เริ่มต้นด้วยความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา ก่อนเลยนะครับ
1.กรณีที่จะถือว่าเป็นการ “ลักทรัพย์” คือ
ต้องเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต
2.กรณีที่จะถือว่าเป็นการ “วิ่งราวทรัพย์” คือ
ต้องเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต โดยเป็นการเอาไปต่อหน้าเจ้าของทรัพย์
3.กรณีที่จะถือว่าเป็นการ “กรรโชกทรัพย์” คือ
ต้องเป็นการข่มขู่เจ้าทรัพย์ให้ยอมให้ หรือยอมจะให้ผู้ข่มขู่หรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังทำให้บาดเจ็บ หรือโดยขู่ว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของเจ้าทรัพย์หรือของบุคคลอื่น จนเจ้าทรัพย์ยอมให้ผู้ข่มขู่หรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน
4.กรณีที่จะถือว่าเป็นการ “รีดเอาทรัพย์” คือ
ต้องเป็นการข่มขู่เจ้าทรัพย์ให้ยอมให้ หรือยอมจะให้ผู้ข่มขู่หรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยขู่ว่าจะเปิดเผยความลับซึ่งการเปิดเผยนั้นจะทำให้เจ้าทรัพย์หรือบุคคลอื่นเสียหาย จนเจ้าทรัพย์ยอมให้ผู้ข่มขู่หรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน
5.กรณีที่จะถือว่าเป็นการ “ชิงทรัพย์” คือ
ต้องเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต และโดยทำให้เจ้าทรัพย์บาดเจ็บ หรือขู่ว่าจะทำให้เจ้าทรัพย์บาดเจ็บในขณะนั้น เพื่อ
๑.ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือพาทรัพย์นั้นไป
๒.ให้เจ้าทรัพย์ยื่นทรัพย์ให้
๓.ให้ผู้กระทำผิดยึดเอาทรัพย์นั้นไว้
๔.ปกปิดการกระทำความผิดนั้น
๕.ให้พ้นจากการจับกุม
6.กรณีที่จะถือว่าเป็นการ “ปล้นทรัพย์” คือ
ต้องเป็นการต้องเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต และโดยทำให้เจ้าทรัพย์บาดเจ็บ หรือขู่ว่าจะทำให้เจ้าทรัพย์บาดเจ็บในขณะนั้น เพื่อ
๑.ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือพาทรัพย์นั้นไป
๒.ให้เจ้าทรัพย์ยื่นทรัพย์ให้
๓.ให้ผู้กระทำผิดยึดเอาทรัพย์นั้นไว้
๔.ปกปิดการกระทำความผิดนั้น
๕.ให้พ้นจากการจับกุม
โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 3 คน ขึ้นไป กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าเป็นการร่วมกันชิงทรัพย์ตั้งแต่ 3 คน ขึ้นไป ตามกฎหมายถือว่า เป็นการปล้นทรัพย์
7.กรณีที่จะถือว่าเป็นการ “ฉ้อโกง” คือ
ต้องเป็นการกระทำโดยผู้กระทำผิดมีเจตนาทุจริต หลอกลวงเจ้าทรัพย์ด้วยการแสดงข้อความที่ไม่เป็นความจริง หรือปิดบังข้อความที่ควรแจ้งให้เจ้าทรัพย์ได้ทราบ และการหลอกลวงนั้นทำให้ผู้กระทำผิดได้ทรัพย์สินไปจากเจ้าทรัพย์หรือบุคคลอื่น หรือทำให้เจ้าทรัพย์หรือบุคคลอื่น ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ
(สิ่งที่ถือว่าเป็น “เอกสารสิทธิ” ตัวอย่างเช่น เช็ค,ใบถอนเงิน,ตั๋วเครื่องบิน,หนังสือหลักฐานการได้รับเงินและสละสิทธิในที่ดินมรดก,แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.๑),ใบจอง (น.ส. ๒),หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ น.ส.๓ ก. และ น.ส.๓ ข),ใบไต่สวน (น.ส. ๕),โฉนดที่ดิน)
8.กรณีที่จะถือว่าเป็นการ “ยักยอกทรัพย์” คือ
ต้องเป็นการที่ผู้กระทำผิดได้ครอบครองทรัพย์ของเจ้าทรัพย์ หรือทรัพย์สินที่เจ้าทรัพย์เป็นเจ้าของร่วมกับผู้กระทำผิด ซึ่งผู้กระทำผิดได้เอาทรัพย์นั้นไว้เป็นประโยชน์ของตนหรือบุคคลอื่น โดยทุจริต
9.กรณีที่จะถือว่าเป็น “เจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์” คือ
ต้องเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานผู้นั้น มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ แล้วเอาทรัพย์นั้นไว้เป็นประโยชน์ของตนหรือบุคคลอื่น โดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้บุคคลอื่นเอาทรัพย์นั้นไป
10.กรณีที่ถือจะถือว่ามีความผิดฐานรับของโจร คือ ?
ต้องเป็นกรณีที่ผู้กระทำผิดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดฐาน ลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก หรือเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์
และหากเพื่อนๆ ท่านใดสนใจอยากจะศึกษาข้อกฎหมายที่เข้าใจง่าย ๆ เพิ่มเติม สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ด้านล่างนี้ได้เลยครับ
http://www.xn--72cf2bi6bdb7ewc6a5isb5d.com/
เจอกันใหม่ในตอนต่อไปครับ 😊
ขยายความ ความหมายของถ้อยคำในกฎหมาย ให้เข้าใจกันง่ายๆ ตอนที่ 1
1.กรณีที่จะถือว่าเป็นการ “ลักทรัพย์” คือ
ต้องเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต
2.กรณีที่จะถือว่าเป็นการ “วิ่งราวทรัพย์” คือ
ต้องเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต โดยเป็นการเอาไปต่อหน้าเจ้าของทรัพย์
3.กรณีที่จะถือว่าเป็นการ “กรรโชกทรัพย์” คือ
ต้องเป็นการข่มขู่เจ้าทรัพย์ให้ยอมให้ หรือยอมจะให้ผู้ข่มขู่หรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังทำให้บาดเจ็บ หรือโดยขู่ว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของเจ้าทรัพย์หรือของบุคคลอื่น จนเจ้าทรัพย์ยอมให้ผู้ข่มขู่หรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน
4.กรณีที่จะถือว่าเป็นการ “รีดเอาทรัพย์” คือ
ต้องเป็นการข่มขู่เจ้าทรัพย์ให้ยอมให้ หรือยอมจะให้ผู้ข่มขู่หรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยขู่ว่าจะเปิดเผยความลับซึ่งการเปิดเผยนั้นจะทำให้เจ้าทรัพย์หรือบุคคลอื่นเสียหาย จนเจ้าทรัพย์ยอมให้ผู้ข่มขู่หรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน
5.กรณีที่จะถือว่าเป็นการ “ชิงทรัพย์” คือ
ต้องเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต และโดยทำให้เจ้าทรัพย์บาดเจ็บ หรือขู่ว่าจะทำให้เจ้าทรัพย์บาดเจ็บในขณะนั้น เพื่อ
๑.ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือพาทรัพย์นั้นไป
๒.ให้เจ้าทรัพย์ยื่นทรัพย์ให้
๓.ให้ผู้กระทำผิดยึดเอาทรัพย์นั้นไว้
๔.ปกปิดการกระทำความผิดนั้น
๕.ให้พ้นจากการจับกุม
6.กรณีที่จะถือว่าเป็นการ “ปล้นทรัพย์” คือ
ต้องเป็นการต้องเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต และโดยทำให้เจ้าทรัพย์บาดเจ็บ หรือขู่ว่าจะทำให้เจ้าทรัพย์บาดเจ็บในขณะนั้น เพื่อ
๑.ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือพาทรัพย์นั้นไป
๒.ให้เจ้าทรัพย์ยื่นทรัพย์ให้
๓.ให้ผู้กระทำผิดยึดเอาทรัพย์นั้นไว้
๔.ปกปิดการกระทำความผิดนั้น
๕.ให้พ้นจากการจับกุม
โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 3 คน ขึ้นไป กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าเป็นการร่วมกันชิงทรัพย์ตั้งแต่ 3 คน ขึ้นไป ตามกฎหมายถือว่า เป็นการปล้นทรัพย์
7.กรณีที่จะถือว่าเป็นการ “ฉ้อโกง” คือ
ต้องเป็นการกระทำโดยผู้กระทำผิดมีเจตนาทุจริต หลอกลวงเจ้าทรัพย์ด้วยการแสดงข้อความที่ไม่เป็นความจริง หรือปิดบังข้อความที่ควรแจ้งให้เจ้าทรัพย์ได้ทราบ และการหลอกลวงนั้นทำให้ผู้กระทำผิดได้ทรัพย์สินไปจากเจ้าทรัพย์หรือบุคคลอื่น หรือทำให้เจ้าทรัพย์หรือบุคคลอื่น ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ
(สิ่งที่ถือว่าเป็น “เอกสารสิทธิ” ตัวอย่างเช่น เช็ค,ใบถอนเงิน,ตั๋วเครื่องบิน,หนังสือหลักฐานการได้รับเงินและสละสิทธิในที่ดินมรดก,แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.๑),ใบจอง (น.ส. ๒),หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ น.ส.๓ ก. และ น.ส.๓ ข),ใบไต่สวน (น.ส. ๕),โฉนดที่ดิน)
8.กรณีที่จะถือว่าเป็นการ “ยักยอกทรัพย์” คือ
ต้องเป็นการที่ผู้กระทำผิดได้ครอบครองทรัพย์ของเจ้าทรัพย์ หรือทรัพย์สินที่เจ้าทรัพย์เป็นเจ้าของร่วมกับผู้กระทำผิด ซึ่งผู้กระทำผิดได้เอาทรัพย์นั้นไว้เป็นประโยชน์ของตนหรือบุคคลอื่น โดยทุจริต
9.กรณีที่จะถือว่าเป็น “เจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์” คือ
ต้องเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานผู้นั้น มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ แล้วเอาทรัพย์นั้นไว้เป็นประโยชน์ของตนหรือบุคคลอื่น โดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้บุคคลอื่นเอาทรัพย์นั้นไป
10.กรณีที่ถือจะถือว่ามีความผิดฐานรับของโจร คือ ?
ต้องเป็นกรณีที่ผู้กระทำผิดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดฐาน ลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก หรือเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์
และหากเพื่อนๆ ท่านใดสนใจอยากจะศึกษาข้อกฎหมายที่เข้าใจง่าย ๆ เพิ่มเติม สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ด้านล่างนี้ได้เลยครับ
http://www.xn--72cf2bi6bdb7ewc6a5isb5d.com/
เจอกันใหม่ในตอนต่อไปครับ 😊