JJNY : 8 นศ.ที่อู่ฮั้นขอกลับบ้าน/ส่อง‘รบ.’เจอปัญหารุม-แก้ไม่เข้าเป้า/ปชป.แฉซ้ำ ภท.เสียบบัตร/เอกชนชี้ 5 วิกฤตทุบจีดีพี

8 นศ.เทคนิคสุราษฎร์ที่อู่ฮั้น ขอกลับบ้าน เลขาอาชีวะฯ พร้อมรับกลับทั้งหมด103ชีวิต
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_1928017
 

 
8 นศ.เทคนิคสุราษฎร์ที่อู่ฮั้นขอกลับบ้าน เลขาอาชีวะฯประสานรับกลับหมดทั้ง นศ.-ครู 103 คน ผู้ปกครองลูกเรียนจบขอตั้งชื่อรุ่น “โคโรน่า”
 
วันที่ 29 มกราคม ที่ จ.สุราษฎร์ธานี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสิรวิชญ์ ธนเศรษฐ์วงศ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัย เทคนิคสุราษฎร์ธานี พร้อมนายประเสริฐ บุญประสพ ประธานคณะกรรมการวิทยาลัย ได้เชิญผู้ปกครองนักศึกษาที่ส่งไปศึกษาต่อระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.) ชั้นปี 1 สาขาการจัดการโลจิสติกส์ สถาบันเทคโนโลยีการต่อเรืออู่ฮั้น เมืองหวู่ฮั้น มณฑลเห่อเป่ย ประเทศจีน จำนวน 8 คนและระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.) ชั้นปี 1 สาขาอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาลัยสารพัดช่างซิงไถ่ มณฑลเห่อเป่ย จำนวน 17 คน รวม 25 คนมาร่วมประชุมพร้อมเปิดระบบวิดิโอ.คอลให้พ่อแม่ผู้ปกครองพบปะพูดคุยกับนักศึกษาโดยตรง และสอบถามความต้องการเพื่อคลายความกังวลใจ
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นักศึกษาที่เมืองอู่ฮั้น แจ้งว่า หลังจากหน้ากากอนามัยไม่เพียงพอ ทางสถาบันฯที่เรียนได้นำมาเพิ่มให้อีกคนละ 1 ชิ้น ผู้ชายมี 6 คน นำมาเพิ่มให้ 10 ชิ้น โดยไม่มีใครที่มีอุณหภูมิไข้สูงกว่า 37 องศา ซึ่งนักศึกษาคนหนึ่งวิดิโอคอล บอกว่า อยากกลับบ้านมากครับตอนนี้
 
ด้านอาจารย์วิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี ได้สนทนาตอบแนะนำว่า ช่วงนี้หากหน้ากากอนามัยไม่พอสามารถใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆใช้ได้ก่อน โดยวิทยาลัยได้ประสานทางผู้ใหญ่เรื่องการรับกลับโดยเร็วที่สุด เพราะจะไปรับโดยไม่มีการป้องกันอาจจะติดเชื้อได้ ขอให้ช่วยดูแลกันอย่าออกสถานที่พักขอให้ออกกำลังกายและทำร่างกายให้อบอุ่น ซึ่งตอนนี้นักศึกษาเทคนิคสุราษฎร์ธานีอยู่ที่อู่ฮั้นเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกแล้ว
 
ข่าวแจ้งว่า ส่วนนักศึกษาที่วิทยาลัยสารพัดช่างซิงไถ่ วิดิโอคอล แจ้งว่า ทุกคนยังปกติดียังมีร้านสะดวกซื้อเปิดปกติมาม่ายังมีขายอยู่ แต่อาหารบางอย่างเริ่มหมดแล้ว สภาพอากาศที่นี้กำลังสบาย เมื่อสอบถามอยากจะอยู่ต่อหรือกลับบ้าน ทุกคนตอบพร้อมกันว่า อยากกลับบ้าน ตอนนี้เก็บกระเป๋ารอแล้ว ขอให้พ่อแม่ไม่ต้องเป็นห่วงยังอยู่ได้ชิลๆสบายอยู่ ทำให้ผู้ปกครองมีสีหน้ายิ้มแย้มที่ได้พูดคุยกับลูกๆ
 
ด้านผู้ปกครองนักศึกษาชายคนหนึ่ง กล่าวว่า ตอนนี้ข่าวไวรัสเยอะมากไม่รู้อันไหนข่าวจริงข่าวลวง แต่ได้ไลน์คุยกับลูกชายเกือบทุกวัน จนไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารการกินกลุ่มลูกๆไปซื้อมาทำกินกันเอง ซึ่งพอโทรไปบ่อยๆ จนลูกบ่นไม่ต้องโทรมาแล้ว จึงได้แนะนำให้ลูกๆออกกำลังกายเยอะๆหวิดพื้นบ้างวันละ 1 ชั่วโมง ซึ่งนักศึกษารุ่นนี้เมื่อเรียนจบอยากขอให้ตั้งชื่อได้เลยว่า รุ่นโคโรน่า เพราะมีความหมายดี แปลว่า มงกุฎ
 
ส่วนผู้ปกครองผู้หญิง กล่าวว่า ปกติกฎระเบียบของหอพักที่ซิงไถ่ห้ามทำอาหารในห้องพัก จึงจะขออนุญาตให้นักศึกษาสามารถทำอาหารให้ห้องพักได้ โดยก่อนนี้ปลาเค็มที่เคยส่งไปถูกยึดหมด จึงขอให้ช่วยผ่อนผันในช่วงนี้ก่อน
 
ด้านนายสิรวิชญ์ ธนเศรษฐ์วงศ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ปกตินักศึกษา 8 คนที่เมืองหวู่ฮั้น ปิดเทอมแล้วแต่ไม่ได้กลับบ้าน เนื่องจากทางวิทยาลัยที่อู่ฮั้นจะหางานให้ทำ แต่เกิดไวรัสมีการสั่งปิดเมืองจึงออกไปไหนไม่ได้ โดยได้รายงานท่านเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษาทราบแล้ว ซึ่งได้มีการประสานในระดับกระทรวงอย่างใกล้ชิด เมื่อได้รับอนุญาตให้เครื่องบินไปได้จะให้รับนักศึกษาและครูอาชีวะทั้งหมด 103 คนกลับมาทั้งหมดก่อนโดยกลุ่มเมืองหวู่ฮั้น มีความสำคัญเป็นอันดับ 1 จะต้องรับก่อน
 
รายงานข่าวเพิ่มเติมแจ้งว่า กลุ่มนักศึกษาและครูสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ที่เดินทางไปศึกษาและฝึกประสบการณ์ทักษะวิชาชีพ ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำปีการศึกษา 2562 ส่วนใหญ่เดินทางกลับประเทศไทยแล้ว เนื่องจากอยู่ในช่วงปิดภาคเรียน(เดือนมกราคม – เดือนกุมภาพันธ์) ปัจจุบันยังเหลือนักศึกษา จำนวน 94 คน ครู จำนวน 9 คน รวมจำนวน 103 คน
 
ข้อมูลนักศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)ที่ไปศึกษาและฝึกประสบการณ์ในสถาบันการศึกษาของจีน ดังนี้
 
1. วิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี อยู่ที่สถาบันเทคโนโลยีการต่อเรือยู่ฮั่น มณฑลเห่อเป่ย นักศึกษา 8 คน และที่วิทยาลัยสารพัดช่างซิงไถ่(Xingtai Polytechnic College) มณฑลเห่อเป่ย นักศึกษา 17 คน
2. วิทยาลัยบริหารธุรกิจและการท่องเที่ยวกรุงเทพ อยู่ที่วิทยาลัยสารพัดช่างชิงไถ่ มณฑลเห่อเป่ย นักศึกษา 11 คน
3. วิทยาลัยเทคนิควาปีปทุม อยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคการรถไฟความเร็วสูงหูหนาน มณฑลหูหนาน 34 คน
4. วิทยาลัยเทคนิคชลบุรี อยู่ที่ Chongqing Business Vocational Collese เมืองฉงซิ่ง นักศึกษา 12 คน และที่วิทยาลัยเทคนิคการรถไฟความเร็วสูงหูหนาน มณฑลหหนาน นักศึกษา 5 คน
5. วิทยาลัยการอาชีพนครปฐม อยู่ที่ Chongqing Business Vocational Collese เมืองฉงซิ่ง นักศึกษา 1 คน
6. วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี อยู่ที่ Chongqing Business Vocational Collese เมืองฉงซิ่ง นักศึกษา 6 คน
 
ส่วนกลุ่มครู อยู่ที่ Chongqing Business Vocational Collese เมืองฉงซิ่ง รวม 9 คน ไปจาก วิทยาลัยบริหารธุรกิจและการท่องเที่ยวกรุงเทพ วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี วิทยาลัยเทคนิคปทุมธานี วิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ วิทยาลัยการอาชีพคลองท่อม วิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษกมหานคร วิทยาลัยเทคนิคราชบุรี วิทยาลัยพณิชยการธนบุรี และวิทยาลัยเทคนิคพังงา แห่งละ 1 คน
 

 
นักวิชาการส่อง‘รบ.’ เจอปัญหารุม-แก้ไม่เข้าเป้า แนะปรับตัว-เปลี่ยนทีมใหม่
https://www.matichon.co.th/politics/politics-in-depth/news_1927009
  
หมายเหตุ – นักวิชาการให้ความเห็นถึงสถานการณ์ของรัฐบาลที่มีปัญหารุมเร้าทั้งปัญหาภัยแล้ง ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ไวรัสโคโรนา งบประมาณปี 2563 ที่ล่าช้าจากการ ส.ส.เสียบบัตรแทนกัน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และสถานภาพของรัฐบาล ก่อนที่ฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
 
โอฬาร ถิ่นบางเตียว
คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
 
การบริหารราชการของรัฐบาลในสถานการณ์ตอนนี้อยู่ในภาวะตกต่ำอย่างมาก เพราะไม่สามารถสร้างการสื่อสารในภาวะวิกฤตเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องกับประชาชนได้ ทำให้ประชาชนรู้สึกแย่กับสภาพการบริหาร ณ สถานการณ์ที่มีเชื้อไวรัสโคโรนา รวมถึงการเปิดทางให้มีการสร้างเฟคนิวส์ หรือ ข่าวปลอม ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์และการทำงานของรัฐบาลย่ำแย่ลงไปอีก
 
ถามว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ก็คงต้องกลับไปดูภาพรวมรัฐบาล จะเห็นได้ว่าการทำงานมีลักษณะที่ไม่เป็นเอกภาพเท่าที่ควร เข้าใจได้ว่ารัฐบาลชุดนี้ใช้การรวมกันของหลายพรรค ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกัน มีความขัดแย้งและแตกแยกกันพอสมควร สะท้อนถึงเอกภาพของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี
 
จากกรณีไวรัสอู่ฮั่นที่มีการทำงานไม่เป็นเนื้อเดียวกัน หรือดูจากกรณีเฟคนิวส์ หน่วยงานที่รับผิดชอบอย่าง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มีคุณพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ เป็นรัฐมนตรี จนถึงขณะนี้ยังไม่ปรากฏตัวแสดงความรับผิดชอบ หรือมาทำหน้าที่ ด้านกระทรวงสาธารณสุขก็มีลักษณะที่ทำด้วยความสามารถและศักยภาพเท่าที่มีอยู่ เนื่องจากไม่สามารถบูรณาการ ประสานกับหน่วยงานอื่นได้
 
กรณีนี้จะโยงไปถึงผลการอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างแน่นอน ฝ่ายค้านอาจเพิ่มประเด็นขึ้นมาจากกรณีวิกฤตไวรัสโคโรนา และการแก้ปัญหาภัยแล้ง นอกจากนี้ยังมีความล้มเหลวในการบริหารที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นศึกหนักในการซักฟอกรัฐบาล
 
หากพูดในเชิงการเมือง ขณะนี้ฝ่ายค้านได้เปรียบอย่างมากจากจากประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาลที่ตกต่ำ ล้มเหลว ในภาวะวิกฤตหลายกรณี รวมถึงกรณี ส.ส.พรรครัฐบาลเสียบบัตรแทนที่กระทบกับ พ.ร.บ.งบประมาณฯ แต่กลัวอย่างเดียว คือกลัวว่าพรรคเพื่อไทยโดยเฉพาะแกนนำบางคนที่อาจไปต่อรองจนทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลไม่โดดเด่นเท่าที่ควร อาจเป็นเหมือนละครตบตาประชาชน
 
สถานการณ์ทั้งหมดในขณะนี้จะกระทบกับเศรษฐกิจและการเมืองแน่นอน โดยเฉพาะตัวเลขการท่องเที่ยวที่มาจากชาวจีน ยอดเงินจะหายไปจำนวนมาก ดังนั้น ในทางเศรษฐกิจอาจกล่าวได้ว่ารัฐบาลเอาไม่อยู่อย่างสิ้นเชิง อย่างกรณีที่จะมี “ชิม ช้อป ใช้ อินเตอร์” สะท้อนความล้มเหลวในการบริหารการท่องเที่ยวของไทย ถึงขนาดที่จะต้องเอาเงินไปให้คนต่างชาติมาจับจ่ายใช้สอย
 
ท่านนายกฯ ต้องยอมรับว่าท่านมีปัญหาเรื่องการสื่อสารในภาวะวิกฤต ที่ไม่ได้ทำให้คนคิดเชิงบวกในสถานการณ์ที่มีปัญหาตกต่ำหลายเรื่อง ดังนั้น การสื่อสารของนายกฯ ต้องสร้างกำลังใจและความหวังให้ประชาชนเห็นโอกาส สร้างความมั่นใจให้ได้มากกว่านี้ นี่คือปัญหาทั้งตัวท่านนายกรัฐมนตรี และทีมโฆษกรัฐบาล จึงเปิดช่องให้กลุ่มที่ต้องการโค่นรัฐบาลปล่อยเฟคนิวส์ออกมาทำลายความเชื่อมั่นของรัฐบาลได้อย่างเต็มที่
 
อย่างไรก็ตาม มองว่าในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ รัฐบาลจะรอด เพราะมีความสามารถในการล็อบบี้ และอาจยังมีความสามารถให้พรรคร่วมรัฐบาลยกมือโหวตให้กับฟากรัฐบาลได้อยู่ แต่ทั้งหมดจะเปิดช่องให้ท่านนายกฯ มีความชอบธรรมในการปรับ ครม.หลังจากนี้
 
วันวิชิต บุญโปร่ง
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
 
สถานการณ์ของรัฐบาลตอนนี้เข้าสู่ภาวะที่อาจจะเรียกได้ว่า ร่อแร่ แน่นอนว่าที่ผ่านมาอาการของรัฐบาลไม่ต่างอะไรกับการได้รับเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 เพราะต้องรอการฟักตัว พิษไวรัสจึงจะสำแดงฤทธิ์ หรือออกอาการ เช่นเดียวกัน รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปกคลุมด้วยร่างกายที่ดูเหมือนครบถ้วนสมบูรณ์ แต่เต็มไปด้วยปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง
 
ปัญหาหนึ่งยังแก้ไม่เสร็จสิ้นก็มีปัญหาใหม่เข้ามาเกี่ยวพันรุมเร้า เช่น ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 เป็นปัญหาคั่งค้าง ซึ่งหลายคนรู้สึกเดือดร้อนเพราะความล่าช้าในการแก้ปัญหา ก็มีเรื่องประเด็นไวรัสโคโรนา 2019 เข้ามา ส่อให้เห็นความร่อแร่จากการประสานงานของกระทรวงที่สังกัดโดยพรรคร่วมรัฐบาล ที่ผ่านมาคือทำงานแยกส่วน ยังไม่เห็นบูรณาการ
 
ตั้งแต่เกิดกรณีไวรัสโคโรนา จะเห็นคุณอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เรียกประชุมหน่วยงานที่ตนเองกำกับ คือ กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ถือว่า มีนัยยะ
 
หมายความว่า เขาสามารถกำกับและสั่งการได้เฉพาะกระทรวงที่มีอำนาจเท่านั้น แต่กระทรวงที่มีผลกระทบ ต้องนำไปสู่การบูรณาการเพื่อแก้ปัญหา ป้องกัน และเฝ้าระวัง ยังไม่มี อย่างน้อยๆ คือกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงแรงงาน ที่ต้องดูแลนักศึกษาไทยและคนงานไทยในประเทศที่สุ่มเสี่ยงติดเชื้อ สิ่งนี้สะท้อนถึงอาการที่ร่อแร่ว่าร่างกายแต่ละส่วนทำงานไม่สอดประสานกัน
 
เราจะเห็นว่าการทำงานไม่ได้เป็นภาพรวม แม้นายกฯ จะแถลงเพื่อสร้างความเชื่อมั่น แต่ที่สำคัญคือผลงานและการแก้ปัญหาจะยับยั้งความรู้สึกกังวลใจของประชาชนได้อย่างไร
 
ดังนั้น นายกฯ และ ครม.ต้องตั้งคณะทำงานที่ให้อำนาจในการให้ข้อมูลเพื่อต่อสู้ในเชิงรุก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนในประเทศและต่างประเทศที่อยู่ในประเทศไทย เพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนกเกินไป
 
เหตุการณ์ทั้งหมดจะทดสอบว่ารัฐบาลชุดนี้จะจับมือไปด้วยกันได้ไกลอีกกี่ระยะ หากยังทำงานแยกส่วนเช่นนี้ ซึ่งยังไม่พูดถึงศึกการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะตามมา แน่นอนว่าฝ่ายค้านจะต้องกล่าวหาถึงความล้มเหลวและไร้ประสิทธิภาพในการรับมือของรัฐบาล
 
ทั้ง ฝุ่นละออง PM 2.5 ภัยแล้ง ลามไปถึงไวรัสโคโรนา 2019 สะท้อนถึงหน้าตารัฐบาลว่ามีประสิทธิภาพและมีเอกภาพในการแก้ไขปัญหาอย่างไร
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่