สวัสดีค่า มาเจอกับเราอีกแล้วนะคะ ก่อนหน้านี้เราได้เขียนเรื่องการยื่นขอทุนเรียนต่อที่ประเทศจีนไป แล้วก็ไม่ได้เขียนต่อ เพราะความขี้เกียจของเราเองค่ะ (ฮ่า) แต่ถ้าใครต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมก็สามารถทักมาสอบถามได้ที่ Twitter : @psrwnc ได้เลยนะคะ มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ เนื่องจากว่าหลังจากเราได้เขียนกระทู้นั้นไปและจัดการเรื่องต่างๆเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดเราก็ได้บินไปยังประเทศจีนเพื่อเข้าเรียนหลักสูตรปรับพื้นฐานก่อนเข้าเรียนระดับปริญญาตรีค่ะ และแน่นอนว่าที่ตอนนี้เรามาเขียนเล่าเรื่องราวและแชร์ประสบการณ์ได้ ก็เพราะว่าเราปิดเทอมแล้วนั่นเอง! และตอนนี้ก็กลับมาพักผ่อนที่ประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ ไม่เสี่ยงติดเชื้อไวรัสโคโรนาแน่นอน (ฮ่า)
เรามาเริ่มกันที่บรรยากาศภายในมหาวิทยาลัยก่อนนะคะ บอกก่อนเลยว่าเมืองหนานจิงจะมีทั้งหมด 4 ฤดู ได้แก่ ร้อน ใบไม้ร่วง ใบไม้ผลิ และหนาวค่ะ ซึ่งฤดูหนาวเนี่ย มีสิทธิ์ติดลบถึง 5 ได้เลยค่ะ พอพูดถึงความหนาวแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือหิมะใช่ไหมล่ะคะ แน่นอนว่าเมืองนี้มีหิมะตกค่ะ แต่เสียดายมาก เพราะตอนที่เราอยู่ดันไม่ตก มีแต่ฝนที่ตกลงมา ซึ่งทำให้อากาศหนาวยิ่งขึ้นไปอีก สภาพอากาศคือแปรปรวนตลอดเวลาเลยค่ะ และนอกจากอากาศแล้ว เมืองหนานจิงยังเป็นเมืองที่ค่อนข้างสงบค่ะ มีแต่มหาวิทยาลัยเยอะแยะไปหมด และเด็กต่างชาติก็เยอะมากเช่นกันค่ะ
รูปที่ให้ดูด้านบนเป็นรูปแบบคร่าวๆนะคะ แต่เดี๋ยวเราจะบรรยายให้ดูกันแบบละเอียดอีกที โดยเริ่มจากหอพักในของทางมหาวิทยาลัยค่ะ ในส่วนของหอพักนั้นจะแบ่งเป็นห้องเล็ก ห้องกลาง และห้องใหญ่ จะนอนได้ตั้งแต่ 2-6 คน ตามลำดับค่ะ มีห้องน้ำในตัว มีห้องนั่งเล่น มีทีวีในห้องนั่งเล่นให้ด้วยค่ะ แล้วก็ยังมีเก้าอี้ ชั้นวางรองเท้าเล็กๆ และโต๊ะวางของให้ด้วยเช่นกัน สำหรับห้องที่นอน 2 คน จะไม่มีห้องนั่งเล่นให้นะคะ เพราะเป็นห้องเล็กสุด เปิดเข้าไปก็จะเจอห้องน้ำแล้วก็เป็นห้องนอนเลยค่ะ ส่วนห้องนอนของเราได้เป็นแบบนอน 4 คน ภายในห้องก็จะแบ่งเป็นห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องนอนก็นอนห้องละ 2 คนค่ะ ส่วนเรื่องรูมเมทคือไม่สามารถเลือกได้นะคะ ทางมหาวิทยาลัยจะเป็นคนสุ่มให้ค่ะ แต่ส่วนใหญ่จะสุ่มเป็นคนจากประเทศเดียวกันให้ค่ะ ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวก นอกจากของใช้ในห้องแล้ว ด้านล่างของหอก็จะมีห้องไว้สำหรับซักผ้า อบผ้า และเติมน้ำร้อนค่ะ ในการซักผ้าต้องใช้แอพส์ซักผ้าโดยเฉพาะ จ่ายผ่านอาลิเพย์ค่ะ ส่วนอบผ้าก็จ่ายผ่านอาลิเพย์ได้เลย ไม่ต้องโหลดแอพส์อบผ้ามาค่ะ ส่วนเติมน้ำร้อน ต้องใช้บัตรนักเรียนเติมนะคะ ค่าเติมน้ำครั้งละ 0.2 หยวนค่ะ (ประมาณ 1 บาท) ส่วนด้านข้างของหอพักก็จะมีซูเปอร์มาร์เก็ตให้ด้วยค่ะ มีของใช้จำเป็นและขนมขายเยอะแยะเลยค่ะ สะดวกมากๆ (หลังจากนี้จะเป็นรูปหอพักนะคะ)
มาต่อกันที่บรรยากาศการเรียนและอื่นๆภายในมหาวิทยาลัยนะคะ ก่อนที่จะเข้าเรียนอย่างเต็มรูปแบบทางมหาวิทยาลัยจะมีการสอบเพื่อคัดห้องให้เด็กไปอยู่ตามความสามารถของตัวเองค่ะ พูดกันตามตรงนะคะ ถ้าหากใครมีพื้นฐานมาก่อน แล้วได้อยู่ห้องเด็กที่มีพื้นฐาน ก็ยิ่งมีโอกาสได้ทุนสูงมากๆค่ะ ส่วนวิชาที่เรียนแต่ละห้องก็จะไม่เหมือนกันค่ะ ส่วนของห้องเราก็มีเรียนฟังพูดอ่านเขียนและ HSK ค่ะ
ทางมหาวิทยาลัยจะไม่มีรถสาธารณะให้บริการแบบมหาวิทยาลัยที่ไทยนะคะ แต่มีจักรยานให้เช่าค่ะ ก็จะมีแพ็กเกจให้เช่าแบบรายเดือน ของเราได้แพ็กเกจ 90 วัน 30 หยวน (150 บาท / 90 วัน) ถ้าไม่ซื้อแพ็กเกจก็จ่ายเป็นรายครั้งได้ค่ะ ส่วนการเช่าจักรยานก็ทำผ่านแอพส์อาลิเพย์เช่นเคย (ฮ่า) หลังจากที่เราทำการซื้อแพ็กเกจแล้ว เราก็สามารถสแกนจักรยานได้ทุกคันเลย
มาต่อกันที่อาหารการกินค่ะ ในมหาวิทยาลัยมีโรงอาหารทั้งหมด 4 โรงนะคะ ราคาก็จะแตกต่างกันไป มีทั้งอาหารจีน อาหารเกาหลีเลยค่ะ บางโรงก็มีอาหารสำหรับชาวอิสลามด้วยเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่เราจะกินที่โรงข้างหอมากกว่าค่ะ เพราะสะดวก และราคาถูกที่สุด แถมคุณลุงคุณป้าที่โรงนี้ก็ค่อนข้างใจดีและเป็นมิตรมากๆเลยค่ะ
สุดท้ายก่อนจากกัน เราก็มีคำแนะนำมาฝากค่ะ และแชร์สิ่งที่ไม่ค่อยประทับใจสำหรับเราด้วยค่ะ
1.ทางมหาวิทยาลัยจัดการเรื่องต่างๆช้ามาก เช่น เรื่องบัตรธนาคาร กว่าเราจะได้ก็คือเกือบปิดเทอมแล้วค่ะ แถมพอได้มาก็มีปัญหาอีก เราต้องไปจัดการเองที่ธนาคารค่ะ
2.ทางมหาวิทยาลัยจะพาเด็กไปตรวจสุขภาพทุกคน สามารถเอาใบตรวจสุขภาพจากที่ไทยไปยื่นได้ค่ะ แต่ต้องประทับตราของโรงพยาบาลที่เราไปตรวจทุกหน้าและทุกจุด และถ้าใบตรวจสุขภาพมีอายุนานกว่า 6 เดือน (นับจากวันที่ตรวจ) ก็จะไม่สามารถไปยื่นกับทางโรงพยาบาลที่มหาวิทยาลัยพาไปตรวจได้ค่ะ แต่ถ้าจะไปรอตรวจใหม่ที่นู่นเลยก็ได้ ค่าตรวจอยู่ที่ 530 หยวน (2,650 บาท) แต่ระบบการจัดการของทางโรงพยาบาลดีมากๆค่ะ เราเข้ารับการตรวจตั้งแต่ 8 โมงเช้า ประมาณ 10 โมงกว่าๆก็เสร็จแล้วค่ะ
3.สภาพอากาศที่นั่นค่อนข้างแปรปรวน ใน 1 สัปดาห์ อุณหภูมิสามารถติดลบและขึ้นสูงไปถึง 25 องศาได้ภายในสัปดาห์เดียวค่ะ และฝนตกบ่อยมากๆ จนงงว่าสรุปเป็นฤดูหนาวหรือฤดูฝนกันแน่ (เราอยู่ที่นู่นคือป่วยบ่อยมาก ยาพาราหมดเป็นกระปุกเลยค่ะ ทั้งที่ก่อนไปก็ออกกำลังกาย เสริมสร้างภูมิต้านทานแล้ว แต่ก็ไม่รอดค่ะ)
4.เรื่องการเรียนคือเรียนหนักและยากพอสมควรเลย ที่สำคัญคือเรียนแบบเร่งมาก ไปเร็วมาก ถ้าไม่มีพื้นฐานหรือพื้นฐานไม่แน่นมากก็จะลำบากนิดหน่อยค่ะ แต่ยังยืนยันเสียงเดิมค่ะ ว่าถ้ามีพื้นฐานมาก็มีโอกาสได้ทุนสูงค่ะ
5.คุณครูก็คือแล้วแต่เลยว่าจะได้เจอกับครูแบบไหน ครูที่โหดๆก็มี ใจดีก็มีค่ะ บางคนก็พูดอังกฤษสำเนียงดี เข้าใจง่าย บางคนก็สำเนียงฟังยากหน่อยค่ะ ในส่วนนี้ก็ต้องใช้ความพยายามกันหน่อยนะคะ
*หากมีข้อสงสัยหรืออยากรู้อะไรเพิ่มเติมก็สามารถทักมาสอบถามได้ตามที่ให้ไว้เลยนะคะ หรือจะทัก WeChat ID : wedjulx มาก็ได้ค่ะ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ*
แชร์ภาพบรรยากาศภายในมหาวิทยาลัย NUFE (Nanjing University of Finance and Economics)
เรามาเริ่มกันที่บรรยากาศภายในมหาวิทยาลัยก่อนนะคะ บอกก่อนเลยว่าเมืองหนานจิงจะมีทั้งหมด 4 ฤดู ได้แก่ ร้อน ใบไม้ร่วง ใบไม้ผลิ และหนาวค่ะ ซึ่งฤดูหนาวเนี่ย มีสิทธิ์ติดลบถึง 5 ได้เลยค่ะ พอพูดถึงความหนาวแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือหิมะใช่ไหมล่ะคะ แน่นอนว่าเมืองนี้มีหิมะตกค่ะ แต่เสียดายมาก เพราะตอนที่เราอยู่ดันไม่ตก มีแต่ฝนที่ตกลงมา ซึ่งทำให้อากาศหนาวยิ่งขึ้นไปอีก สภาพอากาศคือแปรปรวนตลอดเวลาเลยค่ะ และนอกจากอากาศแล้ว เมืองหนานจิงยังเป็นเมืองที่ค่อนข้างสงบค่ะ มีแต่มหาวิทยาลัยเยอะแยะไปหมด และเด็กต่างชาติก็เยอะมากเช่นกันค่ะ