัง ไม่มีอารมณ์ความหดหู่ตามติดออกมาหลังออกจากโรง ถึงตรงนี้นึกถึงหนังอีกเรื่องคือ Where We Belong แนะนำเช่นกันเป้นหนังที่มีตลกร้ายแฝงในเรื่องเหมือนกัน แต่เรื่องนั้นดึงอารมณ์คนดูไปกับเรื่อง ตอนจบไม่ดึงกลับออกจากโรงแล้วหน่วงจุกต่ออีกหลายวันเลยทีเดียว
 
ถ้าจะไม่โดนหาว่าอวยเกินไปเรื่องนี้ให้ 9.7 เต็ม 10 ได้เลย (หักนิดหน่อยตรงเรื่องนี้ดุนำเสนอฝ่ายเยอรมันดูเป็นตัวร้ายไปนิด หรือเรามองโลกสวยไปเองหรือเปล่าไม่รู้ กับอีกจุดใกล้จบเรื่องมีจุดที่ดูละน่าจะเป็นข้อผิดพลาดของตัวแสดง extra ที่เห็นค่อนข้างชัด ไม่สปอยนะครับ แต่คงเนื่องด้วย long take การถ่ายใหม่น่าจะงานช้างให้อภัยได้)  แต่พูดได้เต็มปากเรื่องนี้ยังไงไม่มีทางต่ำกว่า 9 เต็ม 10 (ไม่ได้ลอกคนอื่นนะ แต่หนังดีจริงๆ ) ส่วนเรื่องที่ฉากวิ่งไล่ยิงฉากนึงที่หลายคนอาจมองว่าดูฝ่ายเยอรมันยิงไม่แม่นเวอร์ ยิงแบบนี้ของจริงน่าจะโดนตัวเอกไปแล้ว ส่วนตัวไม่เห็นแบบนั้น การวิ่งยิงปืนไรเฟิลแบบไม่ประทับบ่าเนี่ย โดยส่วนตัวเห็นว่ามันไม่แม่นเลยแบบนั้นแค่องศาปืนบิดไปนิดลูกก็ไปคนละทิศแล้ว นี่ยิงระดับเอวไม่เล็งแถมวิ่งยิงอีก อีกอย่างที่พอรู้มาทหารสมัยนั้นส่วนใหญ่ไม่ใช่ทหารอาชีพหน่วยรบพิเศษ จับมาฝึกๆ ไม่นานก็ถูกส่งมาแนวหน้าแล้วบางคนยังเด็กอยู่เลย เช่นในเรื่อง All Quiet on the Western Front
 
เพลงประกอบก็ดีโดยเฉพาะท่อน I'm going there. No more to roam. มันสอดคล้องกับคำที่ผู้พัน Mackenzie พูดว่า “There is only one way this ends, last man standing.” มันแสดงถึงความรู้สึกของทหารที่ไม่อยากสู้ต่อไปแล้วในสงครามที่ดูเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด
 
สรุปแนะนำเป็นหนังที่ไม่ควรพลาดและต้องดูในโรงจะได้ฟิลลิ่งมากกว่า
Long Take ที่ไม่ได้สักแต่ว่าให้เป็น Long Take เท่ๆ
หนังที่ดึงเราไปร่วมเป็นอีกตัวละครหลักในเรื่องไม่ใช่แค่คนดู ถ้านึกภาพไม่ออกก็เหมือนกำลังเล่นเกม Call of Duty แบบมีเรื่องราวบนจอภาพยนต์
หนังสงครามที่เส้นเรื่องไม่มีอะไรมาก แทบจะนับจำนวนนัดเสียงปืนที่ยิงกันได้เลย แต่ดึงทั้งความเป็นมนุษย์และความโหยร้ายของสงครามทั้งจากฝ่ายเดียวกันและฝ่ายตรงข้ามออกมาให้คนดูเห็นได้
ปล. ถ้าจะให้อินกับบริบทหนังแนวสงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่คนส่วนใหญ่จะนึกภาพไม่ค่อยออกแบบสงครามโลกครั้งที่สองที่มีหนังออกมาเยอะ หนังสือ “ประวัติศาสตร์ โหด มัน ฮา สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง น่าสะพรึงกลัว” ถ้ายังพอหาได้เป้นหนังสือที่บรรยายบรรยากาศได้ดีมาก
ชื่อสินค้า:   ภาพยนต์ 1917
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่